เมนู

อรรถกถาตัจฉกสุกรชาดก


พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ
ปรารภพระเถระแก่ 2 รูป ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
ยเทสมานา วิจริมฺหา ดังนี้.
เล่ากันมาว่า พระเจ้ามหาโกศล ทรงประทานพระธิดาแก่พระเจ้า
พิมพิสาร
ได้ประทานกาสิกคามแก่พระธิดาเพื่อเป็นมูลค่าเครื่องสนานกาย.
ครั้นพระเจ้าอชาตศัตรูปลงพระชนม์พระราชบิดาเสียแล้ว พระเจ้าปเสนทิก็ทรง
ชิงบ้านคืน. เมื่อพระราชาทั้ง 2 พระองค์ ทรงรบกันเพื่อชิงบ้านนั้น คราวแรก
พระเจ้าอชาตศัตรูทรงมีชัย. พระเจ้าโกศลทรงพ่ายแพ้ ตรัสถามพวกอำมาตย์ว่า
เราจะใช้อุบายอะไรเล่าหนอ ถึงจะจับอชาตศัตรูได้ พวกอำมาตย์พากันกราบ
ทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ธรรมดาว่าภิกษุทั้งหลายย่อมเป็นผู้ฉลาดในความ
คิดอ่าน ควรที่พระองค์จะส่งคนสอดแนมไปคอยกำหนดถ้อยคำของหมู่ภิกษุดู
พระเจ้าข้า. พระราชาทรงรับรองว่าดี แล้วตรัสใช้ราชบุรุษไปด้วยพระดำรัสว่า
มานี่ เจ้าทั้งหลาย พวกเจ้าจงพากันไปสู่พระวิหารซุ่มซ่อนตัวเสีย คอยกำหนด
เอาถ้อยคำของพระคุณเจ้าทั้งหลายมาจงได้. ในพระเชตวันวิหารเล่า ก็มีพวก
ราชบุรุษบวชอยู่เป็นอันมาก. บรรดาท่านเหล่านั้นพระเถระแก่ 2 รูป อยู่ที่
บรรณศาลาท้ายพระวิหาร รูปหนึ่งนามว่า ธนุคคหติสสเถระ รูปหนึ่งชื่อว่า
มันตทัตตเถระ. ท่านทั้ง 2 หลับตลอดคืน ตื่นเมื่อย่ำรุ่ง ท่านธนุคคหติสสเถระ
ก่อไฟให้ลุก กล่าวว่า พระคุณเจ้ามันตทัตตเถระผู้เจริญขอรับ. ท่านมันตทัตตเถระ
ถามว่า อะไรกันขอรับ. กลับถามว่า คุณกำลังหลับหรือ. ตอบว่า ผมไม่หลับดอก
ต้องทำอะไรล่ะครับ. กล่าวว่า คุณขอรับ พระราชาปเสนทิโกศลองค์นี้ช่างโง่

