เมนู

อรรถกถาสาธินราชชาดก


พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภ
พวกอุบาสกรักษาอุโบสถ ตรัสเรื่องนี้มีคำขึ้นต้นว่า อพฺภูโต วต โลกสฺมึ
ดังนี้.
มีเรื่องย่อว่า ครั้งนั้นพระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย บัณฑิต
แต่ครั้งก่อน อาศัยอุโบสถกรรมของตน ไปสู่เทวโลกอยู่สิ้นกาลนานด้วยสรีระ
แห่งมนุษย์นั่นแล ทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามสาธินะ ทรงครองราชสมบัติโดย
ธรรม ณ พระนครมิถิลา ท้าวเธอได้สร้างโรงทานไว้ 6 แห่ง คือ ที่ประตู
พระนครทั้ง 4 ที่กลางพระนคร และที่ประตูราชนิเวศน์ ทรงบำเพ็ญ
มหาทาน กระทำชมพูทวีปทุกแห่งหน ให้เก็บไถได้ พระราชทานทรัพย์
ประมาณหกแสนกระษาปณ์ เป็นราชทรัพย์ที่ทรงใช้จ่ายทุก ๆ วัน ทรง
รักษาศีล 5 ทรงถืออุโปสถ. ชาวแว่นแคว้นเล่าก็พากันตั้งอยู่ในโอวาทของท้าว
เธอ ต่างกระทำบุญมีให้ทานเป็นต้น ตายแล้ว ๆ บังเกิดในเมืองเทวดาทั้งนั้น
ฝูงเทพพากันนั่งแน่นเทวสภาชื่อสุธรรมา ต่างพรรณนาพระคุณมีศีลเป็นต้นของ
พระราชาเท่านั้น. เทพที่เหลือฟังเรื่องนั้นแล้ว ก็มีปรารถนาที่จะเห็นพระราชา
ไปตาม ๆ กัน. ท้าวสักกเทวราช ทรงทราบใจของเทพเหล่านั้น ตรัสว่า
พวกเธอปรารถนาจะเห็นพระเจ้าสาธินราชหรือ พวกเทพพากันกราบทูลว่า
พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้เป็นเทพเจ้า. ท้าวเธอจึงตรัสสั่งเทพบุตรมาตลีว่า เธอ
จงไปจัดเวชยันตรถ รับพระเจ้าสาธินราชมา. เทพบุตรมาตลีรับเทวบัญชาว่า
สาธุ แล้วจัดรถไปสู่แคว้นวิเทหะ ครั้งนั้นเป็นวันเพ็ญ เวลาที่พวกมนุษย์บริโภค

อาหารเย็นแล้วนั่งสนทนากันด้วยสุขกถาที่ประตูเรือน มาตลีเทพบุตรก็ขับรถ
พร้อมกับจันทรมณฑล. ฝูงชนพากันกล่าวว่า พระจันทร์ขึ้นสองดวง แต่ครั้น
เห็นทั้งรถทั้งจันทรมณฑลวิ่งมาพากันชื่นชมโสมนัสว่า นี่ไม่ใช่ดวงจันทร์ นี่เป็น
รถ ทั้งเทพบุตรก็ปรากฏ รถทิพย์เทียมด้วยสินธพมโนมัยคันนี้มารับใคร ไม่มี
คนอื่นละ ต้องเป็นพระราชาของพวกเรา เพราะว่าพระราชาของพวกเรา
ทรงธรรมเป็นพระธรรมราชา แล้วต่างยืนประครองอัญชลี กล่าวคาถาเป็น
ปฐมว่า
อัศจรรย์จริงหนอ ขนพองสยองเกล้าเกิดขึ้น
แล้วในโลก รถทิพย์ได้ปรากฏแก่พระเจ้าวิเทหราชผู้
เรืองยศ.

