เมนู

[1973] อนึ่ง มีนกเหล่าใดที่เราขังไว้ในนิเวศน์
ประมาณหลายร้อย วันนี้เราให้ชีวิตแก่นกเหล่านั้น
ขอนกเหล่านั้นจงพ้นจากการกักขัง ไปสู่สถานที่อยู่
เดิมของตนเถิด.

[1974] นายพรานถือบ่วงเที่ยวไปในราวป่า
เพื่อดักพญานกยูงตัวเรืองยศ ครั้นดักพญานกยูงตัว
เรืองยศได้แล้ว ก็ได้พ้นจากทุกข์เหมือนเราพ้นแล้ว
ฉะนั้น.

จบมหาโมรชาดกที่ 8

อรรถกถามหาโมรชาดก


พระศาสดาเสด็จประทับ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภ
ภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่ง ตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า สเจ หิ ตฺยาหํ ธนเหตุ
คหิโต
ดังนี้.
เรื่องย่อมีว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า จริงหรือที่ข่าวว่า เธอ
กระสันจะสึก ครั้นเธอรับสารภาพว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ความกำหนัดด้วยความสามารถชื่นใจนี้ ไฉนจักไม่ให้บุคคลอย่างเธอวุ่นวายได้
เล่า มีอย่างหรือ ลมที่จะสามารถพลิกภูเขาสุเนรุได้ ไม่ทำให้ใบไม้เก่า ๆ ใกล้ ๆ
กระจัดกระเจิงไป ในปางก่อนนั่นนะ แม้สัตว์ผู้บริสุทธิ์คอยหักห้ามความฟุ้งซ่าน
ของกิเลสในภายในอยู่ 700 ปี ก็ยังโดนความกำหนัดด้วยสามารถความชื่นใจนี้
ทำให้วุ่นวายได้เลย ทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติ ณ พระนคร
พาราณสี
พระโพธิสัตว์ได้ถือปฏิสนธิในท้องนางนกยูงในประเทศชายแดน.
เมื่อครรภ์แก่เต็มที่แล้ว นางนกยูงผู้มารดาตกฟอง ณ ที่หากิน แล้วบินไป
ก็ธรรมดาว่าฟองไข่ เมื่อมารดาไม่มีโรค และไม่มีอันตรายอื่น ๆ เป็นต้นว่า
ทีฆชาติรบกวนย่อมไม่เสีย. เหตุนั้นฟองไข่นั้น จึงเป็นเหมือนดอกกรรณิการ์
ตูม ๆ มีสีเหมือนสีทอง เมื่อเวลาครบกำหนดก็แตกโดยธรรมดาของตน. ลูก
นกยูงมีสีเป็นทอง ออกมาแล้ว. ลูกนกยูงทองนั้น มีนัยน์ตาทั้งคู้คล้ายผล
กระพังโหม มีจะงอยปากสีเหมือนแก้วประพาฬ มีสร้อยสีแดงสามชั้นวงรอบคอ
ผ่านไปกลางหลัง. ครั้นยูงทองเจริญวัย มีร่างกายเติบใหญ่ขนาดดุมเกวียน
รูปงามยิ่งนัก. ฝูงนกยูงเขียว ๆ ทั้งหมด ประชุมกันยกให้นกยูงทองเป็นเจ้านาย
พากันแวดล้อมเป็นบริวาร. วันหนึ่งนกยูงทองดื่มน้ำในกระพังน้ำ เห็นรูปสมบัติ
ของตน คิดว่า เรามีรูปงามล้ำเลิศกว่านกยูงทั้งหมด ถ้าเราจักอยู่ในแดนมนุษย์
กับฝูงนกยูงเหล่านี้ อันตรายคงบังเกิดแก่เรา เราต้องไปป่าหิมพานต์อาศัยอยู่
ณ ที่อันสำราญลำพังผู้เดียวจึงจะดี. เมื่อฝูงนกยูงพากันแนบรังนอนในราตรีกาล
ก็มิได้บอกให้ตัวอะไรรู้เลย โผขึ้นบินเข้าป่าหิมพานต์ ผ่านทิวเขาไป 3 ทิวถึง
ทิวที่ 4 มีสระธรรมชาติขนาดใหญ่ดาดาษไปด้วยปทุมอยู่ในป่าตอนหนึ่ง
ไม่ไกลสระนั้น มีต้นไทรใหญ่เกิดอาศัยภูเขาลูกหนึ่ง ก็ลงเร้นกายถึงกิ่งไทรนั้น.
อนึ่งเล่า ที่ตรงกลางภูเขานั้นยังมีถ้ำอันน่าเจริญใจ. พญายูงทองมุ่งจะอยู่ในถ้ำ
นั้นจึงลงเกาะที่พื้นภูเขาตรงหน้าถ้ำนั้น. ก็แลที่ตรงนั้น ผู้อยู่ข้างล่างไม่อาจขึ้นไป
ได้เลย ผู้อยู่ข้างบนเล่าก็ไม่อาจลงไปได้ เป็นที่ปลอดภัยจาก แมว งู มนุษย์.
พญานกยูงทอง ดำริว่า ตรงนี้เป็นที่อันสำราญของเรา คงพักอยู่ตรงนั้นเอง
ตลอดวันนั้น ต่อรุ่งขึ้นก็ลุกออกจากถ้ำ เกาะที่ยอดเขา หันหน้าไปทางทิศ

