เมนู

[1562] เจ้าชายองค์ใดเป็นผู้ประเสริฐกว่า
มนุษย์ทั้งหลาย ยังกำลังหนุ่มแน่น เปล่งปลั่งดังทอง
ธรรมชาติ เจ้าชายองค์นั้นมีกำลังแข็งแรงมีผ้านุ่งห่ม
ย้อมน้ำฝาดบวชแล้ว.

[1563] เจ้าชายทั้งสององค์ คือยุธัญชัยกับ
ยุธิฏฐิละทรงละทั้งพระราชมารดาและพระราชบิดา
แล้ว ทรงตัดเครื่องข้องแห่งมัจจุราชเสด็จออกผนวช
แล้ว.

จบยุธัญชัยชาดกที่ 6

อรรถกถายุธัญชัยชาดก



พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ-
ปรารภการออกมหาภิเนษกรมณ์ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
มิตฺตมจฺจปริพฺยุฬฺหํ ดังนี้.
ความพิสดารว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงธรรมสภา
กล่าวถ้อยคำสรรเสริญพระคุณของพระศาสดาว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าว่า
พระทศพลจักเสด็จครองเรือนไซร้ ก็จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ใน
ห้องสกลจักรวาล มีรัตนะ 7 ประการอย่างครบครัน ทรงสำเร็จฤทธิ์ทั้ง 4
มีพระโอรสกว่าพันเป็นบริวาร พระองค์ ทรงสละพระราชสมบัติ อันทรงสิริ
เห็นปานนี้ ทรงเห็นโทษในกามทั้งหลาย ทรงม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะเป็นสหาย

ออกจากพระนครในเวลาเที่ยงคืน ทรงผนวช ณ ฝั่งแม่น้ำนที มีนามว่า
อโนมา ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาตลอด 6 พระพรรษา จึงได้ทรงบรรลุ
พระสัมมาสัมโพธิญาณได้ดังพระประสงค์. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า
ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้น
กราบทูลให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น
ที่ตถาคตออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ แม้ในกาลก่อน ก็เคยละราชสมบัติในกรุง
พาราณสี อันมีประมาณเนื้อที่ 12 โยชน์ ออกบวชแล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้ว
จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล ได้มีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สัพพทัต
พระนครรัมมะ. ที่จริง กรุงพาราณสีนี้ ในอุทยชาดก มีนามว่า สุรุนธนะ
ในจุลลสุตตโสมชาดก มีนามว่า สุทัศนะ ในโสณนันทชาดก มีนามว่า
พรหมวัฑฒนะ ในกัณฐหาลชาดก มีนามว่า ปุปผวดี แต่ในยุธัญชัยชาดกนี้
ได้มีนามว่า รัมมะ นามของพระนครนี้ ได้เปลี่ยนไปในกาลบางคราว ด้วย
ประการฉะนี้. ณ พระนครรัมมะนั้น พระเจ้าสัพพทัตได้มีพระราชโอรสพัน
พระองค์ ทรงพระราชทานสถาปนาพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ทรงพระนาม
ว่า ยุธัญชยะ เป็นที่พระอุปราช. พระอุปราชนั้น ได้ทรงบำเพ็ญมหาทาน
ทุก ๆ วัน. ครั้นกาลล่วงไปอย่างนี้ วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ทรงรถอันประเสริฐ
แต่เช้าตรู่ เสด็จไปสู่กีฬาในพระราชอุทยาน ด้วยพระสิริสมบัติอันใหญ่ยิ่ง
ทอดพระเนตรหยาดน้ำค้าง อันติดอยู่อย่างกับตาข่าย ที่ทำด้วยเส้นด้าย ณ ที่
ต่าง ๆ มียอดไม้ ยอดหญ้า ปลายกิ่งไม้ และใยแมลงมุมเป็นต้น จึงตรัสถามว่า
แน่ะสารถีผู้สหายเอ๋ย นี่เขาเรียกว่าอะไรกัน ได้ทรงสดับว่า ขอเดชะ เหล่านี้
เขาเรียกกันว่าหยาดน้ำค้าง อันตกลงในฤดูหิมะ พระเจ้าข้า ทรงเล่นในพระราช
อุทยานตลอดวัน เสด็จกลับก็ต่อเมื่อเวลาสายัณห์ มิได้ทรงเห็นหยาดน้ำค้าง