คำอันเป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า พระจอมวิเทหะผู้เรืองพระยศ ราชา
ของพวกเรานั้นเป็นผู้น่าอัศจรรย์ จริงละ ความขนพองสยองเกล้าเกิดแล้วในโลก
ตรงที่รถทิพย์ปรากฏเพื่อพระองค์.
มาตลีเทพบุตรนำรถมาถึง เมื่อฝูงชนพากันบูชาด้วยดอกไม้เป็นต้น
ก็กระทำประทักษิณพระนคร 3 รอบ แล้วไปสู่ทวารวังของพระราชากลับรถจอดไว้
ใกล้ธรณีช่องพระแกลทางส่วนด้านหลัง ยืนเตรียมรับเสด็จ วันนั้นเล่าพระราชา
ตรวจโรงทาน ตรัสสั่งว่า สูทั้งหลายจงให้ทานโดยทำนองนี้ทีเดียว ทรงสมา
ทานอุโบสถ ประทับยับยั้งอยู่ตลอดวัน มีหมู่อำมาตย์แวดล้อม ประทับนั่งผัน
พระพักตร์เฉพาะช่องพระแกลด้านตะวันออก ตรัสกถาอันประกอบด้วยธรรม
อยู่ ณ ท้องพระโรงอันอลงกต. ครั้งนั้นมาตลีเทพบุตร ก็ทูลเชิญพระองค์
เสด็จขึ้นสู่รถ พาไป.

พระศาสดา เมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
มาตลีเทพบุตรเทพสารถีผู้มีฤทธิ์มาก ได้เชื้อเชิญ
พระเจ้าวิเทหราชผู้ครองมิถิลานครว่า ข้าแต่พระราชา
ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ผู้เป็นใหญ่ทั่วทิศ ขอเชิญ
พระองค์เสด็จทรงรถนี้เถิด ด้วยว่าทวยเทพชั้นดาวดึงส์
พร้อมด้วยสมเด็จอมรินทราธิราช ใคร่จะเห็นพระองค์
ทวยเทพเหล่านั้น ประชุมพร้อมกันอยู่ ณ สุธรรมา
เทวสภา ลำดับนั้นแล พระเจ้าวิเทหราชพระนามว่า
สาธินะ ผู้ครองมิถิลานคร เสด็จทรงรถอันเทียมด้วย
ม้าพันหนึ่ง ได้เสด็จไปยังสำนักเทวดาทั้งหลาย (พระ-
มหาราชาทรงประทับยืนบนทิพยาน อันเทียมด้วยม้า
พันหนึ่งซึ่งม้าลากไป เสด็จไปอยู่ ได้ทอดพระเนตร
เห็นเทวสภานี้) ทวยเทพเห็นพระราชาเสด็จมาดังนั้น
ก็พากันชื่นชมยินดี กระทำปฏิสัณฐารเชื้อเชิญว่า ข้าแต่
พระมหาราชา พระองค์เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง ชื่อว่า
พระองค์มิได้เสด็จมาร้าย ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหา
คุณใหญ่ ขอพระองค์ทรงประทับใกล้ ๆ กับท้าวเทวราช
เสียแต่บัดนี้เถิด ฝ่ายท้าววาสวสักกเทวราวชทรงชื่นชม
ยินดี เชื้อเชิญพระเจ้าสาธินราชผู้ครองมิถิลานครด้วย
ทิพยกามารมณ์และอาสนะว่า ข้าแต่พระราชฤาษี
เป็นการดีแล้วที่พระองค์เสด็จมาถึงที่อยู่ของทวยเทพ
ผู้บันดาลให้เป็นไปในอำนาจได้ ขอเชิญพระองค์

