เมนู

อรรถกถาภิกขาปรัมปรชาดก


พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภ
กุฎุมพีผู้ใดผู้หนึ่ง ตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า สุขุมาลรูปํ ดังนี้.
เรื่องมีว่า กุฎุมพีนั้นเป็นผู้มีสัทธาเลื่อมใส กระทำมหาสักการะแด่
พระตถาคตเจ้า และแด่พระสงฆ์เนือง ๆ. ครั้นวันหนึ่ง เขาได้คิดว่า เราถวาย
โภชนะอันประณีตและเนื้อละเอียด แด่พระพุทธรัตนะและพระสงฆ์กระทำ
มหาสักการะเนือง ๆ คราวนี้ต้องกระทำมหาสักการะแก่พระธรรมรัตนะบ้าง
เมื่อกระทำสักการะแก่พระธรรมรัตนะนั้นต้องทำอย่างไรเล่าหนอ. เขาถือของ
หอมและมาลาเป็นต้นมาก ไปสู่พระวิหารเชตวัน ถวายบังคมพระศาสดา
กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาจะกระทำ
สักการะแก่พระธรรมรัตนะนั้น ควรกระทำอย่างไรเล่า พระเจ้าข้า. ครั้งนั้น
พระศาสดาตรัสกะเขาว่า ถ้าเธอปรารถนาจะกระทำสักการะแก่พระธรรมรัตนะ
ไซร้ จงกระทำสักการะแก่อานนท์ ผู้เป็นคลังพระธรรมเถิด. เขากราบทูลว่า
สาธุ นิมนต์พระเถระในวันรุ่งขึ้น นำไปสู่เรือนของตนด้วยสักการะใหญ่ ให้
ท่านนั่งเหนืออาสนะมีค่ามาก บูชาด้วยของหอมและมาลาเป็นต้น ถวายโภชนะ
มีรสเลิศต่าง ๆ แล้วได้ถวายผ้าราคาแพง พอแก่ไตรจีวร พระเถรเจ้าก็ดำริว่า
สักการะทั้งนี้กุฎุมพีการทำแก่พระธรรมรัตนะ ไม่สมควรแก่เรา สมควรแก่
พระธรรมเสนาบดี จึงนำบิณฑบาตและผ้าไปสู่พระวิหาร ถวายแด่พระสารีบุตร-
เถรเจ้า พระคุณท่านนั้นเล่า ก็ดำริว่า สักการะทั้งนี้เขากระทำแก่พระ-
ธรรมรัตนะ ควรแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นเจ้าของแห่งพระธรรม
พระองค์เดียวโดยแท้ จึงถวายแด่พระทศพล พระศาสดาไม่ทรงเห็นผู้ยิ่งกว่า

พระองค์ จึงเสวยบิณฑบาตทรงรับผ้าจีวร พวกภิกษุยกเรื่องขึ้นสนทนาใน
ธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย กุฎุมพีชื่อโน้นคิดจะการทำสักการะแก่พระ-
ธรรมรัตนะ ได้ถวายแด่พระอานนท์เถรเจ้า ผู้เป็นคลังพระธรรม พระเถรเจ้า
ดำริว่า นี้ไม่สมควรแก่ตน ได้ถวายแด่พระธรรมเสนาบดี ถึงท่านนั้นก็ดำริว่า
นี้ไม่สมควรแก่ตน ได้ถวายแด่พระตถาคต ทีนั้นพระตถาคตมิได้ทรงเห็นผู้อื่น
ที่ยิ่งกว่าพระองค์ ทรงพระดำริว่า สักการะนั้นสมควรแก่เราเท่านั้น และทรง
รับผ้าเพื่อจีวร ด้วยอาการอย่างนี้ บิณฑบาตบรรลุถึงพระบาทมูลของพระธรรม
สามีทีเดียว เพราะพระองค์เป็นผู้สมควร พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อพวกภิกษุกราบทูล
ให้ทรงทราบแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้นที่
บิณฑบาต ไปต่อ ๆ กันจนถึงผู้ที่สมควรจนได้ ในครั้งก่อน แม้เมื่อพระ
พุทธเจ้ายังไม่อุบัติ ก็ได้ถึงแล้วเหมือนกัน พวกภิกษุพากันกราบทูลอาราธนา
ทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัต ทรงละการลุอคติ ไม่ให้
พระราชธรรมทั้ง 10 ประการเสื่อมเสีย เสวยราชสมบัติโดยธรรม ณ พระนคร
พาราณสี เมื่อเป็นเช่นนี้ การวินิจฉัยของพระองค์ไม่ต้องมี เป็นดุจว่างเปล่า
พระราชาทรงแสวงหาโทษของพระองค์ ทรงกำหนดดูแม้ทั้งภายในพระราช
นิเวศน์เป็นต้น มิได้ทรงเห็นผู้กล่าวถึงโทษของพระองค์ ในภายในพระราชวัง
ในภายในพระนคร และในหมู่บ้านใกล้ประตูพระนคร ทรงดำริว่า จักต้อง
แสวงหาในชนบท ทรงมอบราชสมบัติให้แก่มวลอำมาตย์ ปลอมพระองค์จาริก
ไปในกาสิกรัฐกับท่านปุโรหิต ไม่ทรงพบผู้ที่กล่าวโทษของพระองค์เลยสักคน
เสด็จไปถึงนิคมหนึ่งในชายแดน ประทับนั่งที่ศาลานอกประตู ขณะนั้นกุฎุมพี

