เมนู

7. ทสรถชาดก


ว่าด้วยผู้มีปัญญาย่อมไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่เสียไปแล้ว


[1564] มานี่แน่ะ เจ้าลักขณ์และนางสีดาทั้ง
สองจงมาลงน้ำ พระภรตนี้กล่าวอย่างนี้ว่าพระเจ้า
ทสรถสวรรคตเสียแล้ว.

[1565] พี่ราม ด้วยอานุภาพอะไร เจ้าพี่ไม่เศร้า
โศกถึงสิ่งที่ควรเศร้าโศก ความทุกข์มิได้ครอบงำพี่
เพราะได้ทรงสดับว่าพระราชบิดาสวรรคตเล่า.

[1566] คนเราไม่สามารถจะรักษาชีวิต ที่คน
เป็นอันมากพร่ำเพ้อถึง นักปราชญ์ผู้รู้แจ้งจะทำตนให้
เดือดร้อนเพื่ออะไรกัน.

[1567] ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต
ทั้งคนมั่งมีทั้งคนยากจน ล้วนบ่ายหน้าไปหามฤตยูทั้ง
นั้น.

[1568] ผลไม้ที่สุกแล้ว ก็พลันแต่จะหล่นลง
เป็นแน่ฉันใด สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว ก็พลันแต่จะ
ตายเป็นแน่ ฉันนั้น.

[1569] เวลาเช้าเห็นกันอยู่มากคน พอถึงเวลา
เย็นบางคนไม่เห็นกัน เวลาเย็นเห็นกันอยู่มากคน พอ
ถึงเวลาเช้าบางคนไม่เห็นกัน.

[1570] ถ้าผู้ที่คร่ำครวญหลงเบียดเบียนตนอยู่
จะพึงได้รับประโยชน์สักเล็กน้อยไซร้ บัณฑิตผู้มีปรีชา
ก็จะพึงทำเช่นนั้นบ้าง.

[1571] ผู้เบียดเบียนตนเองตนอยู่ ย่อมซูบ
ผอมปราศจากผิวพรรณ สัตว์ผู้ละไปแล้วไม่ได้ช่วยคุ้ม
ครองรักษา ด้วยการร่ำไห้นั้นเลย การร่ำไห้ไร้
ประโยชน์.

[1572] คนฉลาดพึงดับไฟที่ไหม้เรือนด้วยน้ำ
ฉันใด คนผู้เป็นนักปราชญ์ได้รับการศึกษามาดีมี
ปัญญาเฉลียวฉลาด พึงรีบกำจัดความโศกที่เกิดขึ้นโดย
ฉับพลัน เหมือนลมพัดปุยนุ่นฉันนั้น.

[1573] คน ๆ เดียวนั้นตายไป คนเดียวเท่านั้น
เกิดในตระกูล ส่วนการคบหากันของสรรพสัตว์ มีความ
เกี่ยวข้องกันเป็นอย่างยิ่ง.

[1574] เพราะเหตุนั้นแล ความเศร้าโศกแม้
จะมากมายก็ไม่ทำจิตใจของนักปราชญ์ ผู้เป็นพหูสูต
มองเห็นโลกนี้และโลกหน้า รู้ทั่วถึงธรรมให้เร่าร้อนได้.

[1575] เราจักให้ยศ และโภคสมบัติ แก่ผู้ที่ควร
จะได้ จักทะนุบำรุงภรรยา ญาติทั้งหลาย และคนที่
เหลือ นี้เป็นกิจของบัณฑิตผู้ปรีชา.

[1576] พระเจ้ารามผู้มีพระศอดุจกลองทอง มี
พระพาหาใหญ่ ทรงครอบครองราชสมบัติอยู่ตลอด
16,000 ปี.

จบทสรถชาดกที่ 7

อรรถกถาทสรถชาดก



พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ
ปรารภกุฎุมพีผู้บิดาตายแล้วคนหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า เอถ ลกฺขณสีตา จ ดังนี้.
ความพิสดารว่า กุฎุมพีนั้น เมื่อบิดาถึงแก่กรรมแล้วถูกความเศร้า
โศกครอบงำ จึงทอดทิ้งหน้าที่การงานเสียทุกอย่าง ครุ่นแต่ความเศร้าโศกอยู่
แต่ถ่ายเดียว. พระศาสดา ทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทอดพระเนตร
เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของเขา รุ่งขึ้นจึงเสด็จโปรดสัตว์ในกรุงสาวัตถี
เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว ทรงส่งภิกษุทั้งหลายกลับ ทรงชวนไว้เป็นปัจฉา
สมณะเพียงรูปเดียว เสด็จไปยังเรือนของเขา เมื่อตรัสเรียกเขาผู้นั่งถวายบังคม
ด้วยพระดำรัสอันไพเราะ จึงตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก เจ้าเศร้าโศกไปทำไม เมื่อ
เขากราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเศร้าโศกถึงบิดากำลัง
เบียดเบียนข้าพระองค์ จึงตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก บัณฑิตในปางก่อน ทราบ
โลกธรรม 8 ประการ ตามความเป็นจริง เมื่อบิดถึงแก่กรรมแล้ว ก็มิได้
ประสบความเศร้าโศก แม้สักน้อยหนึ่งเลย เขากราบทูลอาราธนา จึงทรงนำ
อดีตนิทานมาตรัสว่า
ในอดีตกาล พระเจ้าทสรถมหาราช ทรงละความถึงอคติ เสวย-
ราชสมบัติโดยธรรม ในกรุงพาราณสี พระอัครมเหสีผู้เป็นใหญ่กว่าสตรี
16,000 นางของท้าวเธอ ประสูติพระโอรส 2 พระองค์ พระธิดา 1 พระองค์
พระโอรสองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า รามบัณฑิต องค์น้องทรงพระนามว่า ลัก-
ขณกุมาร
พระธิดาทรงพระนามว่าสีดาเทวี. ครั้นจำเนียรกาลนานมา พระอัคร