ประทับอยู่ในหมู่ทวยเทพ ผู้ให้สำเร็จทิพยกามารมณ์
ทุกอย่าง ขอเชิญพระองค์ทรงเสวยกามคุณ อันมิใช่
ของมนุษย์ในหมู่ทวยเทพชั้นดาวดึงส์เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมจฺฉเร แปลว่า ย่อมปรารถนา. บทว่า
อคา เทวาน สนฺติเก ความว่า ได้ครรไลไป ณ สำนักแห่งหมู่เทพ แท้
จริงเมื่อพระเจ้าสาธินราชเสด็จรถประทับเรียบร้อยแล้ว รถก็ออกแล่นไปสู่อากาศ
แล้วหายวับไปทั้ง ๆ ที่มหาชนกำลังแหงนดูอยู่นั่นแล เทพบุตรมาตลีนำเสด็จ
พระราชาสู่เทวโลก. หมู่เทวดาและท้าวสักกะเห็นท้าวเธอต่างร่างเริงดีใจพากัน
ลุกขึ้นรับกระทำปฏิสันถาร เพื่อแสดงความข้อนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระ
คาถามีคำว่า ตํ เทวา เป็นอาทิ. ในพระคาถานั้น บทว่า ปฏินนฺทึสุ ความว่า
ยินดีเนือง ๆ. บทว่า อาสเนน จ ความว่า ท้าวสักกะทรงสวมกอดพระราชา
ทรงเชื้อเชิญด้วยบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะว่า เชิญประทับนั่งตรงนี้
และทรงเชื้อเชิญด้วยสิ่งน่าปรารถนาทั้งหลาย แบ่งเทวราชสมบัติให้กึ่งหนึ่ง
ให้ประทับร่วมอาสนะกัน.
เมื่อพระเจ้าสาธินราชพระองค์นั้น ทรงเสวยราชสมบัติอันท้าวสักก-
เทวราชทรงแบ่งเทพนครมีประมาณหมื่นโยชน์ และนางเทพอัปสรสองโกฏิกึ่ง
กับเวชยันตปราสาทประทานให้ครึ่งหนึ่ง กาลเวลาล่วงไปถึง 700 ปี ด้วยการ
นับตามปีมนุษย์ พระองค์ประทับอยู่ในเทวโลกด้วยอัตภาพนั้น. เมื่อเวลา
สิ้นบุญ พระองค์เกิดเบื่อหน่าย เพราะฉะนั้น เมื่อท้าวเธอจะตรัสสนทนากับ
ท้าวสักกะ จึงตรัสพระคาถาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐกว่าจอมเทพ เมื่อ
หม่อมฉันมาถึงสวรรค์แล้ว ย่อมยินดีด้วยการฟ้อนรำ

ขับร้องและเครื่องประโคมทั้งหลาย บัดนี้ หม่อมฉัน
นั้นไม่ยินดีอยู่ในสวรรค์เลย จะหมดอายุ หรือใกล้
จะตาย หรือว่าหม่อมฉันหลงใหลไปเสียแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อายุนฺนุ ขีณํ ความว่า พระเจ้าสาธินราช
ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐกว่าจอมนรชนและเทพทั้งหลาย ชีวิตินทรีย์
ในสรีระของหม่อมฉันสิ้นแล้วหรือไฉนเล่า หรือว่าชีวิตินทรีย์เกิดจะใกล้ต่อ
มรณะ ด้วยอำนาจกรรมอันจะตัดรอน.
ลำดับนั้น ท้าวสักกะตรัสท้าวเธอว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้ากว่านรชน ผู้ประเสริฐ
พระชนมายุของพระองค์ยังไม่หมดสิ้น ความสิ้น
พระชนม์ก็ยังห่างไกล อนึ่ง พระองค์จะได้ทรงหลงใหล
ไปก็หาไม่ แต่ว่าวิบากแห่งบุญกุศลของพระองค์ ที่ได้
ทรงเสวยในเทวโลกนี้มีน้อยไป ข้าแต่พระราชาผู้
ประเสริฐ ผู้เป็นใหญ่ทั่วทิศ ขอเชิญพระองค์ประทับ
อยู่ เสวยกามคุณอันมิใช่ของมนุษย์ ในหมู่ทวยเทพ
ชาวดาวดึงส์ ด้วยเทวานุภาพต่อไปเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริตฺตกานิ นี้ ท้าวสักกะทรงหมายถึง
บุญอันให้วิบากในเทวโลกด้วยอัตภาพนั้น จึงตรัสดังนี้ แต่ว่าบุญของพระ-
สาธินราชนอกจากนี้หาประมาณมิได้ ประดุจฝุ่นในแผ่นดินฉะนั้น. บทว่า
วส เทวานุภาเวน ความว่า หม่อมฉันขอแบ่งบุญทั้งหลายของตน ถวาย
แด่พระองค์ เชิญพระองค์ประทับอยู่ด้วยอานุภาพของหม่อมฉันเถิด พระเจ้าข้า.