ตะวันออก เห็นสุริยมณฑลกำลังอุทัย ก็สวดปริตรเพื่อขอความคุ้มครองป้องกัน
ตนในเวลากลางวันว่า อุเทตยญฺจกฺขุมา เอกราชา พระเจ้าองค์เอก ทรง
พระจักษุพระองค์นี้ กำลังอุทัยดังนี้เป็นต้น แล้วร่อนลง ณ ที่หากิน เที่ยวหากิน
ตอนเย็นจึงมาเกาะที่ยอดเขาบ่ายหน้าทางทิศตะวันตก เพ่งดูสุริยมณฑลอันอัสดง
สวดพระปริตรเพื่อขอความคุ้มครองป้องกันในเวลากลางคืนว่า อเปตยญฺจกฺ-
ขุมา เอกราชา
พระเจ้าองค์เอก ทรงพระจักษุพระองค์นี้ กำลังเสด็จออกไป
ดังนี้เป็นต้น พำนักอยู่ด้วยอุบายนี้.
ครั้น ณ วันหนึ่ง ลูกนายพรานผู้หนึ่งท่องเที่ยวไปในราวป่า เห็น
พญายูงทองนั้นจับอยู่เหนือยอดเขา จึงมาที่อยู่ของตนเมื่อจวนจะตายบอกลูก
ไว้ว่า พ่อเอ๋ย ในราวป่าตรงทิวเขาที่ 4 มีนกยูงทอง ถ้าพระราชาตรัสถาม
ก็กราบทูลให้ทรงทราบ. อยู่มาวันหนึ่ง พระอัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสี
ทรงพระนามว่าเขมา ทรงเห็นพระสุบินในเวลาใกล้รุ่ง พระสุบินได้มีเรื่อง
ราวอย่างนี้. นกยูงมีสีเหมือนสีทองกำลังแสดงธรรม พระนางทรงให้
สาธุการสดับธรรม นกยูงครั้นแสดงธรรมเสร็จ ก็ลุกขึ้นบินไป. พระนาง
ทอดพระเนตรเห็นพญายูงทองกำลังบินไป ก็ตรัสสั่งให้คนทั้งหลายช่วยกันจับ
พญานกยูงนั้นให้ได้ ขณะที่กำลังตรัสอยู่นั่นแหละ ทรงตื่นเสีย ครั้นทรงตื่น
แล้วจึงทรงทราบว่าเป็นความฝัน ทรงดำริต่อไปว่า ครั้นจะกราบทูลว่าฝันไป
ที่ไหนพระราชาจะทรงเอาพระหฤทัยเอื้อเฟื้อ แล้วทรงบรรทมประหนึ่งทรงแพ้
พระครรภ์. ครั้งนั้น พระราชาเสด็จเข้ามาใกล้พระนางตรัสถามว่า นางผู้เจริญใจ
เธอไม่สบายเป็นอะไรไปเล่า. กราบทูลว่า ความแพ้ครรภ์บังเกิดขึ้นแก่หม่อมฉัน
พระเจ้าค่ะ. ตรัสถามว่า เธอต้องการสิ่งใดเล่าจ๊ะ นางผู้เจริญ. กราบทูลว่า
ข้าแต่ทูลกระหม่อม เกล้ากระหม่อมฉันปรารถนาจะฟังธรรมของพญานกยูงทอง
พระเจ้าค่ะ. รับสั่งว่านางผู้เจริญใจเอ๋ย ฉันจักหาพญายูงทองอย่างนี้ได้จากไหน

