เมนู

อรรถกถามหาวาณิชชาดก


พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภ
พวกพ่อค้าชาวพระนครสาวัตถี ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า วาณิชา
สมิตึ กตฺวา
ดังนี้.
เรื่องมีว่า พ่อค้าเหล่านั้นเมื่อจะไปค้าขาย ถวายมหาทานแด่พระศาสดา
ดำรงมั่นในสรณะและศีล กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกข้าพระองค์
จักไม่มีโรคกลับมาได้ จักขอบังคมพระบาทยุคลของพระองค์อีกพระเจ้าข้า ออก
เดินทางไปกับเกวียน 500 เล่ม ถึงแดนกันดาร กำหนดหนทางไม่ได้ เลย
พากันหลงทางท่องเที่ยวไปในป่า ขาดน้ำขาดอาหาร เห็นต้นไทรซึ่งนาคยึด
ครองต้นหนึ่ง ก็ชวนกันปลดเกวียน นั่งที่โคนต้น. พวกนั้นเห็นไทรใบเขียว
ชอุ่ม ประหนึ่งตะไคร้น้ำ กิ่งไทรเล่าก็เป็นเหมือนอิ่มด้วยน้ำ จึงคิดกันว่า
ในต้นไม้นี้ ปรากฏเหมือนมีน้ำเอิบอาบ พวกเราตัดกิ่งตะวันออกของต้นไม้นี้
เถอะเพื่อจะหลั่งน้ำดื่มให้ได้ ครั้นแล้วคนหนึ่งก็ขึ้นสู่ต้นไม้ตัดกิ่งขาด. ท่อน้ำ
ขนาดลำตาลไหลพรั่ง พวกนั้นพากันอาบพากันดื่ม ณ ที่นั้น แล้วพากันตัดกิ่ง
ทางใต้. โภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ พรั่งพรูออกจากนั้น พากันบริโภค แล้วตัดกิ่ง
ตะวันตก. เหล่าสตรีผู้ตกแต่งร่างกายแล้ว พากันออกมาจากกิ่งนั้น พากัน
อภิรมย์กับหมู่สตรีนั้น แล้วตัดกิ่งทางเหนือ. แก้ว 7 ประการหลั่งไหลออกจาก
กิ่งนั้น พากันเก็บแก้วเหล่านั้นบรรทุกเต็มเกวียนทั้ง 500 เล่ม กลับมาสู่
พระนครสาวัตถี เก็บงำทรัพย์แล้ว ชวนกันถือของหอมและมาลาเป็นต้น ไปสู่
พระมหาวิหารเชตวัน ถวายบังคมพระศาสดาบูชาแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง
ฟังธรรมกถาแล้ว ทูลนิมนต์ถวายมหาทานในวันรุ่งขึ้น พากันให้ส่วนบุญว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ขอให้ส่วนบุญในทานครั้งนี้ แก่รุกขเทวดา
ผู้ให้ทรัพย์แก่พวกข้าพระองค์พระเจ้าข้า. พระศาสดาทรงฉันเสร็จ ตรัสถามว่า
พวกเธอให้ส่วนบุญแก่รุกขเทวดาองค์ไหน. พวกพ่อค้าพากันกราบทูลเหตุที่
พวกตนได้ทรัพย์ ในต้นไทรแด่พระตถาคต. พระศาสดาตรัสว่า พวกเธอมิได้
ลุอำนาจตัณหา เพราะเป็นผู้รู้จักประมาณดอกนะจึงได้ทรัพย์ แต่ในครั้งก่อน
พวกที่ลุอำนาจตัณหา เพราะไม่รู้จักประมาณ พากันละทิ้งเสียทั้งทรัพย์และ
ชีวิต พ่อค้าเหล่านั้นพากันกราบทูลอาราธนาทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล ทางกันดารนั้นเอง ต้นไทรก็ต้นนั้นแหละ แต่เมืองเป็น
พระนครพาราณสี พ่อค้าพ่อค้าหลงทางพบต้นไทรนั้นเหมือนกัน.
พระศาสดาตรัสรู้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงข้อความนั้น จึงตรัสพระ
คาถาทั้งหลายว่า
พวกพ่อค้าพากันมาจากรัฐต่าง ๆ กระทำการ
ประชุมฉันในเมืองพาราณสี ตั้งพ่อค้าคนหนึ่งให้เป็น
หัวหน้า แล้วพากันขนเอาทรัพย์กลับไป พ่อค้าเหล่านั้น
มาถึงแดนกันดาร ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ ได้เห็นต้น
ไทรใหญ่มีร่มเงาเย็นสบาย น่ารื่นรมย์ใจ ก็พากันไป
นั่งพักที่ร่มต้นไทรนั้น พ่อค้าทั้งหลายเป็นคนโง่เขลา
ถูกโมหะครอบงำ คิดร่วมกันว่า ไม้ต้นนี้บางทีจะมี
น้ำไหลซึมอยู่ เชิญพวกเราเหล่าพ่อค้ามาช่วยกันตัดกิ่ง
ข้างทิศตะวันออกแห่งต้นไม้นั้นดูทีเถิด พอกิ่งนั้นถูก
ตัดขาดออกน้ำใสไม่ขุ่นมัวไหลออกมา พ่อค้าเหล่านั้น
ก็พากันอาบและดื่ม ที่สายน้ำนั้นจนสมปรารถนาพ่อค้า