ท้าวสักกะเมื่อทรงปลอบพระเจ้าสาธินราชนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
เป็นการดีนักแล ที่พระองค์เสด็จถึงที่อยู่แห่งเทพ
ผู้ทรงอำนาจ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นราชาเพียงดังฤาษี
เชิญประทับอยู่ในหมู่เทพ ผู้มีความปรารถนาทุกอย่าง
สำเร็จได้ เชิญบริโภคกามอันมิใช่ของมนุษย์ในหมู่เทพ
ชั้นดาวดึงส์เถิด.

พระมหาสัตว์ เมื่อจะทรงห้ามท้าวเธอเสียจึงตรัสพระคาถาว่า
ขอยืมยานเขามาขับ ขอยืมทรัพย์เขามาใช้ฉันใด
การที่ได้เสวยความสุข เป็นความสุขที่ผู้อื่นยื่นให้ ก็
เปรียบกันได้ฉะนั้นแล ก็แลการได้เสวยความสุข โดย
เป็นความสุขที่ผู้อื่นยื่นให้ หม่อมฉันไม่ปรารถนาเลย
บุญทั้งหลายอันหม่อมฉันทำเองแล้วนั้นย่อมเป็นทรัพย์
อันอาจติดตามหม่อมฉันไปได้ หม่อมฉันไปในมนุษย์
แล้ว จักได้ทำกุศลให้มาก ที่บุคคลกระทำแล้วได้รับ
ความสุข และไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง ด้วยทาน
ด้วยการประพฤติสม่ำเสมอ ด้วยการสำรวม ด้วยการ
ฝึกตน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ ปรโต ทานปจฺจยา ความว่า
สิ่งใดที่ได้เพราะผู้อื่นให้ สิ่งนั้นเป็นเช่นเดียวกันกับของที่ขอยืมนั่นเอง เพราะว่า
บุคคลย่อมให้ยืมกันได้ในเวลาที่ดีกัน ในเวลาที่โกรธกันก็ยื้อแย่งเอาไปได้
หม่อมฉันกระทำกรรมที่บุคคลการทำแล้วมีความสุขด้วย ไม่ต้องเดือดร้อนใน
ภายหลังด้วยเช่นนั้นเหมือนกัน. บทว่า สมจริยาย คือด้วยการไม่ทำบาป