เล่า. กราบทูลว่า ข้าแต่ทูลกระหม่อมแม้เกล้ากระหม่อมฉัน มิได้สมปรารถนา
ชีวิตของเกล้ากระหม่อมฉันเป็นอันไม่มีละ พระเจ้าค่ะ. ตรัสปลอบว่า นาง-
ผู้เจริญใจ อย่าเสียใจเลยนะ ถ้ามันมีอยู่ ณ ทีไหน เธอต้องได้แน่นอน แล้ว
เสด็จประทับนั่งเหนือพระราชอาสน์ ตรัสถามหมู่อำมาตย์ว่า แน่ะพ่อเอ๋ย เทวี
ปรารถนาจะฟังธรรมของนกยูงทอง อันนกยูงมีสีเหมือนสีทองน่ะ. มีอยู่หรือไม่.
พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ขอเดชะ พวกพราหมณ์คงจักทราบ พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสให้หาพวกพราหมณ์มาเฝ้าแล้ว มีพระดำรัสถาม. พวกพราหมณ์
พากันกราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระมหาราช สัตว์เดียรัจฉานเหล่านั้นคือ ใน
จำพวกสัตว์น้ำ ปลา เต่า ปู ในจำพวกสัตว์บก มฤค หงส์ นกยูง นกกระทา
มีสีเหมือนสีทอง มีอยู่ แม้มนุษย์ทั้งหลายเล่า ก็มีสีเหมือนสีทองมีอยู่ ทั้งนี้
มีมาในคัมภีร์ลักษณมนต์ ของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงเรียกพวกบุตรพรานในแว่นแคว้นของพระองค์มาประชุม
กัน. รับสั่งว่า นกยูงทองพวกเธอเคยเห็นบ้างไหม. คนที่บิดาเคยเล่าให้ฟังกราบ
ทูลว่า ถึงข้าพระองค์จะไม่เคยเห็น แต่บิดาของข้าพระองค์บอกไว้ว่า นกยูงทอง
มีอยู่ในสถานที่ตรงโน้น พระเจ้าข้า. ครั้งนั้นพระราชาตรัสกะเขาว่า สหายเอ๋ย
เธอจักเป็นคนให้ชีวิตแก่ฉัน และเทวีได้ละ เพราะฉะนั้น เธอจงไปที่นั้น จับมัดนก
ยูงทองนั้นนำมาเถิด ประทานทรัพย์เป็นอันมากส่งไป. เขาให้ทรัพย์แก่ลูกเมีย
แล้วไป ณ ที่นั้น เห็นพระมหาสัตว์ ก็ทำบ่วงดักรอว่า วันนี้คงติด วันนี้คงติด ก็
ไม่ติดสักที จนตายไป. พระเทวีเล่าเมื่อไม่ได้ดังพระปรารถนา ก็สิ้นพระชนม์ไป.
พระราชาทรงกริ้วว่า เพราะอาศัยนกยูงทองตัวนี้เป็นเหตุ เมียรักของเราต้อง
สิ้นพระชนม์ ทรงมีพระหฤทัยเป็นไปในอำนาจแห่งเวร ทรงให้จารึกไว้ใน
แผ่นทองว่า ที่ทิวเขาที่สี่ในป่าหิมพานต์ มีนกยูงทองอาศัยอยู่ บุคคลได้กินเนื้อ

