เมนู

อรรถกถาทสรถชาดก



พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ
ปรารภกุฎุมพีผู้บิดาตายแล้วคนหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า เอถ ลกฺขณสีตา จ ดังนี้.
ความพิสดารว่า กุฎุมพีนั้น เมื่อบิดาถึงแก่กรรมแล้วถูกความเศร้า
โศกครอบงำ จึงทอดทิ้งหน้าที่การงานเสียทุกอย่าง ครุ่นแต่ความเศร้าโศกอยู่
แต่ถ่ายเดียว. พระศาสดา ทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทอดพระเนตร
เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของเขา รุ่งขึ้นจึงเสด็จโปรดสัตว์ในกรุงสาวัตถี
เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว ทรงส่งภิกษุทั้งหลายกลับ ทรงชวนไว้เป็นปัจฉา
สมณะเพียงรูปเดียว เสด็จไปยังเรือนของเขา เมื่อตรัสเรียกเขาผู้นั่งถวายบังคม
ด้วยพระดำรัสอันไพเราะ จึงตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก เจ้าเศร้าโศกไปทำไม เมื่อ
เขากราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเศร้าโศกถึงบิดากำลัง
เบียดเบียนข้าพระองค์ จึงตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก บัณฑิตในปางก่อน ทราบ
โลกธรรม 8 ประการ ตามความเป็นจริง เมื่อบิดถึงแก่กรรมแล้ว ก็มิได้
ประสบความเศร้าโศก แม้สักน้อยหนึ่งเลย เขากราบทูลอาราธนา จึงทรงนำ
อดีตนิทานมาตรัสว่า
ในอดีตกาล พระเจ้าทสรถมหาราช ทรงละความถึงอคติ เสวย-
ราชสมบัติโดยธรรม ในกรุงพาราณสี พระอัครมเหสีผู้เป็นใหญ่กว่าสตรี
16,000 นางของท้าวเธอ ประสูติพระโอรส 2 พระองค์ พระธิดา 1 พระองค์
พระโอรสองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า รามบัณฑิต องค์น้องทรงพระนามว่า ลัก-
ขณกุมาร
พระธิดาทรงพระนามว่าสีดาเทวี. ครั้นจำเนียรกาลนานมา พระอัคร

มเหสีสิ้นพระชนม์. พระราชาเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์แล้ว ทรงถึงอำนาจแห่ง
ความเศร้าโศกตลอดกาลนาน หมู่อำมาตย์ช่วยกันกราบทูลให้ทรงสร่าง ทรงกระ
ทำการบริหารที่ควรกระทำแก่พระนางแล้ว ทรงตั้งสตรีอื่นไว้ในตำแหน่งอัครม-
เหสีพระนางเป็นที่รัก เป็นที่จำเริญพระหฤทัยของพระราชา. ครั้นกาลต่อมา แม้
พระนางก็ทรงพระครรภ์ ทรงได้รับพระราชทานเครื่องครรภ์บริหาร จึงประสูติ
พระราชโอรส. พระประยูรญาติขนานพระนามพระโอรสนั้นว่า ภรตกุมาร.
พระราชาตรัสว่า แน่ะนางผู้เจริญ ฉันขอให้พรแก่เธอ เธอจงรับเถิด ด้วย
ทรงพระเสน่หาในพระโอรส. พระนางทรงเฉยเสีย ทำทีว่าทรงรับแล้ว จน
พระกุมารมีพระชนมายุได้ 7-8 พรรษา จึงเข้าไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า
พระทูลกระหม่อม พระองค์พระราชทานพระพรไว้แก่บุตรของกระหม่อมฉัน
บัดนี้ ขอทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระพรนั้นแก่เธอ เมื่อพระราชาตรัส
ว่ารับเอาเถิด นางผู้เจริญ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม ขอพระองค์
โปรดทรงพระกรุณาพระราชทานราชสมบัติ แก่บุตรของกระหม่อมฉันเถิด
พระเจ้าข้า. พระราชาทรงตบพระหัตถ์ตรัสขู่ว่า เจ้าจงย่อยยับเสียเถอะ นางถ่อย
บุตรของข้า 2 คน กำลังรุ่งเรืองเหมือนกองเพลิง เจ้าจะให้ข้าฆ่าเขาทั้ง 2 คน
เสียแล้ว ขอราชสมบัติให้ลูกของเจ้า. พระนางตกพระทัย เสด็จเข้าสู่พระ-
ตำหนักอันทรงสิริ ถึงในวันอื่น ๆ เล่า ก็คงทูลขอราชสมบัติกับพระราชาเนืองๆ
ทีเดียว. พระราชาครั้นไม่พระราชทานพระพรแก่พระนาง จึงทรงพระดำริ
ว่า ขึ้นชื่อว่ามาตุคามเป็นคนอกตัญญู มักทำลายมิตร นางนี้พึงปลอมหนังสือ
หรือจ้างคนโกง ๆ ฆ่าลูกทั้ง 2 ข้องเราเสียได้. พระองค์จึงตรัสสั่งให้พระราช
โอรสทั้ง 2 เข้าเฝ้า ตรัสความนั้น มีพระดำรัสว่า พ่อเอ๋ย อันตรายคงจักมี
แก่พวกเจ้า ผู้อยู่ ณ ที่นี้ เจ้าทั้งหลายจงพากันไปสู่แดนแห่งสามันตราช หรือ