ด้วยกายเป็นต้น. บทว่า สํยเมน คือความสำรวมในศีล. บทว่า ทเมน
คือด้วยการฝึกอินทรีย์. บทว่า ยํ กตฺวา ความว่า การฝึกตนที่บุคคลทำ
แล้วได้รับความสุข และไม่ตามเดือดร้อนในภายหลัง.
ครั้นท้าวสักกะทรงสดับพระดำรัสของพระเจ้าสาธินราชนั้นแล้ว ทรง
สั่งเทพบุตรมาตลีว่า ไปเถิด นำเสด็จพระเจ้าสาธินราชไปสู่มิถิลาให้เสด็จลงใน
พระอุทยาน. มาตลีเทพบุตรนั้นได้กระทำตามเทวบัญชา. พระราชาเสด็จพระ
จงกรมอยู่ในพระอุทยานนั่นเอง. ครั้งนั้นนายอุยยานบาลเห็นพระองค์แล้ว ก็ไป
กราบทูลแด่พระราชานารทะ. ฝ่ายพระเจ้านารทะนั้นทรงสดับการเสด็จมาของ
พระราชาแล้ว ตรัสว่า นายอุยยานบาล เจ้าจงล่วงหน้าไปเตรียมอุทยาน จัดตั้ง
อาสนะไว้ 2 ที่ สำหรับพระราชานั้นที่ 1 สำหรับเราที่ 1 ทรงส่งนายอุยยานบาล
นั้นไป. เขาได้กระทำตามพระบัญชา ที่นั้นพระราชาจึงตรัสถามเขาว่า เจ้าจัด
ตั้งอาสนะ 2 ที่ เพื่อใครเล่า กราบทูลว่าเพื่อพระองค์ที่ 1 เพื่อพระราชาของ
พวกข้าพระองค์ที่ 1 พระเจ้าข้า. ครั้งนั้นพระราชาตรัสว่า สัตว์อื่นใครเล่าจัก
นั่งเหนืออาสนะในสำนักของเรา แล้วประทับนั่งเหนืออาสนะ 1 วางพระบาททั้งคู่
เหนืออาสนะ 1. พระราชานารทะเสด็จมาถวายบังคมพระบาทยุคลของพระองค์
แล้ว ประทับนั่ง ณ ที่อันสมควรข้างหนึ่ง. ได้ยินว่า พระเจ้านารทะเป็น
พระนัดดาของพระเจ้าสาธินราช องค์ที่ 7 ทีเดียว ข่าวว่าครั้งนั้น พระเจ้า
นารทะทรงพระชนมายุได้ 100 พรรษาแล้ว. แต่พระมหาสัตว์ทรงพระชนม์
ยืนนานตลอดกาลเพียงนี้ ด้วยกำลังบุญของพระองค์. พระองค์ทรงจูงพระหัตถ์
ของพระเจ้านารทะ เสด็จเที่ยวไปในพระอุทยาน ได้ตรัสพระคาถา 3 คาถาว่า

ที่ตรงนี้เป็นไร่นา ที่ตรงนี้ ตรง ร่องน้ำตรงดี
ที่ตรงนี้เป็นภูมิภาคมีหญ้าแพรกเขียวสะพรั่ง ที่ตรงนี้
เป็นแม่น้ำไหลอยู่ไม่ขาดสายที่ตรงนี้เป็นสระโบกขรณี
อันน่ารื่นรมย์ มีฝูงนกจักรพรากร้องเสียงระงม เปี่ยมไป
ด้วยน้ำใสสะอาด ดารดาษไปด้วยดอกปทุมและดอก-
อุบล พวกข้าเฝ้าและนางสนมพากันยึดถือสถานที่
เหล่านี้ว่าเป็นของเรา เขาเหล่านั้นพากันไปเสียทางทิศ
ใดหนอ ดูก่อนพ่อนารทะ ไร่นาเหล่านั้น ภูมิภาค
ตรงนั้น และอุปจารแห่งสวนและป่าไม้ยังคงมีอยู่
ดังเดิม เมื่อเราไม่เห็นหมู่ชนเหล่านั้น ทิศทั้งหลาย
ก็ปรากฏว่าว่างเปล่าแก่เรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เขตฺตานิ นี้ ตรัสหมายถึงภูมิภาค
ทั้งหลาย. บทว่า อิมํ นิกฺขํ คือที่นี้เป็นทางระบายนี้ คงเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
บทว่า สุกุณฺฑลํ คือที่มีคลองหลอดอันส่งน้ำเข้าถึงโรงสูบอันงดงาม. บทว่า
หริตานุปา ความว่า ในสองฝั่งแห่งทางระบายน้ำ มีพื้นดินเป็นสนามดาดาษ
ด้วยหญ้าแพรกเขียวชอุ่ม. บทว่า ยสฺสิมานิ มมายึสุ ความว่า พ่อนารทะ
เอ๋ย บรรดาข้าเฝ้าและนักสนมของเรา ที่พากันเที่ยวเล่นกับเราด้วยยศอันใหญ่
หลวง ในอุทยานนี้ ต่างพากันยึดจองรักใคร่สถานที่เหล่านี้. บทว่า กตรํ นุ เต
ทิสํ คตา ความว่า พ่อได้ส่งคนเหล่านั้นไป ณ ที่ไหนล่ะ. บทว่า ตานิ
เขตฺตานิ
ได้แก่ ที่อันเป็นที่สำหรับเพาะปลูกพืชพรรณอย่างงอกงาม. บทว่า
เต เม อารามวนูปจารา คือพื้นที่เป็นที่ตั้งแห่งที่อยู่เหล่านั้นเป็นอุปจารแห่ง
สวนและป่ายังอยู่ที่นั้นแล.
ครั้งนั้นพระเจ้านารทะกราบทูลท้าวเธอว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เมื่อพระองค์เสด็จไป
เทวโลก กำหนดได้ 700 ปีเข้านี้แล้ว หม่อมฉันเป็น
หลานคนที่ 7 ของพระองค์ อุปัฏฐากของพระองค์
สิ้นพระชนม์ไปหมดแล้ว ขอเชิญพระองค์เสวยราช-
สมบัติอันเป็นส่วนของพระองค์เถิด พระเจ้าข้า.