จริง ๆ ทรงทราบแต่จะเสวยกระยาหารประมาณ 1 ถาดเท่านั้นเอง. ถามว่า
นั่นมันเรื่องอะไรกันเล่าคุณ. กล่าวว่า พระราชาพ่ายแพ้ศัตรูผู้เป็นเพียงตัวหนอน
ในพระอุทรของพระองค์ก็ว่าได้. ถามว่า ก็ควรจะทรงทำอย่างไรเล่าคุณ.
ตอบว่า มันตทัตตเถระผู้เจริญ ธรรมดาว่าการรบมี 3 ขบวน คือ สกฏพยุหะ
จักกพยุหะ
และปทุมพยุหะ ในขบวนรบทั้ง 3 นั้น ต้องตั้งขบวนสกฏพยุหะจึง
จะจับได้ แล้วแถลงต่อไปว่า ช่องเขาตรงโน้น ๆ เหมาะที่จะวางพลไว้ 2 ข้าง
(ล่อให้ตีเข้ามา) พอรู้ว่าเข้ามาภายในแล้ว ก็โห่ร้องก้องสนั่นล้อมไว้ กระทำ
ให้อยู่ในกำมือแล้วก็จับเอา เหมือนจับปลาที่เข้าไซแล้วฉะนั้น. ผู้ที่พระราชา
ทรงใช้ไปสืบ ฟังถ้อยคำนั้นแล้ว พากันกราบทูลแด่พระราชา. พระราชาเสด็จ
ไปด้วยกองทัพใหญ่ ทรงกระทำอย่างนั้น จับพระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงจองจำ
ด้วยโซ่ตรวน กระทำให้หายเมาอำนาจเสีย 2-3 วัน ตรัสปลอบว่า ต่อไป
อย่ากระทำอย่างนี้เลยนะ ทรงแก้จองจำแล้ว พระราชทานพระธิดาพระนามว่า
วชิรกุมารีแก่ท้าวเธอ ทรงปลดปล่อยไปพร้อมด้วยราชบริพารเป็นอันมาก. เรื่อง
ราวที่ว่าพระเจ้าโกศลทรงจับพระเจ้าอชาตศัตรูได้ด้วยการจัดแจงของพระธนุค-
คหติสสเถระ
โด่งดังไปในกลุ่มภิกษุ. พวกภิกษุพากันยกเรื่องนั้นแหละขึ้นสนท-
นาในธรรมสภา. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้พวก
เธอกำลังสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อพวกภิกษุพากันกราบทูลให้ทรงทราบ
แล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ถึงในครั้งก่อน
ธนุคคหติสสเถระก็เป็นผู้ฉลาดในการจัดขบวนรบ แล้วทรงนำอดีตนิทานมา
ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ช่างไม้ผู้หนึ่งอยู่ ณ บ้านใกล้ประตูพระนครพาราณสี
เข้าไปสู่ป่าเพื่อหาไม้ของตน พบลูกหมูตัวหนึ่งตกอยู่ในหลุม จึงนำมาเลี้ยง

ตั้งชื่อให้ว่า ตัจฉกสุกร. มันได้เป็นอุปการะแก่เขา เอาจะงอยปากพลิกไม้ให้
ก็ได้ เอาเส้นบรรทัดพันจมูกลากไปให้ก็ได้ เอาปากคาบขวานสิ่วค้อนมาให้ก็ได้.
มันพ่วงพีมีกำลังมาก มีร่างกายใหญ่. ฝ่ายช่างไม้เล่า รักมันเหมือนลูก คิดว่า
เมื่อมันอยู่ที่นี่เรื่อยไป คงมีใครข่มเหงมันได้เป็นแน่ เลยปล่อยเสียในป่า.
มันคิดว่า ในป่านี้เราไม่อาจอยู่ลำพังผู้เดียวได้ จำต้องเที่ยวค้นหาหมู่ญาติให้ได้
แล้วอยู่มีหมู่ญาติแวดล้อม เที่ยวเสาะหาฝูงหมูไปในป่าชัฏ พบหมูเป็นอันมาก
แล้วดีใจ กล่าวคาถา 3 คาถาว่า
ข้าพเจ้าเที่ยวแสวงหาหมู่ญาติใด ตามภูเขาและ
ราวป่าทั้งหลาย ค้นหาหมู่ญาติมากมาย หมู่ญาตินั้น
เราพบแล้ว รากไม้และผลไม้นี้ ก็มีมากมาย อนึ่ง
ภักษาหารนี้ก็มิใช่น้อย ทั้งห้วยละหานนี้ก็น่ารื่นรมย์
คงเป็นที่อยู่สุขสบาย ข้าพเจ้าจักขออยู่กับญาติทั้งมวล
ในที่นี้แหละ จักเป็นผู้ขวนขวายน้อย ไม่มีความระแวง
ภัย ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีภัยแต่ที่ไหน ๆ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยเทสมานา ความว่า ข้าพเจ้าเที่ยว
แสวงหาหมู่ญาติใด. บทว่า อนฺเวสํ ความว่า เที่ยวค้นหาตลอดกาลนานหนอ.
บทว่า เตเม ตัดเป็น เต เม ญาติเหล่านั้นเราพบแล้ว. บทว่า ภิกฺโข
ความว่า อนึ่ง ภักษาหารกล่าวคือ รากไม้และผลาผล นั้นนั่นแล. บทว่า
อปฺโปสฺสุกฺโก ความว่า เป็นผู้มีความขวนขวายน้อย.
พวกสุกรได้ฟังคำของมันแล้ว พากันกล่าวคาถาที่ 4 ว่า
ดูก่อนตัจฉะ เจ้าจงไปหาที่ซ่อนเร้นแห่งอื่นเถิด
ในที่นี้ศัตรูของพวกเรามีอยู่ มันมาในที่นี้แล้วก็ฆ่าหมู่
แต่ล้วนตัวที่อ้วนพีเสีย.