เหล่านั้นเลย ตรัสถามว่า สารถีผู้สหายเอ๋ย หยาดน้ำค้างเหล่านี้ ไปไหนหมด
บัดนี้ฉันไม่เห็นมันเลย ทรงสดับว่า ขอเดชะ หยาดน้ำค้างเหล่านั้น เมื่อ
ดวงอาทิตย์ขึ้นไปอยู่ ก็ละลายตกลงเหนือแผ่นดินหมดเลย พระเจ้าข้า ดังนี้แล้ว
ทรงสลดพระทัยดำริว่า แม้ชีวิตและสังขารแห่งสัตว์เหล่านี้ ก็เป็นเสมือน
หยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้า เรายังไม่ถูกชรา พยาธิ และมรณะเบียดเบียน
เลยทีเดียว ควรจะอำลาพระมารดา พระราชบิดาไปบวชดังนี้แล้ว จึงทรง
กระทำหยาดน้ำค้างนั่นแล ให้เป็นอารมณ์ ทรงเห็นภพทั้ง 3 ประดุจมีเพลิงลุก
ทั่วไป เสด็จมาถึงพระตำหนักของพระองค์แล้ว ก็ทรงดำเนินไปยังพระตำหนัก
พระราชบิดา ผู้ประทับนั่งอยู่ ณ วินิจฉัยศาลา อันตกแต่งประดับประดาดีแล้ว
ถวายบังคมพระราชบิดา ประทับยืน ณ ส่วนข้างหนึ่ง เมื่อจะทูลขออนุญาต
บรรพชา จึงตรัสพระคาถาที่ 1 ว่า
หม่อมฉัน ขอถวายบังคมพระองค์ ผู้เป็นจอมทัพ
มีมิตรและอำมาตย์แวดล้อมแน่นขนัด ข้าแต่พระทูล-
กระหม่อม หม่อมฉันจักบวช ขอได้โปรดทรงอนุญาต
เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริพฺยุฬฺหํ แปลว่า แวดล้อมแล้ว. บทว่า
ตํ เทโว ความว่า ขอพระทูลกระหม่อม ทรงโปรดได้อนุญาตการบรรพชา
แก่กระหม่อมฉันนั้นเถิด.
ลำดับนั้น พระราชาเมื่อจะทรงห้ามท่าน จึงตรัสพระคาถาที่ 2 ว่า
ถ้าเธอยังบกพร่องด้วยกามทั้งหลาย ฉันจักเพิ่ม
เติมให้เต็มครบ ผู้ใดเบียดเบียนเธอ ฉันจักห้ามปราม
พ่อยุธัญชัยเอ๋ย อย่าเพิ่งบวชเลย.

พระราชกุมาร ทรงได้สดับพระราชดำรัสนั้นแล้ว จึงตรัสพระคาถา
ที่ 3 ว่า
หม่อมฉันมิได้บกพร่องด้วยกามทั้งหลายเลย ไม่
มีใครเบียดเบียนหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันปรารถนาจะ
ทำที่พึ่ง ที่ชราครอบงำไม่ได้ พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทีปญฺจ ความว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม
ความบกพร่องด้วยกามทั้งหลาย ของหม่อมฉันมิได้มีเลยทีเดียว ใคร ๆ ที่จะ
ข่มเหงหม่อมฉันเล่า ก็ไม่มี แต่หม่อมฉันปรารถนาจะสร้างที่พึ่งของหม่อมฉัน
เพื่อการไปยังปรโลก. บทว่า ยํ ชรา นาภิกีรติ ความว่า หม่อมฉันปรารถนา
จะกระทำเกาะที่ชราจะครอบงำไม่ได้ จะกำจัดไม่ได้ คือ จะแสวงหาอมตมหา-
นิพพาน หม่อมฉันไม่ต้องการด้วยกามทั้งหลาย ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอ
พระองค์โปรดทรงอนุญาตให้หม่อมฉันบวชเถิด พระเจ้าข้า.
พระกุมารทูลขอบรรพชาเรื่อย ๆ ด้วยประการฉะนี้. พระราชาตรัส
ห้ามว่า อย่าบวชเลยพ่อคุณเอ๋ย. พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น
จึงตรัสกึ่งพระคาถาว่า
พระโอรสกราบทูลวิงวอนพระราชบิดา พระ-
ราชบิดาหรือก็ทรงวิงวอนพระราชโอรส.