ผู้มีสมบัติ 80 โกฏิ ชาวนิคมไปสู่ท่าน้ำกับบริวารมากมาย เห็นพระราชาผู้มี
พระสรีระละเอียดอ่อน มีผิวพรรณเพียงดังทองคำ ประทับนั่งที่ศาลา เกิดความ
สิเนหา เข้าไปสู่ศาลา กระทำปฏิสันถารแล้วทูลว่า เชิญท่านอยู่ตรงนี้เท่านั้น
เถิดนะ ไปเรือนจัดแจงโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ ให้บริวารมากคนถือภาชนะ
ใส่ภัตไป ขณะนั้นดาบสผู้อยู่ในหิมวันตประเทศ ได้อภิญญา 5 มานั่ง
ณ ศาลานั้นเหมือนกัน ยังมีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาทางอากาศ จากเงื้อมเขา
นันทมูลกะ นั่ง ณ ศาลานั้นอีกองค์หนึ่ง กุฎุมพีถวายน้ำชำระพระหัตถ์แก่
พระราชา เตรียมถาดใส่ภัตพร้อมแกงและกับมีรสเลิศต่าง ๆ พลางน้อมเข้า
ไปถวาย พระราชาทรงรับภัตนั้นแล้ว พระราชทานแก่ปุโรหิต พราหมณ์รับ
ถาดภัตนั้นแล้ว ถวายแด่ดาบส ดาบสรับถาดภัตนั้นแล้ว ไปสู่สำนัก
ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ถือถาดภัตไวด้วยหัตถ์เบื้องซ้าย ถือเต้าน้ำด้วยหัตถ์
เบื้องขวา ถวายทักษิโณทกแล้ว ใส่ภัตลงในบาตร ท่านมิได้เชื้อเชิญ มิได้
ไต่ถามใคร ๆ ฉันแล้ว ในเวลาที่ท่านเสร็จภัตกิจ กุฎุมพีดำริว่า เราถวายภัต
แก่พระราชา พระราชาพระราชทานภัตแก่ปุโรหิต ปุโรหิตถวายแด่ดาบส
ดาบสถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ไต่ถามใครเลยทีเดียว ฉันแล้ว อะไร
เล่าหนอเป็นเหตุบังคับแห่งการให้ของท่านเหล่านี้ ผู้มีเท่านี้ อะไรเล่าเป็น
เหตุบังคับให้มิต้องไต่ถามใคร ๆ ฉันเลย ของพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ เรา
ต้องถามท่านเหล่านั้นตามลำดับ เขาเข้าไปหาทีละท่าน ไหว้แล้วถาม. แม้ท่าน
เหล่านั้นก็บอกเขา ดังต่อไปนี้
ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นพระองค์ผู้ทรงเป็นสุขุ-
มาลชาติ เคยประทับในพระตำหนักอันประเสริฐ
ทรงบรรทมเหนือพระยี่ภู่อันใหญ่โต เสด็จจากแว่น
แคว้นมาสู่ดง จึงได้ทูลถวายข้าวสุก อย่างดีแห่งข้าว