ทั้งหลายผู้โง่เขลา ถูกโมทะครอบงำ ร่วมคิดกันเป็น
ครั้งที่ 2 ว่า ขอให้พวกเราด้วยกันตัดกิ่ง ข้างทิศใต้
แห่งต้นไม้นั้นอีกเถิด พอกิ่งนั้นถูกตัดขาดออก ข้าว
สาลี เนื้อสุก ขนมถั่ว ซึ่งมีสีเหมือนข้าวปราศจากน้ำ
แกงอ่อม ปลาดุก ก็ไหลออกมามากมาย พ่อค้าเหล่านั้น
พากันบริโภคเคี้ยวกินจนสมปรารถนา พ่อค้าทั้งหลาย
ผู้โง่เขลา ถูกโมหะครอบงำ ร่วมคิดเป็นครั้งที่ 3 ว่า
ขอให้พวกเราช่วยกันตัดกิ่งข้างทิศตะวันตกแห่งต้นไม้
นั้นอีกเถิด พอกิ่งนั้นถูกตัดขาดออก เหล่านี้นารีแต่งตัว
งามสมส่วน มีผ้าและเครื่องอาภรณ์อันวิจิตร ใส่ต่างหู
แก้วมณี พากันออกมา นารีทั้งหลายต่างแยกกันบำเรอ
พ่อค้าคนละนาง นารี 25 นางต่างก็แวดล้อมพ่อค้า
ผู้เป็นหัวหน้าอยู่โดยรอบ ที่ร่มแห่งต้นไทรนั้น พ่อค้า
เหล่านั้น แวดล้อมด้วยนารีเหล่านั้นจนสมปรารถนา
พ่อค้าทั้งหลายผู้โง่เขลา ถูกโมหะครอบงำ ร่วมคิด
เป็นครั้งที่ 4 ว่า ขอให้พวกเราช่วยกันตัดกิ่งข้างทิศ
เหนือ แห่งต้นไม้อีกเถิด พอกิ่งนั้นถูกตัดขาดออก
แก้วมุกดา แล้วไพฑูรย์ เงิน ทอง เครื่องประดับ
เครื่องปูลาด ผ้ากาสิกพัสตร์และผ้ากัมพล ชื่ออุทธิยะ
ก็พรั่งพรูออกมาเป็นอันมาก พ่อค้าเหล่านั้นพากันขน
บรรทุกใส่ในเกวียนเหล่านั้นจนสมปรารถนา พ่อค้า
เหล่านั้น เป็นคนโง่เขลา ถูกโมหะครอบงำ ร่วมคิด