บรรดาบทเหล่านั้น มันเรียกสุกรนั้นว่า ตัจฉะ. บทว่า วรํวรํ ความว่า
มันฆ่าสุกรแต่ล้วนที่มีร่างกายอ้วนพีเสีย.
ต่อไปนี้พึงทราบคาถาที่ร้อยกรองไว้อย่างง่ายโดยนัยพระบาลีนั่นแล.
ตัจฉกสุกรถามว่า
ใครหนอเป็นศัตรูของพวกเราในที่นี้ ใครมา
กำจัดญาติทั้งหลายผู้พร้อมเพรียงกัน ซึ่งยากที่จะกำจัด
ได้ เราถามท่านแล้ว ขอท่านจงบอกความข้อนั้นแก่
เราเถิด.

พวกหมู่ตอบว่า
ดูก่อนตัจฉะ พญาเนื้อตัวหนึ่งลายพาดขึ้น
เป็นเนื้อมีกำลังมีเขี้ยวเป็นอาวุธ มันมาในที่นี้แล้ว ก็
ฆ่าหมู่แต่ล้วนตัวที่อ้วนพีเสีย.

ตัจฉกสุกรถามว่า
พวกเราไม่มีเขี้ยวหรือ กำลังกายไม่พรั่งพร้อม
หรือ พวกเราทั้งหมดพร้อมใจกันแล้ว ก็จะจับมัน
ตัวเดียวเท่านั้นให้อยู่ในอำนาจได้.

พวกหมูพากันกล่าวว่า
ดูก่อนตัจฉะ ท่านกล่าววาจาจับอกจับใจ
เพราะหู แม้ตัวใดหนีไปเวลารบ พวกเราจักฆ่ามันเสีย
ในภายหลัง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกนมฺหากํ ความว่า พอเราเห็นท่าน
คิดว่า พวกหมูเหล่านั้นมีเนื้อและโลหิตน้อย ชะรอยจะพึงมีภัยต่อพวกหมูเหล่านั้น