สาลี เป็นภัตอันวิจิตร มีแกงเนื้ออันสะอาดด้วยความรัก
ต่อพระองค์ พระองค์ทรงรับภัตนั้นแล้ว นี้ได้เสวย
ด้วยพระองค์เอง ให้พระราชทานแก่พราหมณ์ ข้าพระ-
พุทธเจ้าขอถวายบังคมพระองค์ ข้อนี้เป็นธรรมอะไร
ของพระองค์.
พราหมณ์เป็นอาจารย์ของฉัน เป็นผู้ขวนขวาย
ในกิจน้อยกิจใหญ่ทั้งเป็นครู และผู้คอยตักเตือน ฉัน
ควรให้โภชนะ.
บัดนี้ ข้าพเจ้าขอถามท่านพราหมณ์ผู้โคดมอัน
พระราชาทรงบูชา พระราชาทรงพระราชทานภัต อัน
มีแกงเนื้ออย่างสะอาดแก่ท่าน ท่านรับภัตนั้นแล้วได้
ถวายโภชนะแก่ฤาษี ชะรอยท่านจะรู้ว่าตนมิได้เป็น
เขตแห่งทาน ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแก่ท่าน ธรรมข้อนี้
เป็นธรรมอะไรของท่าน.
ข้าพเจ้ายังกำหนัดอยู่ในเรือนทั้งหลาย ต้องเลี้ยง
บุตรและภรรยา ถวายอนุศาสน์แก่พระราชา เชิญให้
เสวยกามอันเป็นของมนุษย์ ข้าพเจ้าควรถวายโภชนะ
แก่ฤาษี ผู้อยู่ในป่าสิ้นกาลนาน ผู้เรืองตบะเป็นวุฒิ-
บุคคลอบรมตนแล้ว.
บัดนี้ ข้าพเจ้าขอถามท่านฤาษีผู้ซูบผอม สะพรั่ง
ไปด้วยเส้นเอ็น มีเล็บและขนรักแร้งอกยาว ฟันเขลอะ
มีธุลีบนศีรษะ ท่านอยู่ในป่าผู้เดียวไม่ห่วงใยชีวิต ภิกษุ
ที่ท่านถวายโภชนะนั้นดีกว่าท่านด้วยคุณข้อไหน.

อาตมภาพยังขุดเผือก มันมือเสือ มันนก ยัง
เก็บข้าวฟ่างและลูกเดือยมาตากตำ เที่ยวหาฝักบัว
เหง้าบัว น้ำผึ้ง เนื้อสัตว์ พุทรา และมะขามป้อมมา
บริโภค ความยึดถือนั้นของอาตมายังมีอยู่ เมื่ออาตมา
ยังหุงต้ม ก็ควรถวายโภชนะแก่ท่านผู้ไม่หุงต้ม ยังมี
กังวลก็ควรถวายโภชนะแก่ผู้ไม่มีความห่วงใย ยังมี
ความถือมั่น ก็ควรถวายโภชนะแก่ท่านผู้ไม่มีความ
ถือมั่น.
บัดนี้ กระผมขอถามท่านภิกษุผู้นั่งนิ่ง มีวัตร
อันดี พระฤาษีถวายภัตตาหารอันปรุงด้วยเนื้อสะอาด
แก่ท่านดังนั้น ท่านรับภัตตาหารนั้นแล้วนั่งนิ่ง ฉันอยู่
องค์เดียว ไม่เชื้อเชิญใคร ๆ อื่น กระผมขอนมัสการ
แก่พระคุณท่าน นี้เป็นธรรมอะไรของพระคุณท่าน.
อาตมาไม่ได้หุงต้มเอง ไม่ได้ให้ใครหุงต้ม ไม่
ได้ตัดเอง ไม่ได้ให้ใครตัด ฤาษีรู้ว่าอาตมาไม่มีความ
กังวล เป็นผู้ห่างไกลจากบาปทั้งปวง จึงถือภิกษาหาร
ด้วยมือซ้าย ถือเต้าน้ำด้วยมือขวา ถวายภัตตาหารอัน
ปรุงด้วยเนื้อสะอาดแก่อาตมา บุคคลเหล่านี้ยังมีความ
ห่วงใย ยังมีความยึดถือ จึงสมควรจะให้ทาน อาตมา
เข้าใจเอาว่า การที่บุคคลเชื้อเชิญผู้ให้นั้นเป็นการผิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิวนํ ความว่า เคยเสด็จมาสู่ชายแดนนี้
อันเป็นเสมือนป่าที่หาน้ำมิได้. บทว่า กูฏาคารวรูเปตํ ความว่า เคยเสด็จ
เข้าไปแต่พระตำหนักอันประเสริฐ คือเคยประทับอยู่ในพระตำหนักอันประเสริฐ.
บทว่า มหาสยนมุปาสิตํ คือเคยเสด็จเข้าสู่พระแท่นสิริยาสน์อันตกแต่งไว้