วาอักษรในพระคาถานั้น เป็นสัมปิณฑนัตถะ (มีการประมวลมาเป็น
อรรถ). ข้อนี้มีพุทธาธิบายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระโอรสก็วิงวอนพระ-
ราชบิดา และพระราชบิดาก็ทรงวิงวอนพระราชโอรส.
พระราชาตรัสกึ่งพระคาถาที่เหลือว่า

พ่อเอ๋ย ชาวนิคมพากันอ้อนวอนว่า ข้าแต่
พระยุธัญชัย พระองค์อย่าทรงผนวชเลย.

คำแห่งคาถานั้น มีอธิบายว่า พ่อเอ๋ย มหาชนชาวนิคมนี้ พากัน
อ้อนวอนลูก ถึงชนชาวนครเล่าก็พากันอ้อนวอนเหมือนกันว่า พระองค์อย่า
บวชเลย.
พระกุมารตรัสพระคาถาที่ 5 ว่า
ข้าแต่พระราชบิดาผู้ทรงเป็นจอมทัพ พระองค์
อย่าทรงห้ามหม่อมฉันผู้จะบวชเลย อย่าให้หม่อมฉัน
ได้มัวเมาอยู่ด้วยกามทั้งหลาย เป็นไปในอำนาจแห่ง
ชราเลย พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วสมนฺวคู ความว่า หม่อมฉันอย่าเป็น
คนหมกมุ่นด้วยกามทั้งหลาย ได้นามว่า ดำเนินไปสู่อำนาจของชราเลย. อธิบาย
ว่า ก็แลทูลกระหม่อม โปรดทรงทอดพระเนตรหม่อมฉัน โดยฐานะที่จะเป็น
ผู้ยังวัฏทุกข์ให้สิ้นไปแล้ว ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณเถิด พระเจ้าข้า.
เมื่อพระโพธิสัตว์ ได้กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระราชาได้ทรงยอมจำนน
ฝ่ายพระราชมารดาของพระโพธิสัตว์นั้น ทรงสดับว่า ข้าแต่พระเทวี พระโอรส
ของพระนาง กำลังกราบทูลให้พระราชบิดาทรงอนุญาตการบรรพชาอยู่ เจ้าคะ
ตรัสว่า พวกเจ้าพากันพูดเรื่องอะไรกัน ทั้ง ๆ ที่พระพักตร์ก็มิได้ผัด ประทับ
นั่งเหนือพระวอทอง รีบเสด็จไปสู่สถานที่วินิจฉัย เมื่อจะตรัสวิงวอน จึงตรัส
คาถาที่ 6 ว่า
ลูกเอ๋ย แม่ขอร้องเจ้า แม่ขอห้ามเจ้า แม่ปรารถนา
จะเห็นเจ้านาน ๆ เจ้าอย่าบวชเลยนะ พ่อยุธัญชัย.

พระราชกุมาร ได้สดับพระราชเสาวนีย์นั้นแล้ว จึงตรัสคาถาที่ 7 ว่า
น้ำค้างบนยอดหญ้า พระอาทิตย์ขึ้นก็เหือดแห้ง
ไป ฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น ขอทูล
กระหม่อมแม่ อย่าทรงห้ามฉันเลย พระเจ้าข้า.

คำแห่งคาถานั้น มีอธิบายว่า ข้าแต่ทูลกระหม่อมแม่ หยาดน้ำค้าง
บนยอดหญ้า พอพระอาทิตย์ขึ้นไปก็สลายแห้งหายไป มิอาจจะดำรงอยู่ได้ คือ
ตกลงดินหมด ฉันใด ชีวิตของหมู่สัตว์เหล่านั้น ก็ฉันนั้น เป็นของนิดหน่อย
เป็นไปชั่วกาล มิได้ตั้งอยู่นานเลย ในโลกสันนิวาสเห็นปานนี้ พระองค์จะ
ทรงเห็นหม่อมฉันนาน ๆ ได้อย่างไรเล่า พระเจ้าข้า โปรดอย่าทรงห้าม
หม่อมฉันเลย.
แม้เมื่อพระโพธิสัตว์ กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระนางก็คงตรัสอ้อนวอน
แล้ว ๆ เล่า ๆ อยู่นั่นเอง. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้า เมื่อจะกราบทูลเตือน
พระราชบิดา จึงตรัสพระคาถาที่ 8 ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมเสนา ขอได้โปรดรีบ
ตรัสให้พระราชมารดาเสด็จขึ้นสู่ยานนี้เสียเถิด พระ
มารดาอย่าได้ทรงกระทำอันตราย แก่หม่อมฉัน ผู้
กำลังรีบด่วนเสียเลย.