กันเป็นครั้งที่ 5 ว่า ขอให้พวกเราช่วยกันตัดโคนต้นไม้
นั้นเสียทีเดียว บางทีจะได้ของมากไปกว่านี้อีก ทันใด
นั้นนายกองเกวียนจึงลุกขึ้น ประคองอัญชลีร้องขอว่า
ดูก่อนพ่อค้าทั้งหลาย ต้นไทรทำผิดอะไรหรือ (จึง
พากันทำร้าย) ขอให้ท่านจงมีความเจริญเถิด ดูก่อน
พ่อค้าทั้งหลาย กิ่งทางทิศตะวันออกก็ให้น้ำ กิ่งทาง
ทิศใต้ก็ให้ข้าวและน้ำ กิ่งทางทิศตะวันตกก็ให้นารี
กิ่งทางทิศเหนือก็ให้สิ่งที่ปรารถนาทุกอย่าง ต้นไทร
ทำผิดอะไรหรือ (จึงพากันจะทำร้าย) ขอให้ท่านจง
มีความเจริญเถิด บุคคลพึงนั่งหรือนอน ที่ร่มเงาแห่ง
ต้นไม้ใด ก็ไม่ควรหักรานก้านแห่งต้นไม้นั้น เพราะ
ผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวทราม แต่พ่อค้าเหล่านั้น
มากด้วยกัน ไม่เชื่อถือคำของนายกองเกวียนผู้เดียว
ต่างก็ถือขวานที่ลับแล้ว พากันเข้าไปหมายจะตัดต้น
ไทรนั้นที่โคน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมิตึ กตฺวา ความว่า จัดเป็นสมาคม
คือมากคนรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวในกรุงพาราณสี. บทว่า ปกฺกมึสุ
ความว่า บรรทุกสิ่งของที่มีในกรุงพาราณสีด้วยเกวียน 500 เล่มเดินทางไป.
บทว่า คามณึ ความว่า ตั้งผู้มีปัญญาผู้หนึ่งให้เป็นนายกองเกวียน. บทว่า
ฉาทิยา แปลว่า ที่ร่มเงา. บทว่า อลฺลายเต คือ ปรากฏเป็นเหมือนเต็ม
ด้วยน้ำ. บทว่า ฉินฺนาว ปคฺฆรติ พระศาสดาทรงแสดงว่า ผู้ฉลาดในการขึ้น
ต้นไม้คนหนึ่ง ขึ้นไปตัดกิ่งนั้น พอกิ่งนั้นถูกตัดขาดน้ำใสก็ไหลพลั่ง. แม้ข้างหน้า

ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อปฺโปทกวณฺเณ กุมฺมาเส คือ ขนมกุมมาส
ที่เป็นเสมือนกับข้าวปายาสที่มีน้ำน้อย. บทว่า สิงฺคิ คือแกงอ่อมมีแกงที่ใส่ขิง
เป็นต้น. บทว่า วิทลสุปิโย คือแกงถั่วเขียวเป็นต้น. บทว่า วาณิชา เอกา
คือ แก่พ่อค้าแต่ละคน พ่อค้ามีจำนวนเท่าใด ในจำนวนนั้นคนละ 1 นาง
แต่ในสำนักของนายกองเกวียนมีอยู่ถึง 25 นาง. บทว่า ปริกรึสุ ความว่า
แวดล้อม ก็แลพร้อม ๆ กันกับนางเหล่านั้น ยังมีเพดานและที่นอนเป็นต้น
เหล่านั้น ไหลออกมาด้วยอานุภาพแห่งพญานาค. บทว่า กุตฺติโย ได้แก่
ถุงมือเป็นต้น. บทว่า ปฏิยานิ จ ได้แก่ เครื่องปูลาด มีเครื่องปูลาดอัน
สำเร็จด้วยขนแกะอันฟูเป็นต้น. บางอาจารย์ท่านกล่าวว่า ผ้ากัมพลขาวก็มี.
บทว่า อุฏฺฏิยาเนว กมฺพลา คือผ้ากัมพลชนิดที่ชื่อว่าอุฏฏิยานะมีอยู่. บทว่า
เต ตตฺถ ภาเร พนฺธิตฺวา ความว่า ต้องการเท่าใดก็ขนเอาในที่นั้นเท่านั้น
บรรทุกเกวียน 500 เล่ม. บทว่า วาณิชา ภทฺทมตฺถุ เต ความว่า
นายกองเกวียนร้องเรียกพ่อค้าแต่ละคน จึงกล่าวว่า ความเจริญจงมีแก่ท่าน
เถิด. บทว่า อนฺนปานญฺจ ความว่า ได้ให้ข้าวและน้ำ. บทว่า สพฺพกาเม จ
ความว่า ได้ให้สิ่งที่น่าปรารถนาทั้งปวง. บทว่า มิตฺตทุพฺโภ ความว่า
เพราะว่าผู้ทำลายมิตรทั้งหลาย คือบุรุษผู้มุ่งร้ายต่อมิตรทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นคน
ชั่วช้าลามก. บทว่า อนาทิยิตฺวา ความว่า ไม่ยึดถือ คือไม่ขอรับถ้อยคำ
ของนายกองเกวียนนั้น. บทว่า อุปกฺกมุํ ความว่า เตรียมการโค่น คือ
เริ่มจะตัดเพราะโมหะ.
ครั้งนั้น พญานาคเห็นพ่อค้าเหล่านั้น พากันเข้าไปใกล้ต้นไม้ เพื่อที่จะ
ตัด ดำริว่า เราบันดาลน้ำดื่มแก่พวกนี้ผู้กำลังกระหาย จากนั้นให้โภชนะอัน
เป็นทิพย์มิหนำซ้ำยังให้ที่นอนและนางบำเรอแก่เขา จากนั้นเล่ายังให้รัตนะ