เป็นอันดี ในพระตำหนักนั้นเอง. บทว่า ตสฺส เต ความว่า ข้าพระองค์
เห็นพระองค์ผู้เห็นปานนี้. บทว่า เปมเกน ความว่า ความจงรักอันมีต่อ
พระองค์นั้น. บทว่า วฑฺฒโมทนํ ได้แก่ ข้าวสุกอย่างดี. บทว่า วิจิตฺตํ
ความว่า อันหุงด้วยข้าวสารอันงดงามปราศจากเม็ดหักและเม็ดดำ. บทว่า
อทาปยิ แปลว่า ได้ถวายแล้ว. บทว่า อตฺตานํ แปลว่า ด้วยพระองค์
อีกอย่างหนึ่งบาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า อนสิตฺวานแปลว่ามิได้เสวยเเล้ว.
บทว่า โกยํ ธมฺโม ความว่า ข้อนี้เป็นสภาวธรรมอะไรของพระองค์
พระเจ้าข้า. บทว่า นมตฺถุ เต ความว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมแด่
พระองค์ผู้มีได้เสวยด้วยตนแล้วพระราชทานแก่ผู้อื่น. บทว่า อาจริโย ความว่า
ดูก่อนกุฎุมพี พราหมณ์ผู้นี้เป็นอาจารย์ผู้ฝึกสอนอาจาระของฉัน. บทว่า ปาวโต
แปลว่า ผู้ขวนขวาย. บทว่า อามนฺตนิโก ความว่า ควรที่ฉันจะพึงเชื้อเชิญ
คือเหมาะที่จะถือเอาสิ่งที่ฉันให้. บทว่า ทาตุมรหามิ ความว่า เพราะเหตุนั้น
ฉันจึงควรให้โภชนะแก่อาจารย์เห็นปานนี้ ทั้งนี้พระราชาทรงพรรณนาคุณของ
พราหมณ์.
บทว่า อเขตฺตญฺญูสิ ความว่า ชะรอยว่าท่านจะทราบเขตของ
ทานโดยแท้ คือการให้ในตน มิใช่เขตเช่นนี้ว่า สิ่งที่ให้แล้วในเรา มิได้มี
ผลมากเลย. บทว่า อนุสาสามิ ความว่า ท่านปุโรหิตกล่าวถึงโทษในตน
อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าละทิ้งประโยชน์ตน ถวายอนุสาสน์อรรถและธรรมแด่พระ-
ราชา. บทว่า อารญฺญิกสฺส คือ ปุโรหิตกล่าวคุณของพระฤาษี. บทว่า
อิสิโน ได้แก่ ผู้แสวงหาคุณมีศีลเป็นต้น. บทว่า ตปสฺสิโน คือผู้บำเพ็ญ
ตบะ. บทว่า วุฑฺฒสฺส ได้แก่ ผู้เป็นบัณฑิต เจริญด้วยคุณธรรม. บทว่า
นาวกงฺขสิ ความว่า ทั้งตนเองก็หาโภชนะได้ยาก ยังให้โภชนะเช่นนี้แก่ผู้อื่น
ไม่ห่วงใยในชีวิตของตนเลยหรือ. บทว่า ภิกฺขุ เกน คือภิกษุนี้ประเสริฐ
กว่าพระคุณด้วยคุณข้อไหน. บทว่า ขณมาลุกลมฺพานิ ความว่า อาตมา
ยังขุดเผือกมัน. บทว่า พิลาลิตกฺกลานิ จ ความว่า มันมือเสือ และมันนก.