ของยูงทองแล้วนั้น จะไม่แก่ไม่ตาย แล้วบรรจุหนังสือนั้นไว้ในหีบไม้แก่น
เสด็จสวรรคตไป. ครั้นกษัตริย์องค์อื่นได้เป็นพระราชาแล้ว ท้าวเธอทอด-
พระเนตรเห็นอักษร ในแผ่นทองก็ทรงดำริว่า เราจักเป็นผู้ไม่แก่ไม่ตาย
ทรงส่งให้พรานผู้หนึ่งไปเพื่อจับพญายูงทองนั้น. แม้พรานผู้นั้น ก็ตายเสียที่นั้น
ดุจกัน. โดยทำนองนี้ ล่วงไปถึง 6 รัชกาลแล้ว ลูกพรานทั้ง 6 ตายในป่า
หิมพานต์นั้นเอง. ถึงพรานคนที่ 7 ซึ่งพระราชาองค์ที่ 7 ทรงใช้ไป คิดว่า
เราจักจับนกยูงทองนั้นได้ในวันนี้ ในวันนี้แน่นอน ล่วงไปถึง 7 ปี ก็ไม่
สามารถจะจับนกยูงทองตัวนั้นได้ ดำริว่า ทำไมเล่าหนอ บ่วงจึงไม่รูดรัดเท้า
ของพญายูงทองนี้ คอยกำหนดดูพญานกยูงทองนั้น เห็นเจริญพระปริตร
ทุกเย็นทุกเช้า ก็กำหนดได้โดยนัยว่า ในสถานที่นี้นกยูงตัวอื่นไม่มีเลย. อัน
พญายูงทองตัวนี้คงประพฤติพรหมจรรย์ด้วยอานุภาพแห่งพรหมจรรย์ และด้วย
อานุภาพแห่งพระปริตร บ่วงจึงไม่ติดเท้าของพญายูงทอง แล้วจึงไปสู่ปัจจัน-
ตชนบท ดักนางยูงได้ตัวหนึ่ง ฝึกฝนให้ขันในเวลาดีดนิ้วมือให้ฟ้อนในเวลา
ตบมือ แล้วพาไป ก่อนเวลาที่พระโพธิสัตว์จะเจริญปริตรทีเดียว ดักบ่วงไว้
ดีดนิ้วมือให้นางยูงขัน. เมื่อพญายูงทองได้ฟังเสียงของนางยูง กิเลสที่ราบเรียบ
ไปตลอดเวลา 700 ปี ก็ฟุ้งขึ้นทันทีทันใด เป็นเหมือนอสรพิษที่ถูกตีด้วย
ท่อนไม้ แผ่พังพานฉะนั้น. เธอกระวนกระวายด้วยอำนาจกิเลส จนไม่สามารถ
จะเจริญพระปริตรได้ทีเดียว บินไปยังสำนักนางยูงโดยเร็ว ถลาลงโดยอากาศ
สอดเท้าเข้าไปในบ่วงเสียเลย. บ่วงที่ไม่เคยรูดตลอด 700 ปี ก็รูดรัดเท้าในขณะ
นั้นแล. ทีนั้นลูกนายพรานเห็นพญายูงทองนั้นห้อยต่องแต่งอยู่ที่ปลายคันแล้ว
คิดว่า ลูกนายพราน 6 คน ไม่สามารถที่จะดักพญายูงทองนี้ได้ ถึงตัวเราก็ไม่
สามารถดักได้ 7 ปี. วันนี้เวลาอาหารเช้า พญายูงอาศัยนางยูงเป็นสัตว์กระวนกระ-
วายด้วยอำนาจกิเลส ถึงไม่อาจเจริญปริตร มาติดบ่วงแขวนต่องแต่งเอาหัวลงอยู่