สู่ราวป่า พากันมาก็ต่อเมื่อพ่อตายแล้ว ยึดเอาราชสมบัติของตระกูลเถิด ดังนี้
แล้ว รับสั่งให้พวกโหราจารย์เข้าเฝ้าอีก ตรัสถามกำหนดพระชนมายุของ
พระองค์ ทรงสดับว่า จักยั่งยืนไปตลอด 12 ปีข้างหน้า จึงตรัสว่า พ่อเอ๋ย
โดยล่วงไป 12 ปีถัดจากนี้ พวกเจ้าจงพากันมา ให้มหาชนยกฉัตรถวาย.
พระราชโอรสเหล่านั้น กราบทูลว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า พากันถวายบังคม
พระราชบิดา ทรงพระกันแสง เสด็จลงจากพระปราสาท. พระนางสีดาเทวี
ทรงพระดำริว่า ถึงเราก็จักไปกับพี่ทั้ง 2 ถวายบังคมพระราชบิดา ทรงพระ-
กันแสงเสด็จออก. กษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์นั้น แวดล้อมไปด้วยมหาชน
ออกจากพระนคร ทรงให้มหาชนพากันกลับ เสด็จเข้าสู่หิมวันตประเทศโดย
ลำดับ สร้างอาศรม ณ ประเทศอันมีน้ำและมูลผลาผลสมบูรณ์ ทรงเลี้ยง
พระชนมชีพด้วยผลาผล พากันประทับอยู่แล้ว. ฝ่ายพระลักขณบัณฑิต และ
พระนางสีดา ได้ทูลขอร้องพระรามบัณฑิตรับปฏิญญาว่า พระองค์ดำรงอยู่ใน
ฐานะแห่งพระราชบิดาของหม่อมฉัน เหตุนั้นเชิญประทับประจำ ณ อาศรมบท
เท่านั้นเถิด หม่อมฉันทั้ง 2 จักนำผลาผลมาบำรุงเลี้ยงพระองค์. จำเดิมแต่นั้น
มา พระรามบัณฑิต คงประทับประจำ ณ อาศรมบทนั้นเท่านั้น. พระลักขณ
บัณฑิต และพระนางสีดา พากันหาผลาผลมาปรนนิบัติพระองค์. เมื่อกษัตริย์
ทั้ง 3 พระองค์นั้น ทรงเลี้ยงพระชนมชีพอยู่ด้วยผลาผลอย่างนี้ พระเจ้า
ทสรถมหาราช เสด็จสวรรคตลงในปีที่ 9 เพราะทรงเศร้าโศกถึงพระราชโอรส.
ครั้นจัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระเจ้าทสรถมหาราชเสร็จแล้ว
พระเทวีมีพระดำรัสให้พวกอำมาตย์ถวายพระเศวตฉัตร แด่พระภรตกุมารผู้
โอรสของตน. แต่พวกอำมาตย์ทูลว่า เจ้าของเศวตฉัตรยังอยู่ในป่า ดังนี้แล้ว
จึงไม่ยอมถวาย. พระภรตกุมารตรัสว่า เราจักเชิญพระรามบัณฑิต ผู้เป็น
พระภาดามาจากป่า ให้ทรงเฉลิมพระเศวตฉัตร ทรงถือเครื่องราชกกุธภัณฑ์