เพราะฉะนั้น พวกท่านจงบอกเรา ใครหนอเป็นศัตรูแก่เราในที่นี้. บทว่า
อุทฺธคฺคราชี ความว่า มาพร้อมกับพญาเนื้อลายพาดขึ้น พวกหมูกล่าว
หมายเอาเสือโคร่งนั่นเอง. บทว่า โยปิ ความว่า ในบรรดาระหว่างพวกเรา
แม้ตัวเดียวหนีไป พวกเราจักฆ่าตัวนั้นในภายหลัง.
ตัจฉกสุกร การทำพวกหมูทั้งหมดให้มีใจเดียวกัน แล้วถามว่า เสือ
จักมาเวลาไหน. พวกหมูตอบว่า วันนี้ ตอนเช้าตรู่ มันมาจับไปตัวหนึ่งแล้ว
คงมาในวันพรุ่งนี้เช้าเป็นแน่. ตัจฉกสุกรนั้นฉลาดในการรบรู้ชัยภูมิว่า ตั้งใน
ฐานนี้ไม่อาจชนะได้ เหตุนั้นจึงตรวจดูประเทศแห่งหนึ่ง ให้พวกหมูหากิน
เสียแต่กลางคืนทีเดียว พอถึงเวลาค่อนรุ่งกล่าวว่า อันขบวนรบมี 3 อย่าง
ด้วยอำนาจขบวนรบรูปเกวียนเป็นต้น แล้วจัดแจงขบวนรบแบบดอกปทุม
ตั้งพวกลูกหมูที่กำลังดื่มน้ำนมไว้ตรงกลาง วางแม่หมูเหล่านั้นล้อมไว้ คัดนาง
หมู่รุ่นกลางล้อมแม่หมูเหล่านั้น ระหว่างนางหมูเหล่านั้นวางลูกหมูหย่านมแล้ว
ล้อมไว้ ระหว่างลูกหมูเหล่านั้นวางหมูรุ่น ๆ เขี้ยวตูม ๆ ระหว่างนั้นวางพวก
หมูเขี้ยวใหญ่ ระหว่างนั้นวางหมูที่แก่ ๆ แล้วตั้งกองกำลังแบ่งเป็นพวก ๆ
พวกละ 10 ตัว 20 ตัว และ 30 ตัว ไว้ในที่นั้น ๆ ให้ขุดหลุมหลุมหนึ่ง
สำหรับตน ขุดหลุมอีกหลุมหนึ่งเพื่อดักเสือ กระทำให้เป็นตะพักมีสัณฐาน
เหมือนกระด้ง ระหว่างหลุมทั้ง 2 ให้กระทำตั่งสำหรับตนอยู่. ตัจฉกสุกรนั้น
คุมพวกหมูสำหรับรบที่มีเรี่ยวแรงแข็งขัน เที่ยวปลุกใจฝูงหมูในที่นั้น ๆ. พอ
ตัจฉกจัดการเรียบร้อย พอดีพระอาทิตย์ขึ้น. ทีนั้นพญาเสือโคร่งออกจากอาศรม-
บทของชฎิลโกง ยืนสะบัดกายอยู่ที่พื้นภูเขา. พวกหมูเห็นมันแล้วพากันบอกว่า
เจ้าพ่อคุณเอ๋ย ไพรีของพวกเรามาแล้วละ. ตัจฉกสุกรบอกว่า พวกเจ้าอย่ากลัว
มันทำอาการใด พวกเจ้าจงทำอาการนั้นเป็นปฏิปักษ์กันทุกอย่าง. เสือโคร่ง

สะบัดร่างกาย ย่อตัวลงหน่อยหนึ่ง ถ่ายปัสสาวะ พวกหมูเล่าก็กระทำอย่างนั้นบ้าง
เสือโคร่งมองดูพวกหมูแล้วคำรามเสียงดัง พวกหมูก็พากันกระทำอย่างนั้นบ้าง
เหมือนกัน. มันเห็นกริยาของพวกหมูนั้นคิดว่า หมูเหล่านี้ไม่เหมือนหมูก่อน ๆ
วันนี้พากันตั้งเป็นพวก ๆ เป็นศัตรูต่อเรา. เสนานายกของพวกมันที่เป็นผู้
สั่งการคงจะมี วันนี้เราไม่ควรไปใกล้พวกมันเลย กลัวตายขึ้นมาหันกลับไปหา
ชฎิลโกง. ครั้นชฎิลโกงนั้นเห็นมันมาเปล่า ๆ จึงกล่าวคาถาที่ 9 ว่า
ดูก่อนพญาเนื้อที่เก่งกล้า วันนี้เจ้าคงจะงดเว้น
จากการฆ่าสัตว์ละซิหนอ ท่านให้อภัยในสัตว์ทั้งปวง
เสียแล้วหรือ หรือเขี้ยวของท่านคงไม่มี เจ้ามาถึง
กลางฝูงสุกรแล้วจึงซบเซาอยู่ดังคนกำพร้าฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สงฺฆปฺปตฺโต ความว่า เจ้าได้อยู่ใน
หมู่แห่งสุกร ไม่ได้กินอาหารอะไร ๆ ย่อมซบเซาเหมือนคนกำพร้าฉะนั้น.
ครั้งนั้น เสือโคร่งกล่าวคาถาว่า
มิใช่ว่าเขี้ยวของข้าพเจ้าไม่มี กำลังกายของ
ข้าพเจ้าก็มีอยู่พรั่งพร้อม แต่ข้าพเจ้าเห็นสุกรทั้งหลาย
ที่เป็นญาติกันร่วมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหตุฉะนั้น
ข้าพเจ้าจึงซบเซาแต่ผู้เดียวในป่า เมื่อก่อนสุกรเหล่านี้
พอข้าพเจ้าลืมตาแลดูเท่านั้น ต่างก็กลัวตายหาที่หลบ-
ซ่อนวิ่งกระเจิดกระเจิงไปตามทิศานุทิศ บัดนี้ พวกมัน
มาประชุมพร้อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในภูมิภาคที่
พวกมันยืนอยู่นั้นข้าพเจ้าข่มพวกมันได้ยากในวันนี้
พวกมันคงมีขุนพล จึงพรักพร้อมกัน คงเป็นเสียง