เป็นสัตว์มีศีลเห็นปานฉะนี้ ถูกเรากระทำให้ลำบากเสียแล้ว การน้อมนำสัตว์
เช่นนี้เข้าไปเพื่อเป็นบรรณาการ แด่พระราชา ไม่ควรเลย เราจะต้องการอะไร
ด้วยสักการะที่พระราชาทรงพระราชทาน จักปล่อยเธอเสียเถอะ หวนคิดว่า
พญายูงนี้มีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง เมื่อเราเข้าไปใกล้ คงคิดว่า
ผู้นี้จักมาฆ่าเรา แล้วเลยกลัวตายอย่างเหลือล้น ดิ้นรนไป ทำลายเท้าหรือปีก
เสียได้ก็ครั้นเราไม่เข้าไปใกล้ คงซุ่มตัดบ่วงให้ขาดด้วยคมศร แต่นั้นเธอก็จัก
ไปตามพอใจ โดยลำพังตนเอง. เขาคงยืนอยู่ในที่ซ่อน ยกธนูขึ้นสอดลูกศรยืน
จ้องอยู่ฝ่ายพญายูงดำริว่า พรานผู้นี้ทราบการที่ต้องทำให้เรากระวนกระวาย
ด้วยอำนาจกิเลสแล้ว จึงดักได้ง่ายดาย ไม่เห็นกระตือรือร้นเลย เขาซุ่มอยู่ตรง
ไหนเล่านะ มองดูรอบ ๆ ข้าง เห็นยืนจ้องธนูสำคัญว่า คงจักปรารถนาฆ่าเรา
ให้ตาย แล้วก็ สะดุ้งกลัวต่อความตาย เป็นล้นพ้น เมื่อจะวอนขอชีวิต จึงกล่าว
คาถาที่ 1 ว่า
ดูก่อนสหาย ก็ถ้าแหละท่านจักข้าพเจ้าเพราะเหตุ
แห่งทรัพย์แล้ว ท่านอย่าฆ่าข้าพเจ้าเลย จงจับเป็นนำ
ข้าพเจ้าไปถวายพระราชาเถิด เข้าใจว่า ท่านจักได้
ทรัพย์มิใช่น้อยเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สเจ หิ ตฺยาหํ ตัดเป็น สเจ หิ เต อหํ.
บทว่า อุปนฺติ เน หิ แปลว่า จงเข้าไปใกล้. บทว่า ลจฺฉสินปฺปรูปํ
ความว่า ท่านจักได้ทรัพย์ไม่น้อยเป็นแน่.
ลูกนายพรานได้ยินคำนั้นแล้ว ดำริว่า พญายูงคงเข้าใจว่า พรานนี้
สอดใส่ลูกศรเพื่อต้องการจะยิง ต้องปลอบเธอเถอะ เมื่อจะปลอบจึงกล่าว
คาถาที่ 2 ว่า

เราผูกสอดลูกธนูใส่เข้าในแล่ง มิได้หมายมั่น
ว่าจะฆ่าท่านในวันนี้เลย แต่เราจักตัดบ่วงที่ผูกรัดเท้าท่าน
พญายูงจงไปตามสบายเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อธิปาตยิสฺสํ แปลว่า เราจักตัด.
ลำดับนั้น พญายูงได้กล่าวสองคาถาว่า
เหตุไร ท่านจึงเพียรดักข้าพเจ้ามาถึง 7 ปี สู้
อดกลั้นความหิวกระหายทั้งกลางคืนและกลางวัน เมื่อ
เป็นเช่นนั้น ท่านปรารถนาจะปลดปล่อยข้าพเจ้า ผู้
ติดบ่วงเสียจากบ่วง เพื่ออะไร วันนี้ ท่านงดเว้นจาก
ปาณาติบาตหรือ หรือว่าท่านให้อภัยในสัตว์ทั้งปวง
เหตุไรท่านจึงปรารถนาจะปลดปล่อยข้าพเจ้าผู้ติดบ่วง
ออกจากบ่วงเสียเล่า.