5 อย่าง พร้อมด้วยเสนา 4 เหล่า บรรลุถึงที่ประทับของพระรามบัณฑิตนั้น
ให้ตั้งค่ายพักแรมอยู่ ณ ที่อันไม่ไกล เสด็จเข้าไปสู่อาศรมบทกับอำมาตย์ 2-3
นาย ในเวลาที่พระลักขณบัณฑิต และพระนางสีดาเสด็จไปป่า เข้าเฝ้าพระราม
บัณฑิต ผู้ปราศจากความระแวง ประทับนั่งอย่างสบาย ประหนึ่งรูปทองคำที่
ตั้งไว้ ณ ประตูอาศรมบท ถวายบังคม ประทับยืน ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง
กราบทูลข่าวของพระราชาแล้ว ก็ทรงฟุบลงแทบพระบาททั้งคู่ ทรงพระ-
กันแสงพร้อมกับเหล่าอำมาตย์. พระรามบัณฑิต มิได้ทรงเศร้าโศกเลย มิได้
ทรงพระกันแสงเลย. แม้เพียงอาการผิดปกติแห่งอินทรีย์ ก็มิได้มีแก่พระองค์
เลย ก็แลในเวลาที่พระภรตะทรงพระกันแสงประทับนั่ง เป็นเวลาสายัณหสมัย
พระลักขณบัณฑิต และพระนางสีดาทั้ง 2 พระองค์ ทรงพากันถือผลาผล
เสด็จมาถึง. พระรามบัณฑิตทรงดำริว่า เจ้าลักขณะและแม่สีดายังเป็นเด็ก
ยังไม่มีปรีชากำหนดถี่ถ้วนเหมือนเรา ได้รับบอกเล่าว่า บิดาของเธอสวรรคต
แล้วโดยรวดเร็ว เมื่อไม่อาจจะยับยั้งความเศร้าโศกไว้ได้ แม้หัวใจของเธอ
ก็อาจแตกไปได้ เราต้องใช้อุบายให้เจ้าลักขณะและแม่สีดาจงไปแช่น้ำแล้ว
ให้ได้ฟังข่าวนั้น. ลำดับนั้น ทรงชี้แอ่งน้ำแห่งหนึ่ง ข้างหน้าแห่งกษัตริย์ทั้ง
2 พระองค์นั้น ตรัสว่า เจ้าทั้ง 2 มาช้านัก นี่เป็นทัณฑกรรมของเจ้า เจ้าจง
ลงไปแช่น้ำยืนอยู่ ดังนี้แล้ว จึงตรัสกึ่งพระคาถาว่า
มานี่แน่ะเจ้าลักขณะ และนางสีดาทั้ง 2 จงมา
ลงน้ำ.

คำอันเป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า นานี่แน่ะเจ้าลักขณะและนางสีดา
จงพากันมา จงลงสู่น้ำทั้ง 2 คน.

พระลักขณะและพระนางสีดาทั้ง 2 พระองค์นั้น พากันเสด็จลงไป
ประทับยืนอยู่ ด้วยพระดำรัสครั้งเดียวเท่านั้น. ลำดับนั้น พระรามบัณฑิต
เมื่อจะทรงบอกข่าวแห่งพระราชบิดาแก่กษัตริย์ทั้ง 2 พระองค์นั้น จึงตรัสกึ่ง
คาถาที่เหลือว่า
พ่อภรตะนี้ กล่าวอย่างนี้ว่า พระราชาทสรถ
สวรรคตเสียแล้ว.