พระราชาตรัสว่า พ่อนารทะเอ๋ย ฉันมาทั้งนี้ มิได้มาเพื่อต้องการ
ราชสมบัติ มาเพื่อต้องการทำบุญ ฉันจักทำบุญเท่านั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
วิมานทั้งหลายอันสว่างไสวทั้งสี่ทิศ ฉันได้เห็น
แล้วเฉพาะพระพักตร์ของท้าวสักกเทวราช และเฉพาะ
หน้าของทวยเทพชาวไตรทศ ภพที่ฉันเห็นอยู่เป็นทิพย์
กามทั้งหลายอันมิใช่ของมนุษย์ ฉันได้บริโภคแล้ว
ในทวยเทพของชาวไตรทศ ภพที่ฉันอยู่ก็เป็นทิพย์
ถามทั้งหลาย อันมิใช่ของมนุษย์ฉันได้บริโภคแล้ว
ในทวยเทพชาวดาวดึงส์ ผู้สำเร็จสิ่งที่น่าปรารถนา
ทุกอย่าง ฉันนั้นละสมบัติเช่นนั้นเสียแล้วมาในมนุษย-
โลกนี้ เพื่อต้องการทำบุญเท่านั้น ฉันจักประพฤติแต่
ธรรมเท่านั้น ฉันไม่มีความต้องการด้วยราชสมบัติ
ฉันจักดำเนินไปตามทางที่ท่านผู้ไม่มีอาชญาพากันท่อง
เที่ยวไป อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้
ซึ่งเป็นทางสำหรับไปของท่านผู้มีวัตรงามทั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วุตฺถํ เม ภวนํ ทิพฺยํ นี้ พระเจ้า
สาธินราชตรัสหมายถึงเวชยันตปราสาท. บทว่า โสหํ เอตาทิสํ ความว่า
พ่อนารทะเอ๋ย ฉันนั้นต้องทอดทิ้งความพร้อมมูลแห่งกามคุณ ที่พระพุทธญาณ