บทว่า ธุนิสามากนิวารํ ความว่า ยังสลัดข้าวฟ่างและลูกเดือย. บทว่า สสาทิยํ
ปสาทิยํ
ความว่า เมื่อสลัดข้าวฟ่างและลูกเดือยเหล่านั้นได้ก็ผึ่งแดด แล้วซ้อมที่
แห้งแล้วอีก ฟัดด้วยกระด้ง คำเป็นข้าวสารนำมาหุงต้มบริโภค. บทว่า สากํ
ได้แก่ ผักชนิดหนึ่งที่เป็นกับข้าวได้. บทว่า มํสํ ได้แก่ เนื้อมีเนื้ออันเป็นเดน
ราชสีห์และเสือโคร่ง เป็นต้น. บทว่า ตานิ อาหตฺถ ความว่า นำผักเป็นต้น
เหล่านั้นมา. บทว่า อมมสฺส ได้แก่ ผู้หมดความห่วงใยว่าของเราด้วยอำนาจ
ตัณหาและทิฏฐิ. บทว่า สกิญฺจโน ได้แก่ ยังมีความห่วงใย. บทว่า อนาทานสฺส
ได้แก่ ผู้ไม่ยึดถือ. บทว่า ทาตุมรหามิ ความว่า ย่อมควรเพื่อจะให้โภชนะที่ตน
ได้แล้วแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นปานนี้. บทว่า ตุณฺหิมาสินํ คือนั่งไม่พูด
กะใคร ๆ. บทว่า อกิญฺจนํ คือผู้เว้นจากความห่วงใยด้วยอำนาจราคะเป็นต้น.
บทว่า อารนํ ได้แก่ เว้นขาดแล้ว คือละบาปทั้งปวงตั้งอยู่. บทว่า กมณฺฑลุํ
ได้แก่ ลักจั่น. บทว่า เอเต หิ ความว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านเหยียด
มือชี้ว่า คนทั้ง 3 มีพระราชาเป็นต้นเหล่านี้. บทว่า ทาตุมรหนฺติ ความว่า
ย่อมควรที่จะให้แก่บุคคลเช่นเรา. บทว่า ปจฺจนีกํ ความว่า ความจริงการ
เชื้อเชิญผู้ให้นะ เป็นปฏิปทาที่ผิด คือนี้เป็นการเลี้ยงชีวิตด้วยการแสวงหา
ปิณฑะตอบแทนบิณฑะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาอเนสนา 21 อย่างย่อม
ชื่อว่าเป็นมิจฉาปฏิบัติ.
กุฎุมพีฟังคำนั้นของท่านแล้วดีใจ กล่าวคาถาสุดท้าย 2 คาถาว่า
วันนี้พระราชาผู้ประเสริฐเสด็จมา ณ ที่นี้เพื่อ
ประโยชน์แก่ข้าพระพุทธเจ้าหนอ ข้าพระพุทธเจ้าเพิ่ง
ทราบชัดวันนี้เองว่า ทานที่ให้ในท่านผู้ใดจักมีผลมาก
พระราชาทั้งหลายทรงกังวลอยู่ในแว่นแคว้น พราหมณ์
ทั้งหลายกังวลอยู่ในกิจน้อยกิจใหญ่ ฤาษีกังวลอยู่ใน
เหง้ามันและผลไม้ ส่วนพวกภิกษุหลุดพ้นได้แล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รเถสโภ พระจอมรถ กุฎุมพีพูดหมายความ
ถึงพระราชา. บทว่า กิจฺจากิจฺเจสุ คือในกิจของพระราชาที่ตนพึงกระทำ
บทว่า ภิกฺขโว ความว่า แต่พระภิกษุผู้ปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พ้นได้แล้ว
จากภพทั้งปวง.
พระปัจเจกพุทธเจ้าแสดงธรรมแก่เขาแล้ว ก็กลับไปสู่สถานแห่งตน
ทีเดียว. ดาบสก็เหมือนกัน ส่วนพระราชาทรงพักอยู่ในสำนักของเขาสอง
สามวัน แล้วเสด็จไปสู่พระนครพาราณสีเหมือนกัน.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสย้ำว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่บิณฑบาตไปถึงที่สมควรจนได้ แม้ใน
ครั้งก่อน ก็ได้ไปถึงแล้วเหมือนกัน ทรงประชุมชาดกว่า กุฎุมพีผู้บูชาธรรม
ครั้งนั้น ได้มาเป็นกุฎุมพีผู้ทำสักการะแก่พระธรรมรัตนะ พระราชา
ได้มาเป็นอานนท์ ปุโรหิตได้มาเป็นสารีบุตร พระปัจเจกพุทธเจ้าได้
ปรินิพพานแล้ว ส่วนดาบสจากหิมพานต์ได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาภิกขาปรัมปรชาดก
จบอรรถกถาปกิณณกนิบาตชาดก

รวมชาดกที่มีในปกิณณกนิบาตนี้ คือ


1. สาลิเกทารชาดก 2. จันทกินนรชาดก 3. มหาอุกกุสชาดก
4. อุททาลกชาดก 5. ภิสชาดก 6. สุรุจิชาดก 7. ปัญจุโปสถิกชาดก
8. มหาโมรชาดก 9. ตัจฉสูกรชาดก 10. มหาวาณิชชาดก 11.
สาธินราชชาดก 12. ทสพราหมณชาดก 13. ภิกขาปรัมปรชาดก และ
อรรถกถา.