เดียวกัน คงร่วมมือร่วมใจกันเบียดเบียนข้าพเจ้า เพราะ
เหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ปรารถนาสุกรเหล่านั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมงฺคิ เอกโต ความว่า ผู้รวมใจกัน
เป็นอันหนึ่งอันเดียว. บทว่า อิมสฺสุทํ ความว่า แม้ในกาลก่อน พวกหมู
เหล่านี้น่ะหรือ เพียงข้าพเจ้าลืมตาดูเท่านั้น ก็วิ่งกระเจิงไปทั่วทิศานุทิศ. บทว่า
วิสุํ วิสุํ แปลว่า คนละแผนก. บทว่า ยตฺถ ฐิตา ความว่า มาประชุม
กันอยู่ในภูมิภาคใด. บทว่า ปรินายกสมฺปนฺนา ความว่า พวกมันสมบูรณ์
ด้วยขุนพล. บทว่า ตสฺมา เตสํ น ปฏฺฐเย ความว่า เพราะเหตุนั้น
ข้าพเจ้าจึงไม่ปรารถนาพวกนั้น.
ชฎิลโกงฟังคำนั้นแล้ว เมื่อจะยุให้มันเกิดความอาจหาญขึ้น จึงกล่าว
คาถาว่า
พระอินทร์องค์เดียวเท่านั้น ยังเอาชนะอสูร
ทั้งหลายได้ เหยี่ยวตัวเดียวเท่านั้น ย่อมข่มฆ่านก
ทั้งหลายได้ เสือโคร่งตัวเดียวเหมือนกัน ไปถึง
ท่ามกลางฝูงสุกรแล้ว ก็ย่อมฆ่าสุกรตัวพี ๆ ได้ เพราะ
กำลังของมันเป็นเช่นนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิคสงฺฆปฺปตฺโต ความว่า เสือโคร่ง
ไปถึงฝูงเนื้อแล้ว ย่อมฆ่าตัวดี ๆ ได้. บทว่า พลญฺหิ ตาทิสํ ความว่า
เพราะกำลังของมันเป็นเช่นนั้น.
ลำดับนั้น เสือโคร่งจึงกล่าวคาถากะเขาว่า
จะเป็นพระอินทร์ จะเป็นเหยี่ยว แม้จะเป็น
เสือโคร่งผู้เป็นใหญ่กว่าเนื้อ ก็ทำญาติผู้พร้อมเพรียง