เต็ม 500 เล่มเกวียน แต่ว่าบัดนี้พวกนี้พูดกันว่า จักตัดต้นไม้เสียทั้งโคนเลย
ละโมบเหลือเกิน ควรที่เราจะฆ่าเสียให้หมดเว้นแต่นายกองเกวียน. พญานาค
นั้นจึงตระเตรียมเสนา สั่งว่า ทหารหุ้มเกราะจำนวนเท่านี้ จงเคลื่อนออกไป
ทหารแม่นธนูจำนวนเท่านี้ จงเคลื่อนออกไป ทหารโล่จำนวนเท่านี้ จงเคลื่อน
ออกไป.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
ต่อจากนั้น นาคทั้งหลายก็พากันออกไป พวก
สวมเกราะ 25 พวกถือธนู 300 พวกถือโล่ 6,000 นาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺนทฺธา คือพวกที่คลุมร่างกายด้วย
เกราะหนึ่งอันประดับด้วยทองและแก้วเป็นต้น. บทว่า ธนุคฺคหานํ ติสตา
ความว่า พวกทหารที่ถือธนูอันทำด้วยเขาแกะมีประมาณ 300. บทว่า จมฺมิโน
คือ พวกทหารที่ถือแผ่นโล่ทำด้วยหนังมีประมาณ 6,000 นาย.
ท่านทั้งหลายจงจับพวกนี้มัดฆ่าเสีย อย่าไว้ชีวิต
เลย เว้นไว้แต่นายกองเกวียนเท่านั้น นอกนั้นจง
สังหารมันทุกคนให้เป็นภัสมธุลีไป.

นี้เป็นคาถาที่พญานาคกล่าว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มา โว มุญฺจิตฺถ ชีวิตํ ความว่า
ท่านทั้งหลาย อย่าปล่อยชีวิตแก่ใคร ๆ แม้สักคนเดียวเลย.
นาคทั้งหลาย กระทำตามนั้น แล้วขนเอาสิ่งของมีเครื่องปูลาดชนิดดี ๆ
เป็นต้น บรรทุกเกวียน 500 เล่ม ชวนนายกองเกวียนพากันขับเกวียนเหล่านั้น
ด้วยตนเองไปสู่กรุงพาราณสี เก็บทรัพย์ทั้งปวงไว้ในกองเกวียนของท่านแล้ว
ชวนกันอำลาท่านไปสู่นาคพิภพของตนดังเดิม.