คำเป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อมผู้เป็นจอมรถ
โปรดตรัสให้คนรีบเชิญพระมารดาของหม่อมฉันนี้ เสด็จขึ้นสู่พระยาน คือ
พระวอทอง พระมารดาอย่าได้ทรงทำอันตรายแก่หม่อมฉัน ผู้กำลังจะข้ามก้าว
ล่วงแดนกันดารคือ ชาติ ชรา พยาธิ และมรณะเสียเลย.
พระราชาทรงได้สดับพระดำรัสของพระโอรสแล้ว ตรัสว่า นางผู้เจริญ
ขอได้ไปเสียเถิด จงประทับนั่งเหนือวอของเธอ ขึ้นสู่ปราสาทอันยังความยินด๊

ให้เจริญเลยทีเดียวเถิด. พระนางทรงสดับพระราชดำรัสของพระราชานั้น เมื่อ
มิอาจจะประทับอยู่ได้ ทรงแวดล้อมไปด้วยหมู่นารี เสด็จไปสู่พระปราสาท
ได้ประทับยืนทอดพระเนตรสถานวินิจฉัย ด้วยหมายพระทัยว่า ลูกรักจักเป็น
ไปอย่างไรเล่าหนอ. ฝ่ายพระโพธิสัตว์เจ้า เมื่อพระมารดาเสด็จไปแล้ว ทรง
อ้อนวอนพระราชบิดาอีก. พระราชา เมื่อมิทรงอาจจะห้ามได้ ก็ทรงอนุญาต
ว่า พ่อเอ๋ย ถ้าเช่นนั้น จงทำใจของเธอให้ถึงที่สุดเถิด พ่อจงผนวชเถิด.
ในเวลาที่พระราชาทรงอนุญาตแล้ว พระขนิษฐาของพระโพธิสัตว์เจ้า พระนาม
ว่ายุธิฏฐิลกุมาร ถวายบังคมพระราชบิดา กราบทูลขออนุญาตว่า ข้าแต่พระทูล
กระหม่อม ขอพระองค์โปรดอนุญาตการบรรพชาของหม่อมฉันด้วยเถิด. พระ
พี่น้องทั้งสองพระองค์ ถวายบังคม.พระราชบิดา ละกามทั้งหลาย มีมหาชน
แวดล้อมพากันเสด็จออกจากสถานที่วินิจฉัย. ฝ่ายพระเทวีทอดพระเนตรดูพระ
มหาสัตว์ ทรงพระกันแสงว่า เมื่อลูกฉันผนวชแล้ว รัมมนครก็จักว่างเปล่า
จึงตรัสพระคาถาทั้ง 2 ว่า
ท่านทั้งหลาย จงช่วยวิ่งเต้นด้วยเถิด ขอความ
เจริญจงมีแก่ท่านเถิด รัมมนครจักเปล่าเปลี่ยวเสียแล้ว
พ่อยุธัญชัย พระเจ้าสัพพทัตทรงอนุญาตแล้วละ.
เจ้าชายพระองค์ใด เป็นผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์
ทั้งหลาย ยังกำลังหนุ่มแน่นเปล่งปลั่งดังทองธรรมชาติ
เจ้าชายพระองค์นั้น มีพระกำลังแข็งแรง มีผ้านุ่งห่ม
ย้อมด้วยน้ำฝาดบวชแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิธาวถ ความว่า พระนางมิได้ตรัสสั่ง
เหล่านารี ที่ยืนล้อมอยู่ทุกนางทีเดียวว่า แน่ะนางผู้เจริญทั้งหลาย สูทั้งหลายจงวิ่ง
เต้นเข้าเถิด. ด้วยบทว่า ภทฺทนฺเต พระนางตรัสว่า ความเจริญเพราะการ
ไปอย่างนั้น จงมีแก่สูเถิด. บทว่า รมฺมกํ พระนางตรัสหมายถึงรัมมนคร.