พระลักขณะและพระนางสีดาทั้ง 2 พระองค์นั้น พอได้สดับข่าวว่า
พระราชบิดาสวรรคตเท่านั้น ก็พากันวิสัญญีสลบไป. พระรามบัณฑิตตรัสบอก
ซ้ำอีก ก็พากันสลบไปอีก. หมู่อำมาตย์ช่วยกันอุ้มกษัตริย์ทั้ง 2 พระองค์
อันทรงถึงวิสัญญีภาพไปถึง 3 ครั้ง ด้วยอาการอย่างนี้ ขึ้นจากน้ำให้ประทับนั่ง
บนบก. เมื่อเธอทั้ง 2 ได้ลมอัสสาสปัสสาสะแล้ว ทุกพระองค์ต่างก็ประทับนั่ง
ทรงพระกันแสงคร่ำครวญกันเรื่อย. ครั้งนั้น พระภรตกุมาร ทรงพระดำริว่า
พระภาดาของเรา ลักขณกุมารและพระภคินีสีดาเทวีของเรา สดับข่าวว่า
พระทสรถสวรรคตเสียแล้ว มิอาจจะยับยั้งความเศร้าโศกไว้ได้ แต่พระราม
บัณฑิต มิได้ทรงเศร้าโศก มิได้ทรงคร่ำครวญเลย อะไรเล่าหนอ เป็นเหตุ
แห่งความไม่เศร้าโศกของพระองค์ ต้องถามพระองค์ดู. เมื่อท้าวเธอจะตรัส
ถามพระองค์ จึงตรัสพระคาถาที่ 2 ว่า
พี่รามบัณฑิต ด้วยอานุภาพอะไร เจ้าพี่จึงไม่
เศร้าโศก ถึงสิ่งที่ควรเศร้าโศก ความทุกข์มิได้ครอบงำ
พี่เพราะได้สดับว่า พระราชบิดาสวรรคตเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปภาเวน แปลว่า ด้วยอานุภาพ. บทว่า
น ตํ ปสหเต ทุกฺขํ ความว่า ความทุกข์เห็นปานนี้ เหตุไรจึงไม่บีบคั้น
พี่ได้เลย อะไรเป็นเครื่องบังคับมิให้พี่เศร้าโศกเลย โปรดแจ้งแก่หม่อมฉันก่อน.

ลำดับนั้น พระรามบัณฑิต เมื่อจะแสดงเหตุที่บังคับมิให้พระองค์ทรง
เศร้าโศก แก่พระกุมารภรตะนั้น จึงตรัสว่า
คนเราไม่สามารถจะรักษาชีวิต ที่คนเป็นอันมาก
พร่ำเพ้อถึง นักปราชญ์ผู้รู้แจ้งจะทำตนเพื่อให้เดือดร้อน
เพื่ออะไรกัน.
ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต ทั้งคนมั่งมี
ทั้งคนยากจน ล้วนบ่ายหน้าไปหามฤตยูทั้งนั้น.
ผลไม้ที่สุกแล้ว ก็พลันแต่จะหล่นลงเป็นแน่
ฉันใด สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว ก็พลันแต่จะตาย
เป็นแน่ ฉันนั้น.
เวลาเช้าเห็นกันอยู่มากคน พอถึงเวลาเย็น
บางคนก็ไม่เห็นกัน เวลาเย็นเห็นกันอยู่มากคน พอ
ถึงเวลาเช้าบางคนก็ไม่เห็นกัน.
ถ้าผู้ที่คร่ำครวญหลงเบียดเบียดตนอยู่ จะพึงได้
รับประโยชน์สักเล็กน้อยไซร้ บัณฑิตผู้มีปรีชา ก็จะ
พึงทำเช่นนั้นบ้าง.
ผู้เบียดเบียนตนของตนอยู่ ย่อมซูบผอม
ปราศจากผิวพรรณ สัตว์ผู้ละไปแล้วไม่ได้ช่วยคุ้มครอง
รักษา ด้วยการร่ำไห้นั้นเลย การร่ำไห้ไร้ประโยชน์.
คนฉลาดพึงดับไฟที่ไหม้เรือนด้วยน้ำ ฉันใด
คนผู้เป็นนักปราชญ์ ได้รับการศึกษามาดีแล้ว มีปัญญา
เฉลียวฉลาด พึงรีบกำจัดความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นโดย
พลัน เหมือนลมพัดปุยนุ่น ฉะนั้น.