กันมั่นคง ซึ่งเป็นเช่นกับเสือโคร่ง ไว้ในอำนาจไม่ได้
ทั้งนั้นแหละ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พยคฺโฆ น ความว่า เสือโคร่ง ไม่กระทำ
ฝูงสุกรที่กระทำอาการเป็นต้นว่า สะบัดร่างกาย เช่นกับเสือโคร่ง ไว้ในอำนาจ
ได้ คือ ไม่สามารถให้เป็นไปในอำนาจของตนได้.
ชฎิลเมื่อจะปลุกมันให้อาจหาญอีก จึงได้กล่าว 2 คาถาว่า
ฝูกงนกตัวน้อย ๆ มีชื่อว่า กุมภิลกะ เป็นนกมีพวก
เที่ยวไปเป็นหมวดหมู่ ร่าเริงบันเทิงใน โผผินบินร่อน
ไปเป็นกลุ่ม ๆ ก็เมื่อฝูงนกเหล่านั้นบินไป บรรดานก
เหล่านั้น คงมีสักตัวหนึ่งที่แตกฝูงไป เหยี่ยวย่อม
โฉบจับนกตัวนั้นได้ นี่เป็นคติของเสือโคร่งทั้งหลาย
โดยแท้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุมฺภิลกา ได้แก่ ฝูงนกตัวน้อย ๆ ซึ่งมี
ชื่ออย่างนั้น. บทว่า อุปฺปตนฺติ ได้แก่ ไปเที่ยวหากิน. บทว่า อุยฺยนฺติ จ
ความว่า บินไปหากินทางอากาศ. บทว่า เอเกตฺถ อปสกฺกติ ความว่า
ในบรรดาฝูงนกเหล่านั้น มีตัวเดียวที่ล้าหลัง หรือก็บินแยกไปทางหนึ่ง. บทว่า
นิตาเลติ ความว่า เหยี่ยวย่อมโฉบเอาไปได้. บทว่า เวยฺยคฺฆิเยว สา คติ
ความว่า คตินั้นชื่อว่าเป็นทำนองเดียวกับเสือโคร่ง เพราะเป็นคติของเสือโคร่ง
นั่นเอง คือ แม้เมื่อพวกเสือโคร่ง จะไปหาฝูงสัตว์ที่อยู่ร่วมกัน ก็มีคติทำนองนี้
จึงได้ชื่อว่าเป็นคติของเสือโคร่งแท้ ๆ อันที่จริงทุก ๆ ตัว ไม่อาจจะบินไปโดย
กลุ่มเดียวกันได้ดอก เหตุนั้น ในฝูงนั้นตัวใดบินไปตัวเดียวอย่างนี้ ก็จับเอา
ตัวนั้นไป.

ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ปลุกใจเสือโคร่งว่า พญาเสือโคร่งเอ๋ย
เจ้ามิได้รู้กำลังของตน อย่ากลัวเลยน่ะ คำรามแล้ววิ่งปรี่เข้าไปท่าเดียวเท่านั้น
พวกสุกรที่คุมกันอยู่เป็นกลุ่มได้ไม่มีเลยละ มันได้กระทำอย่างนั้น.
พระศาสดา เมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้นจึงตรัสว่า
เสือโคร่งเป็นสัตว์มีเขี้ยว ถูกชฎิลผู้หยาบช้า
เห็นแก่อามิส ปลุกใจให้ฮึกเหิม สำคัญจะทำได้เหมือน
เมื่อครั้งก่อน จึงวิ่งเข้าไปในฝูงสุกรที่มีเขี้ยว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทาฑิความว่า เสือโคร่งที่มีเขี้ยวเป็น
อาวุธเอง โถมเข้าไปในฝูงสุกรที่มีเขี้ยวเป็นอาวุธดุจกัน. บทว่า ยถา ปุเร
ความว่า เพราะสำคัญเสียว่าเหมือนในครั้งก่อน ๆ.
เล่ากันมาว่า เสือโคร่งนั้นไปหยุดยืนที่พื้นภูเขา. พวกหมูพากันบอก
แก่ตัจฉกสุกรว่า นายเอ๋ย ไอ้โจรมันมาอีกแล้ว. ตัจฉกสุกรปลอบใจพวกนั้น
ว่า พวกเจ้าอย่ากลัวเลย ลุกขึ้นยืนบนตั่งระหว่างหลุมทั้งสอง. เสือโคร่งจึง
เผ่นโผนโจนใส่ตัจฉกสุกร ตัจฉกสุกรหลบกลับหน้าเป็นหลัง ตกลงในหลุม
แรก. เสือโคร่งไม่ยังความเร็วไว้ได้ จึงไปตกในหลุมที่เป็นตะพักเหมือนกระด้ง
แน่นอัดเหมือนฟ่อนหญ้า. ตัจฉกสุกรลุกขึ้นโดยเร็ว เผ่นจากหลุม จดเขี้ยว
ลงตรงขั้วไส้ของมัน ขวิดขาดไปจดหทัย กินเนื้อแล้วเอาปากคาบเหวี่ยงไป
นอกหลุม บอกว่า พวกเจ้าจงพากันกินเนื้อซิ. พวกหมูที่มาก่อน ได้โอกาส
เพียงจ่อจะงอยปากลงไปครั้งเดียวเท่านั้น. ที่มาครั้งหลังไม่ได้เลย ต่างพูดกันว่า
อันเนื้อเสือโคร่งรสชาติมันเป็นอย่างไรนะ. ตัจฉกสุกร โดดขึ้นจากหลุมแล้ว
มองดูพวกหมูทั้งหลาย กล่าวว่า เอ๊ะ อย่างไรเล่า พวกเจ้าจึงไม่ดีใจกัน.
พวกหมูพากันตอบว่า นายเอ๋ย พวกเราเพียงจับเสือโคร่งได้ตัวเดียวเท่านั้น