พระศาสดา ทรงทราบเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า
เพราะเหตุนั้นแหละ บุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อ
พิจารณาถึงประโยชน์ของตน ไม่ควรลุอำนาจแห่ง
ความโลภ พึงกำจัดใจอันประกอบด้วยความโลภเสีย
ภิกษุรู้โทษอย่างนี้และรู้ตัณหาว่าเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์
พึงเป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่มีความถือมั่น พึงเป็นผู้
มีสติละเว้นโดยรอบเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่พวกพ่อค้า
ที่ลุอำนาจความโลภพากันถึงความวอดวายอย่างใหญ่หลวง อธิบายว่า นายกอง
เกวียนบรรลุสมบัติอันอุดม. บทว่า หเนยฺย ทิสกํ มนํ ความว่า บัณฑิต
พึงกำจัดใจ คือ จิตที่ประกอบด้วยโลภะที่เป็นของฝูงสัตว์ผู้มีความโลภมีอย่าง
ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตน. บทว่า เอวนาทีนวํ ความว่า ภิกษุทราบโทษในความ
โลภอย่างนี้แล้ว. บทว่า ตณฺหา ทุกฺขสฺส สมฺภวํ ความว่า และทราบว่าตัณหา
นั้นเป็นเหตุเกิดพร้อมแห่งทุกข์มีชาติเป็นต้น คือ ทุกข์นั้นเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้
เพราะตัณหานั้น ตัณหานั่นแหละเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์อย่างนี้ ภิกษุรู้แล้ว พึง
ระลึกไว้ด้วยสติอันมาแล้วโดยมรรคเป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่มีความยึดมั่นถือ
มั่น. บทว่า ปริพฺพเช ความว่า พึงประพฤติอิริยาบถ. พระศาสดาทรงถือ
เอายอดเทศนาด้วยพระอรหัต.
ก็และครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก
ทั้งหลาย พวกพ่อค้าที่ลุอำนาจความโลภ พากันถึงความพินาศใหญ่หลวงใน
ปางก่อนอย่างนี้ เหตุนั้น พึงเป็นผู้ไม่ลุอำนาจความโลภทั่วกัน ตรัสประกาศ
สัจจะทั้งหลาย เมื่อจบสัจจะพ่อค้าเหล่านั้นพากันดำรงในโสดาปัตติผล แล้วทรง
ประชุมชาดกว่า พญานาคในครั้งนั้นได้มาเป็นสารีบุตร ส่วนนายกองเกวียน
ได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถามหาวาณิชชาดก

11. สาธินราชชาดก



ว่าด้วยพระเจ้าวิเทหราชประพาสดาวดึงส์


[1994] อัศจรรย์จริงหนอ ขนพองสยองเกล้า
เกิดขึ้นแล้วในโลก รถทิพย์ได้ปรากฏแก่พระเจ้า
วิเทหราชผู้เรืองยศ.

[1995] มาตลีเทพบุตรเทพสารถีผู้มีฤทธิ์มาก
ได้เชื้อเชิญพระเจ้าวิเทหราชผู้ครองมิถิลานครว่า ข้าแต่
พระราชาผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ผู้เป็นใหญ่ทั่วทิศ
ขอเชิญพระองค์เสด็จขึ้นทรงรถนี้เถิด ด้วยว่าทวยเทพ
ชนดาวดึงส์พร้อมด้วยสมเด็จอมรินทราธิราช ใคร่จะ
เห็นพระองค์ ทวยเทพเหล่านั้น ประชุมพร้อมกันอยู่
ณ สุธรรมาเทวสภา ลำดับนั้นแล พระเจ้าวิเทหราช
พระนามว่าสาธินะ ผู้ครองมิถิลานคร เสด็จทรงรถ
อันเทียมด้วยม้าพันหนึ่งได้เสด็จไปยังสำนักของเทวดา
ทั้งหลาย (พระมหาราชาทรงประทับยืนบนทิพยาน
อันเทียมด้วยม้าพันหนึ่ง ซึ่งม้าพาลากไป เสด็จไปอยู่
ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวสภานี้) ทวยเทพเห็นพระ-
ราชาเสด็จมาดังนั้น ก็พากันชื่นชมยินดีกระทำ
ปฏิสัณฐานเชื้อเชิญว่า ข้าแต่พระมหาราชา พระองค์
เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง ชื่อว่าพระองค์มิได้เสด็จมาร้าย
ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหาคุณใหญ่ ขอพระองค์ทรง