คน ๆ เดียวเท่านั้น ตายไป คนเดียวเท่านั้น เกิด
ในตระกูล ส่วนการคบหากันของสรรพสัตว์ มีการ
เกี่ยวข้องกันเป็นอย่างยิ่ง.
เพราะเหตุนั้นแล ความเศร้าโศกแม้จะมากมาย
ก็ไม่ทำจิตใจของนักปราชญ์ผู้เป็นพหูสูต มองเห็น
โลกนี้และโลกหน้า รู้ทั่วถึงกรรมให้เร่าร้อนได้.
เราจักให้ยศ และโภคสมบัติ แก่ผู้ที่ควรจะได้
จักทะนุบำรุงภริยา ญาติทั้งหลาย และคนที่เหลือ นี้
เป็นกิจของบัณฑิตผู้ปรีชา.

พระรามบัณฑิต ได้ประกาศถึงอนิจจตาด้วยคาถา 6 คาถาเหล่านี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาเลตุํ ได้แก่ เพื่อจะรักษา. บทว่า
ลปตํ ได้แก่ ผู้บ่นเพ้ออยู่ ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า พ่อภรตะเอ๋ย
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย บรรดาที่พากันร่ำไห้ถึงกันมากมาย แม้สักคนเดียว
ก็มิอาจจะรักษาไว้ได้ว่า อย่าขาดไปเลยนะ บัดนี้ผู้เช่นเรานั้น รู้โลกธรรมทั้ง
8 ประการ โดยความเป็นจริง ชื่อว่า วิญญูชน มีความหลักแหลมเป็นบัณฑิต
ในเมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีชีวิต มีความตายเป็นที่สุด ตายไปแล้ว จะยังตนให้เข้า
ไปเดือดร้อนเพื่ออะไรกัน คือเหตุไรจึงจะแผดเผาตน ด้วยความทุกข์ของตน
อันหาอุปการะมิได้. คาถาว่า ทหรา จ เป็นต้นมีอธิบายว่า พ่อภรตะเอ๋ย ขึ้น
ชื่อว่า มฤตยู นี้ มิได้ละอาย ต่อคนหนุ่มผู้เช่นกับรูปทองคำ มีขัตติยกุมารเป็น

ต้นเลย และมิได้เกรงขามย่อมหาโยธาทั้งหลาย ผู้ถึงความเจริญโดยคุณ มิได้
เกรงกลัวเหล่าสัตว์ ผู้สันดานหนาเป็นพาล มีได้ยำเกรงปวงบัณฑิต มีพระ-
พุทธเจ้าเป็นต้น มิได้หวั่นเกรงมวลอิสริยชน มีพระเจ้าจักรพรรดิเป็นต้น มิ
ได้อดสูต่อคนขัดสนไม่เว้นตัว ฝูงสัตว์เหล่านี้ แม้ทั้งหมดล้วนบ่ายหน้าไปหา
มฤตยู พากันย่อยยับแหลกลาญที่ปากแห่งความตายทั้งนั้นแหละ. บทว่า ปตน-
โต
ได้แก่ โดยการตกไป มีอธิบายว่า ดูก่อนพ่อภรตะเอ๋ย เปรียบเหมือน
ผลไม้อันสุกแล้ว ตั้งแต่เวลาที่สุกแล้วไป ก็มีแต่จะรอเวลาร่วงหล่น ว่าจะพราก
จากขั้วหล่นลงบัดนี้ หล่นลงเดี๋ยวนี้ คือผลไม้เหล่านั้น มีแต่จะคอยระแวงอยู่
อย่างนี้ว่า ความหวั่นที่จะต้องหล่นเป็นการแน่นอนเที่ยงแท้ มีแต่เรื่องนั้น
ถ่ายเดียวเท่านั้น ฉันใด แม้ฝูงสัตว์ที่ต้องตาย ที่เกิดมาแล้ว ก็ฉันนั้น หวั่นเกรง
แต่ที่จะตายถ่ายเดียวเท่านั้น ขณะหรือครู่ที่ฝูงสัตว์เหล่านั้น จะไม่ต้องระแวง
ความตายนั้น ไม่มีเลย. บทว่า สายํ แปลว่า ในเวลาเย็น. ด้วยบทว่า สายํ
นี้ ท่านแสดงถึงการที่ไม่ปรากฏของผู้ที่เห็นกันอยู่ในเวลากลางวัน ในเวลา
กลางคืน และของสัตว์ผู้เห็นกันอยู่ในเวลากลางคืน ในเวลากลางวัน. บทว่า
กิญฺจิทตฺถํ ความว่า ถ้าคนเราคร่ำครวญอยู่ด้วยคิดว่า พ่อของเรา ลูกของ
เรา ดังนี้เป็นต้น หลงใหลเบียดเบียนตนอยู่ ให้ตนลำบากอยู่ จะพึงนำ
ประโยชน์มาแม้สักหน่อย. บทว่า กยิรา เจ นํ วิจกฺขโณ ความว่า เมื่อ
เป็นเช่นนั้น บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงร่ำไห้เช่นนั้น. แต่เพราะผู้ร่ำไห้อยู่ ไม่
สามารถจะนำผู้ตายแล้วมาได้ หรือสามารถจะทำความเจริญอื่น ๆ แก่ผู้ตายแล้ว
นั้นได้ เหตุนั้นจึงเป็นกิริยาที่ไร้ประโยชน์ แก่ผู้ที่ถูกร่ำไห้ถึง บัณฑิตทั้งหลาย
จึงไม่ร่ำไห้. บทว่า อตฺตานมตฺตโน ความว่า ผู้ร่ำไห้กำลังเบียดเบียน
อัตภาพของตน ด้วยทุกข์คือความโศกและความร่ำไห้. บทว่า น เตน ความ
ว่า ด้วยความร่ำไห้นั้น ฝูงสัตว์ผู้ไปปรโลกแล้ว ย่อมจะคุ้มครองไม่ได้ จะยังตน