ในสองคาถานั้น บทว่า ยํ มีอธิบายบางบทว่า ท่านเพียรดักข้าพเจ้า
มาตลอดถึงเพียงนี้ เพราะเหตุใด เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอถามท่าน เมื่อเป็น
เช่นนั้นท่านยังจะปรารถนาเพื่อจะปลดปล่อยข้าพเจ้า ผู้ซึ่งท่านนำเข้าในอำนาจ
แห่งบ่วงจนได้.
บทว่า วิรโต นุสชฺช ความว่า ในวันนี้ ท่านงดเว้นจากปาณาติ-
บาตกระมัง.
บทว่า สพฺพภูเตสุ ความว่า ท่านได้ให้อภัยแก่ฝูงสัตว์ทั้งปวงได้
แล้วละซิ.
ต่อจากนี้ไป พึงทราบความสัมพันธ์แห่งการโต้ตอบ ดังนี้ นายพราน
ถามว่า

ดูก่อนพญายูง ขอท่านจงบอกว่า ผู้ใดเป็นผู้
งดเว้นจากปาณาติบาต และให้อภัยในสัตว์ทั้งปวง
ข้าพเจ้าขอถามความนั้นกะท่าน ผู้นั้นจุติจากโลกนี้แล้ว
จะได้ความสุขอะไร.
ข้าพเจ้าขอบอกว่า ผู้ใดเป็นผู้งดเว้นจากปาณา-
ติบาต และให้อภัยในสัตว์ทั้งปวง ผู้นั้นย่อมได้รับ
ความสรรเสริญในปัจจุบัน และเมื่อตายไปย่อมไปสู่
สวรรค์.
สมณพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าวว่า เทวดาทั้งหลาย
ไม่มี ชีพย่อมเข้าถึงความเป็นต่าง ๆ กันในโลกนี้ผล
ของกรรมดีและกรรมชั่วก็ไม่มีเหมือนกัน และกล่าวว่า
ทานอันคนโง่บัญญัติไว้ ข้าพเจ้าเชื่อถ้อยคำของพระ-
อรหันต์เหล่านั้น ฉะนั้น จึงเบียดเบียนนกทั้งหลาย.

คาถาที่ร้อยกรองมีความง่าย ๆ เหล่านี้ พึงทราบตามนัยแห่ง
พระบาลีนั้นนั่นแล. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิจฺจาหุ เอเก ความว่า
สมณพราหมณ์บางพวกได้กล่าวอย่างนี้. บทว่า เตสํ วโจ อรหตํ สทฺทหาโน
ขยายความว่า ได้ยินว่า พวกชีเปลือยผู้มีวาทะว่าขาดสูญ เป็นพวกใกล้ชิด
สกุลของนายพรานนั้น พวกเหล่านั้นพากันชวนนายพรานผู้เป็นสัตว์ แม้จะ
พร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งปัจเจกโพธิญาณให้ยึดถืออุจเฉทวาทเสียได้ เพราะ
สังสรรค์กับพวกชีเปลือยนั้น นายพรานนั้นจึงยึดเอาว่า ผลแห่งกุศลและอกุศล
ไม่มี จึงฆ่าฝูงนกเสียนักหนา อันการคบหากับคนผู้มีใช่สัตบุรุษนี้ มีโทษ
ใหญ่หลวงถึงเพียงนี้. และพรานนี้สำคัญว่าพวกนั้นเท่านั้นเป็นอรหันต์ จึงกล่าว
อย่างนี้ (ข้าพเจ้าเชื่อถือถ้อยคำของพวกอรหันต์เหล่านั้น ).