ก็เท่ากับพวกเราจับเสือโคร่งตัวที่ประทุษร้ายได้ตัวหนึ่ง แต่นอกจากนี้ผู้ที่จะนำ
เสือโคร่งมาได้ยังมีอยู่. ถามว่า นั่นชื่อไร. ตอบว่า ชฎิลโกงผู้คอยกินมังสะ
ที่เสือโคร่งนำมาแล้ว ๆ. กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นพากันมาเถิด พวกเราต้องจับมัน
ให้ได้ แล้ววิ่งแน่วไปกับพวกหมูเหล่านั้น. กล่าวถึงชฎิลนึกว่าเสือโคร่งมัวช้า
อยู่ มองดูทางมาของมัน เห็นพวกหมูเป็นอันมากกรูวิ่งมา คิดว่าชะรอยพวก
หมูเหล่านี้ฆ่าเสือโคร่งได้แล้ว พากันวิ่งมาเพื่อฆ่าเรา หนีขึ้นต้นมะเดื่อต้นหนึ่ง
พวกหนูพากันร้องว่า มันขึ้นต้นไม้ไปแล้ว. ตัจฉกสุกรถามว่า ต้นไม้อะไร.
ตอบว่า ต้นมะเดื่อ. ตัจฉกสุกรกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นอย่าเสียใจเลย ประเดี๋ยว
พวกเราต้องจับมันได้ พลางเรียกหมูหนุ่ม ๆ มาให้ช่วยกันคุ้ยดินออกจากโคน
ต้นไม้ ให้แม่หมูทั้งหลายไปอมน้ำมา ให้พวกหมูที่มีเขี้ยวใหญ่ ๆ ช่วยกัน
ขวิดรากโดยรอบ จนเหลือแต่รากแก้วที่หยั่งลงไปตรงรากเดียวเท่านั้น ต่อ
จากนั้นก็ร้องบอกพวกหมูที่เหลือ ๆ ว่า พวกเจ้าพากันหลบเสียเถิด แล้วคุกเข่า
เอาเขี้ยวขวิดตรงรากแก้ว ขาดไปเหมือนฟันด้วยขวาน ต้นไม้นั้นก็พลิก พอ
ชฎิลโกงตกลงมาเท่านั้น พวกหมูก็พากันรับไว้แล้วรุมกินเนื้อเสีย. รุกขเทวดา
เห็นเหตุอัศจรรย์นั้น จึงกล่าวคาถาว่า
ญาติทั้งหลายมีมากด้วยกัน ย่อมยังประโยชน์ให้
สำเร็จ ถึงต้นไม้ทั้งหลายที่เกิดในป่า ก็เหมือนกัน
สุกรทั้งหลายพร้อมเพรียงกันเข้า ฆ่าเสือโคร่งเสียได้
เพราะประพฤติร่วมใจอันหนึ่งอันเดียวกัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกายเน หโต ความว่า ฆ่าเสือโคร่ง
เสียได้ เพราะมีความพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้นเอง.
พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความที่พวกสุกรเหล่านั้นกำจัดศัตรู
ทั้ง 2 เสียได้จึงตรัสพระคาถาว่า

สุกรทั้งหลายช่วยกัน ฆ่าพราหมณ์ และเสือโคร่ง
ทั้ง 2 ได้แล้ว ต่างร่าเริงบันเทิงใจ พากันบันลือศัพท์
สำเนียงเสียงสนั่น.