ให้เป็นไม่ได้เลย. บทว่า นิรตฺถา ความว่า เพราะเหตุนั้น การร่ำไห้ถึงฝูง
สัตว์ผู้ตายไปแล้วเหล่านั้นจึงเป็นกริยาที่หาประโยชน์มิได้. บทว่า สรณํ ได้แก่
เรือนเป็นที่อยู่อาศัย ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเรือน
ถูกไฟไหม้ ก็ไม่ต้องตกใจแม้สักครู่ รีบดับเสียด้วยน้ำตั้งพันหม้อทันที ฉันใด
ธีรชนก็ฉันนั้น พึงดับความโศกที่เกิดขึ้นแล้ว โดยทันทีทีเดียว กำจัดปัดเป่า
เสียโดยวิธี ที่ความโศกจะไม่อาจตั้งอยู่ได้ เหมือนลมพัดปุยนุ่น ฉะนั้น. ใน
บทว่า เอโกว มจฺโจ มีอธิบายดังต่อไปนี้ พ่อภรตะเอ๋ย ฝูงสัตว์เหล่านี้
ชื่อว่า มีกรรมเป็นของของตน สัตว์ผู้ไปสู่ปรโลกจากโลกนี้ ผู้เดียวจากฝูงสัตว์
เหล่านั้น ล่วงไปผ่านไป แม้เมื่อเกิดในตระกูลมีกษัตริย์เป็นต้น ผู้เดียวเท่านั้น
ไปเกิด. ส่วนความร่วมคบหากันของสัตว์ทั้งปวงในที่นั้น ๆ มีการเกี่ยวข้องกัน
นั้นว่า ผู้นี้เป็นบิดาของเรา ผู้นี้เป็นมารดาของเรา ผู้นี้เป็นญาติมิตรของเรา
ดังนี้ ด้วยอำนาจที่เกี่ยวข้องกัน ทางญาติ ทางมิตร เท่านั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่
เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ ฝูงสัตว์เหล่านี้ ในภพทั้ง 3 มีกรรมเป็นของของตนทั้งนั้น.
บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเว้นความเกี่ยวข้องทางญาติ ทางมิตร อัน
เป็นเพียงการคบหากัน ของสัตว์เหล่านี้เสียแล้ว ต่อจากนั้นย่อมเป็นอื่นไปไม่
ได้ ฉะนั้น. บทว่า สมฺปสฺสโต ได้แก่ เห็นโลกนี้และโลกหน้า อันมีความ
พลัดพรากจากกันเป็นสภาวะโดยชอบ. บทว่า อญฺญาย ธมฺมํ ได้แก่ เพราะ
รู้โลกธรรม 8 ประการ. บทว่า หทยํ มนญฺจ นี้ ทั้ง 2 บท เป็นชื่อของจิต
นั่นเอง ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า
โปฏฐปาทะเอ๋ย ธรรมในมวลมนุษย์เหล่านี้ คือ
มีลาภ ไม่มีลาภ มียศ ไม่มียศ นินทา สรรเสริญ
สุขและทุกข์ เป็นของไม่เที่ยง เธออย่าเศร้าโศก เธอ
จะเศร้าโศกไปทำไม ดังนี้.