บทว่า โยหุ เสฏฺโฐ ความว่า พระโอรสของพระราชาผู้ประเสริฐกว่าพระ-
โอรสตั้งพ้นนั้น ทรงผนวชเสียแล้ว ทั้งนี้ พระนางตรัสหมายถึง พระมหาสัตว์
ผู้กำลังเสด็จไปเพื่อทรงผนวช ด้วยประการฉะนี้.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ยังไม่ทรงผนวชในทันที. พระองค์ทรงถวายบังคม
พระราชมารดา พระราชบิดาแล้ว ทรงชักชวนพระขนิษฐายุธิฏฐิลกุมาร เสด็จ
ออกจากพระนคร ให้มหาชนพากันกลับไปแล้ว พระพี่น้องทั้ง 2 พระองค์
ก็เสด็จเข้าสู่ป่าหิมพานต์ ทรงสร้างอาศรม ณ สถานที่อันน่ารื่นรมย์ใจ ทรง
ผนวชเป็นฤาษี ทำฌานและอภิญญาให้บังเกิดได้แล้ว เลี้ยงชีพด้วยผลหมากราก
ไม้ ในป่าเป็นต้น จนตลอดพระชามายุ ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
แล้ว. พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า
เจ้าชายทั้ง 2 พระองค์ คือยุธัญชัยกับยุธิฏฐิละ
ทรงละทิ้งพระราชมารดาและพระราชบิดาแล้วทรงตัด
เครื่องข้องแห่งมัจจุราช เสด็จออกผนวชแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มจฺจุโน แปลว่า แห่งมาร. มีพุทธา-
ธิบายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระกุมารทั้ง 2 พระองค์นั้น คือยุธัญชัยและ
ยุธิฏฐิละทรงละพระราชมารดาและพระราชบิดาเสีย ตัดเครื่องข้องของมาร
คือกิเลสเป็นเครื่องข้อง ได้แก่ ราคะ โทสะ และโมหะ พากันผนวชแล้ว.
พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะทั้ง
หลายแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ถึงในกาลก่อน
ตถาคตก็ได้เคยละราชสมบัติผนวชแล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้ว จึงทรงประชุม
ชาดกว่า พระราชมารดาพระราชบิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นตระกูลมหาราชใน
บัดนี้ ยุธิฏฐิลกุมาร ได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนยุธัญชัย ก็คือเรา
ตถาคตนั่นเองแล.

จบอรรถกถายุธัญชัยชาดก

7. ทสรถชาดก


ว่าด้วยผู้มีปัญญาย่อมไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่เสียไปแล้ว


[1564] มานี่แน่ะ เจ้าลักขณ์และนางสีดาทั้ง
สองจงมาลงน้ำ พระภรตนี้กล่าวอย่างนี้ว่าพระเจ้า
ทสรถสวรรคตเสียแล้ว.

[1565] พี่ราม ด้วยอานุภาพอะไร เจ้าพี่ไม่เศร้า
โศกถึงสิ่งที่ควรเศร้าโศก ความทุกข์มิได้ครอบงำพี่
เพราะได้ทรงสดับว่าพระราชบิดาสวรรคตเล่า.

[1566] คนเราไม่สามารถจะรักษาชีวิต ที่คน
เป็นอันมากพร่ำเพ้อถึง นักปราชญ์ผู้รู้แจ้งจะทำตนให้
เดือดร้อนเพื่ออะไรกัน.

[1567] ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต
ทั้งคนมั่งมีทั้งคนยากจน ล้วนบ่ายหน้าไปหามฤตยูทั้ง
นั้น.

[1568] ผลไม้ที่สุกแล้ว ก็พลันแต่จะหล่นลง
เป็นแน่ฉันใด สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว ก็พลันแต่จะ
ตายเป็นแน่ ฉันนั้น.

[1569] เวลาเช้าเห็นกันอยู่มากคน พอถึงเวลา
เย็นบางคนไม่เห็นกัน เวลาเย็นเห็นกันอยู่มากคน พอ
ถึงเวลาเช้าบางคนไม่เห็นกัน.