ไม่พึงกำหนดเห็นปานฉะนี้มา ณ ที่นี้ เพื่อต้องการทำบุญ. บทว่าอทณฺฑาวจรํ
ความว่า หนทางมีองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิเป็นเบื้องหน้า ที่มวลท่านผู้ไม่มีอาชญา
วางท่อนไม้และศาสตราเสียแล้วพึงดำเนิน. บทว่า สุพฺพตา ความว่า ท่าน
ผู้มีวัตรดีงาม ได้แก่ พระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงดำเนินโดยทางใด
แม้ฉันก็จักขอนั่งเหนือพื้นแห่งโพธิ เพื่อไปถึงทิศที่ไม่เคยไป จักดำเนินไปสู่
หนทางนั้นเหมือนกัน.
พระโพธิสัตว์ตรัสคาถาเหล่านั้นใส่ไว้ในพระสัพพัญญุตญาณด้วยประการ
ฉะนี้. ครั้งนั้นพระราชานารทะกราบทูลย้ำกะพระองค์อีกว่า เชิญพระองค์ทรง
ครองราชสมบัติสืบไปเถิด พระเจ้าข้า. ตรัสว่า พ่อเอ๋ย ฉันไม่ต้องการราช-
สมบัติจะขอให้ทานฉลอง 700 ปี เพียง 7 วันเท่านั้นแหละ. พระราชานารทะ
ทรงรับพระดำรัสของพระองค์ว่า เชิญเถิด พระเจ้าข้า ทรงเตรียมมหาทาน.
พระราชาทรงให้มหาทานตลอด 7 วัน ในวันที่ 7 สิ้นพระชนม์ บังเกิดในภพ
ชั้นดาวดึงส์นั้นเอง.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงแสดงว่า ดูก่อน
อุบาสกทั้งหลาย อันอุโบสถกรรมควรที่จะพึงบำเพ็ญ ด้วยประการฉะนี้ แล้ว
ทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย เมื่อจบสัจจะบรรดาอุบาสกผู้รักษาอุโบสถเหล่านั้น
บางพวกดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล บางพวกในสกทาคามิผล บางพวกในอนาคา-
มิผล บางพวกในอรหัตผล แล้วประชุมชาดกว่า พระราชานารทะ ใน-
ครั้งนั้น ได้มาเป็นสารีบุตร เทพบุตรมาตลี ได้มาเป็นพระอานนท์ ท้าว
สักกะ
ได้มาเป็นอนุรุทธะ บริษัทที่เหลือได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนพระเจ้า
สาธินราช
ได้มาเป็นเราแล.
จบอรรถกถาสาธินราชชาดก

12. ทสพราหมณชาดก



ว่าด้วยชาติพราหมณ์ 10 ชาติ


[2001] พระเจ้ายุธิฏฐิละผู้ทรงฝักใฝ่ในธรรม
ได้ตรัสกะวิธูรอำมาตย์ว่า ดูก่อนวิธูระ ท่านจงแสวง
หาพราหมณ์ทั้งหลายผู้มีศีลเป็นพหูสูต งดเว้นจาก
เมถุนธรรม ซึ่งสมควรจะบริโภคโภชนาหารของฉัน
ดูก่อนสหาย ฉันจะให้ทักษิณาในพวกพราหมณ์ที่ให้
ทานแล้วจักมีผลมาก.

[2002] ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พราหมณ์
ทั้งหลายผู้มีศีล เป็นพหูสูต งดเว้นจากเมถุนธรรมที่
สมควรจะบริโภคโภชนาหารของพระองค์นั้นหาได้ยาก
ข้าเเต่พระมหาราชา ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับมาว่า
ชาติพราหมณ์มี 10 ชาติ ขอพระองค์จงทรงสดับการ
จำแนกแจกแจงชาติพราหมณ์เหล่านั้น ของข้าพระองค์
ชนทั้งหลายถือเอากระสอบอันเต็มไปด้วยรากไม้ปิด
เรียบร้อย ปิดสลากบอกสรรพคุณยาไว้ รดน้ำมนต์
และร่ายมนต์ ข้าแต่พระราชา ชนเหล่านั้นแม้จะเป็น
เหมือนกับหมอ ก็ยังเรียกกันว่าเป็นพราหมณ์ ข้าแต่
พระมหาราชา ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลถึงพราหมณ์
พวกนั้น แก่พระองค์แล้ว เราจะต้องการพราหมณ์เช่น
นั้นหรือหาไม่ พระเจ้าข้า.