ความเศร้าโศกแม้จะใหญ่หลวง ซึ่งมีบุตรที่เป็นที่รักตายไปเป็นวัตถุ
ย่อมปรากฏทางจิต ด้วยโลกธรรม 8 ประการอย่างใดอย่างหนึ่งนี้ และย่อมไม่
แผดเผาหทัย ของธีรชนผู้ดำรงอยู่ เพราะได้รู้ถึงสภาวธรรมอันนั้นว่าเป็นของ
ไม่เที่ยง. อีกนัยหนึ่ง พึงเห็นความในข้อนี้ อย่างนี้ว่า ความเศร้าโศกแม้ว่า
จะใหญ่หลวงก็จะแผดเผาหทัยวัตถุ และใจของธีรชนไม่ได้ เพราะมาทราบโลก
ธรรม 8 ประการนี้. บทว่า โสหํ ยสญฺจ โภคญฺจ ความว่า พ่อภรตะ
เอ๋ย การร้องไห้ร่ำไห้ เหมือนของพวกคนอันธพาล ไม่สมควรแก่เราเลย แต่
เราเมื่อพระราชบิดาล่วงลับไปดำรงอยู่ในฐานะของพระองค์นั่นแล จะให้ทานแก่
คนที่ควรให้ มีพวกคนกำพร้าเป็นต้น ให้ตำแหน่งแก่ผู้ที่ควรให้ตำแหน่ง ให้
ยศแก่ผู้ที่ควรจะให้ยศ บริโภคอิสริยยศ โดยนัยที่พระราชบิดาของเราทรงบริโภค
ทรงเลี้ยงหมู่ญาติ จะคุ้มครองคนที่เหลือ คือคนภายในและคนที่เป็นบริวาร
จักกระทำการปกป้องและคุ้มครองกันโดยธรรม แก่สมณะและพราหมณ์ผู้ทรง
ธรรม เพราะทั้งนี้เป็นกิจอันสมควรของผู้รู้ คือ ผู้เป็นบัณฑิต.
ฝูงชนฟังธรรมเทศนาอันประกาศความไม่เที่ยง ของพระรามบัณฑิตนี้
แล้ว พากันสร่างโศก. ต่อจากนั้น พระภรตกุมารบังคมพระรามบัณฑิตทูล
ว่า เชิญพระองค์ทรงรับราชสมบัติ ในพระนครพาราณสีเถิด. ดูก่อนพ่อ
ท่านจงพาพระลักขณ์และสีดาเทวีไปครองราชสมบัติกันเถิด. ทูลถามว่า ก็
พระองค์เล่า พระเจ้าข้า. ตรัสว่า พ่อเอ๋ย พระบิดาของฉันได้ตรัสไว้
กะฉันว่า ต่อล่วง 12 ปี เจ้าค่อยมาครองราชสมบัติ เมื่อฉันจะไป ณ
บัดนี้เล่า ก็เป็นอันไม่ชื่อว่าไม่กระทำตามพระดำรัสของพระองค์ แต่ครั้น
พ้นจาก 3 ปี อื่นไปแล้ว ฉันจักยอมไป. ทูลถามว่า ตลอดกาลเพียงนี้
ใครจักครองราชสมบัติเล่า. พวกเธอครองซี. ทูลว่า หากหม่อมฉันไม่ครอง.
ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นรองเท้าคู่นี้จักครองจนกว่าฉันไป แล้วทรงถอดฉลองพระ-
บาททำด้วยหญ้าของพระองค์ประทานให้. กษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์รับฉลอง