ตัจฉกสุกรถามอีกว่า ศัตรูของพวกเจ้าแม้อื่น ๆ ยังมีหรือ. พวกสุกร
พากันตอบว่า ไม่มีละนายเอ๋ย ตกลงกันว่า พวกเราต้องอภิเษกท่านให้เป็น
พระราชา พากันเที่ยวหาน้ำ เห็นสังข์สำหรับตักน้ำดื่มของชฎิล สังข์นั้นเป็น
สังข์ทักษิณาวัฏ (เวียนขวา) เป็นสังขรัตนะ จึงตักน้ำมาเต็มสังข์ อภิเษก
ตัจฉกสุกร ณ โคนต้นมะเดื่อนั้นเอง แล้วพากันให้นางสุกรสรงน้ำอภิเษก
เป็นมเหสีของพญาตัจฉกสุกรนั้น ตั้งแต่ครั้งนั้น การนั่งตั่งไม้มะเดื่อ รดน้ำ
ด้วยสังข์ทักษิณาวัฏ ก็ได้รับประพฤติสืบมา.
พระศาสดา เมื่อทรงประกาศความแม้นั้น ตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า
สุกรเหล่านั้นมาประชุมพร้อมกันที่โคนต้นมะเดื่อ
อภิเษกตัจฉกสุกรด้วยคำว่า ท่านเป็นพระราชา เป็นเจ้า
เป็นใหญ่ของพวกเรา.

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ถึงในครั้งก่อน ธนุคคหติสสะเคยฉลาดในการ
จัดขบวนรบเหมือนกัน ทรงประชุมชาดกว่า ชฎิลโกงในครั้งนั้น ได้มาเป็น
เทวทัต ตัจฉลสุกรได้มาเป็นธนุคคหติสสะ ส่วนรุกขเทวดาได้มาเป็น
เราตถาคตแล
จบอรรถกถาตัจฉกสุกรชาดก

10. มหาวาณิชชาดก



ว่าด้วยโลภมากจนตัวตาย


[1990] พวกพ่อค้าพากันมาจากรัฐต่าง ๆ กระทำ
การประชุมกันในเมืองพาราณสี ตั้งพ่อค้าคนหนึ่งให้เป็น
หัวหน้า แล้วพากันขนเอาทรัพย์กลับไป พ่อค้าเหล่านั้น
มาถึงแดนกันดาร ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ ได้เห็นต้นไทร
ใหญ่มีร่มเงาเย็นสบาย น่ารื่นรมย์ใจ ก็พากันเข้าไปนั่ง
พักที่ร่มต้นไทรนั้น พ่อค้าทั้งหลายเป็นคนโง่เขลา ถูก
โมหะครอบงำ คิดร่วมกันว่า ไม้ต้นนี้บางทีจะมีน้ำ
ไหลซึมอยู่ เชิญพวกเราเหล่าพ่อค้ามาช่วยกันตัดกิ่ง
ข้างทิศตะวันออกแห่งต้นไม้นั้นดูทีเถิด พอกิ่งนั้นถูก
ตัดขาดออก น้ำใสไม่ขุ่นมัวไหลออกมา พ่อค้าเหล่านั้น
ก็พากันอาบและดื่ม ที่สายน้ำนั้น จนสมปรารถนา
พ่อค้าทั้งหลาย ผู้โง่เขลา ถูกโมหะครอบงำ ร่วมคิด
กันเป็นครั้งที่ 2 ว่า ขอให้พวกเราช่วยกันตัดกิ่ง
ข้างทิศใต้แห่งต้นไม้นั้นอีกเถิด พอกิ่งนั้นถูกตัดขาด
ออก ข้าวสาลี เนื้อสุก ขนมถั่ว ซึ่งมีสีเหมือนข้าว-
ปายาสปราศจากน้ำ แกงอ่อมปลาดุก ก็ไหลออกมา
มากมาย พ่อค้าเหล่านั้นพากันบริโภคเคี้ยวกินจนสม
ปรารถนา พ่อค้าทั้งหลายผู้โง่เขลา ถูกโมหะครอบงำ
ร่วมคิดกันเป็นครั้งที่ 3 ว่า ขอให้พวกเราช่วยกันตัด