พระบาทบังคมพระรามบัณฑิต แวดล้อมด้วยมหาชน เสด็จไปสู่พระนคร
พาราณสี. ฉลองพระบาทครองราชสมบัติตลอด 3 ปี. พวกอำมาตย์พากันวาง
ฉลองพระบาทหญ้าเหนือราชบังลังก์ แล้วพากันตัดสินคดี. ถ้าตัดสินไม่ดี
ฉลองพระบาทก็กระทบกัน ด้วยสัญญานั้น ต้องพากันตัดสินใหม่ เวลาที่ตัด
สินชอบแล้ว ฉลองพระบาทปราศจากเสียงและคงเงียบอยู่. ต่อนั้นสามปี พระ-
รามบัณฑิตจึงเสด็จออกจากป่าบรรลุถึงพระนครพาราณสี เสด็จเข้าสู่พระราช
อุทยาน. พระกุมารทั้งหลาย ทรงทราบความที่พระองค์เสด็จมา มีหมู่อำมาตย์
แวดล้อมเสด็จไปพระอุทยาน ทรงกระทำนางสีดาเป็นอัครมเหสีแล้วอภิเษกทั้ง
คู่. พระมหาสัตว์ทรงปราบดาภิเษกแล้ว ประทับเหนือราชรถอันอลงกต เสด็จ
เข้าสู่พระนครด้วยบริวารขบวนใหญ่ ทรงเลียบพระนครแล้วเสด็จขึ้นสู่ท้อง
พระโรง แห่งพระสุนันทนปราสาท. ตั้งแต่นั้น ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม
ตลอดหมื่นหกพันปี ในเวลาสิ้นพระชนมายุ ทรงยังเมืองสวรรค์ให้เนืองแน่น
แล้ว. อภิสัมพุทธคาถานี้ว่า
พระเจ้ารานผู้มีพระศอดุจกลองทอง มีพระพาหา
ใหญ่ ทรงครอบครองราชสมบัติอยู่ตลอด 16,000 ปี

ดังนี้ ย่อมประกาศเนื้อความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กมฺพุคิโว ความว่า มีพระศอ เช่นกับ
แผ่นทองคำ. จริงอยู่ ทองคำเรียกว่า กัมพุ.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ใน
เวลาจบสัจจะ กุฎุมพีดำรงในโสดาปัตติผล ทรงประชุมชาดกว่า พระทส-
รถมหาราช
ครั้งนั้น ได้มาเป็นสุทโธทนมหาราช พระมารดาได้มาเป็น
พระมหามายา สีดาได้มาเป็นมารดาของราหุล เจ้าภรตะได้มาเป็น
อานนท์ เจ้าลักขณ์ ได้มาเป็นสารีบุตร บริษัทได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วน
รามบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาทสรถชาดก

8. สังวรชาดก



ว่าด้วยพระราชาผู้มีศีลาจารวัตรที่ดีงาม



[1577] ข้าแต่พระมหาราช พระราชาผู้เป็น
จอมแห่งชน ทรงทราบถึงพระศีลาจารวัตรของ
พระองค์ ทรงยกย่องพระกุมารเหล่านี้ มิได้สำคัญ
พระองค์ด้วยชนบทอะไรเลย.

[1578] เมื่อพระมหาราชาผู้สมมติเทพ ยังทรง
พระชนม์อยู่หรือทิวงคตแล้วก็ตาม พระประยูรญาติ
ผู้เห็นประโยชน์ตนเป็นสำคัญ พากันยอมรับนับถือ
พระองค์.

[1579] ข้าแต่พระเจ้าสังวรราช ด้วยพระศีลา-
จารวัตรข้อไหน พระองค์จึงสถิตอยู่เหนือพระเชษฐ-
ภาดาผู้ทรงร่วมกำเนิดได้ ด้วยพระศีลาจารวัตรข้อไหน
หมู่พระญาติที่ประชุมกันแล้ว จึงไม่ย่ำยีพระองค์ได้.

[1580] ข้าแต่พระราชบุตร หม่อมฉันมิได้
ริษยาสมณะทั้งหลายผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวง
หม่อมฉันนอบน้อมท่านเหล่านั้นโดยเคารพ ไหว้เท้า
ของท่านผู้คงที่.

[1581] สมณะเหล่านั้น ยินดีแล้วในคุณธรรม
ของท่านผู้แสวงหาคุณ ย่อมพร่ำสอนหม่อมฉันผู้
ประกอบในคุณธรรม ผู้พอใจฟังไม่มีความริษยา.