พระมหาสัตว์ฟังคำนั้นแล้ว ดำริว่า เราต้องกล่าวถึงความที่ปรโลกมีอยู่
เเก่เขา ทั้ง ๆ ที่ห้อยศีรษะลงอยู่ปลายคันแล้วนั่นแหละ กล่าวคาถาว่า
ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ทั้ง 2 เห็นกันได้ง่าย ๆ
ส่องสว่างไปในอากาศ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ทั้งสอง
นั้น อยู่ในโลกนี้หรือในโลกอื่น สมณพราหมณ์เหล่านั้น
กล่าวถึงดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ว่าเป็นเทวดาในมนุษยโลก
อย่างไรหรือ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิมสฺส ความว่า ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์
ทั้งสองเป็นของมีอยู่ในโลกนี้หรือ หรือเป็นของมีในโลกเหล่าอื่น. คำว่า
ปรโลกสฺส เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ. บทว่า กถนฺนุ เต
ความว่า พระอรหันต์นั้น กล่าวไว้อย่างไรเล่า ในวิมานเหล่านี้ ได้แก่เทวบุตร
หรือพระจันทร์และพระอาทิตย์ มีอยู่หรือไม่มีเล่า เป็นเทวดาหรือเป็นมนุษย์เล่า.
ลูกนายพรานกล่าวคาถาว่า
ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ทั้ง 2 เห็นกันได้ง่าย ๆ
ส่องสว่างไปในอากาศ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ทั้ง 2 นั้น
มีอยู่ในโลกอื่นไม่มีในโลกนี้ สมณพราหมณ์เหล่านั้น
กล่าวถึงดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ว่าเป็นเทวดาในมนุษยโลก.

ครั้งนั้น พระมหาสัตว์กล่าวคาถาว่า
สมณพราหมณ์เหล่าใด มีวาทะว่าหาเหตุมิได้
ไม่กล่าวถึงกรรม ไม่กล่าวถึงผลแห่งกรรมดีกรรมชั่ว
และกล่าวถึงทานว่าคนโง่บัญญัติไว้ สมณพราหมณ์
เหล่านั้น เป็นผู้มีวาทะเลวทราม ถูกท่านกำจัดเสียแล้ว
เพราะการพยากรณ์นี้แหละ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอตฺเถว เต นีหตา ความว่า ถ้าพระจันทร์
พระอาทิตย์สถิตอยู่ในเทวโลก มิใช่สถิตอยู่ในมนุษยโลก และถ้าพระจันทร์
พระอาทิตย์เหล่านั้นเป็นเทวดา มิใช่เป็นมนุษย์เลยไซร้ ตอนนี้เอง คือในการ
พยากรณ์เพียงเท่านี้ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ที่เป็นผู้ใกล้ชิดตระกูลของท่าน
เป็นพวกมีวาทะเลว ๆ เป็นอันถูกท่านกำจัดเสียแล้ว. บทว่า อเหตุกา ความว่า
สมณพราหมณ์พวกใดมีวาทะอย่างนี้ว่า กรรมอันเป็นตัวเหตุแห่งความผุดผ่อง
และความเศร้าหมองไม่มี ชื่อว่าพวกไม่มีเหตุ. บทว่า ทตฺตุปญฺญตฺตํ ความว่า
และพวกที่กล่าวถึงทานว่า คนโง่ ๆ พากันบัญญัติไว้.
เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวเรื่อย ๆ ไป เขากำหนดได้แล้วกล่าวคาถาว่า
คำของท่านนี้เป็นคำจริงแท้ทีเดียว ไฉนทานจะ
ไม่พึงมีผลเล่า ผลของกรรมดีกรรมชั่วก็เหมือนกัน
ไฉนจะไม่มีผล อนึ่ง ทานนี้จะว่าคนโง่บัญญัติขึ้น
อย่างไรได้ ดูก่อนพญายูง ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร จะทำ
อะไร ประพฤติอะไร เสพสมาคมอะไร ด้วยตบะคุณ
อะไร อย่างไรจึงจะต้องไม่ไปตกนรก ขอท่านจงบอก
เนื้อความนี้แก่ข้าพเจ้าเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทตฺตุปญฺญตฺตญฺจความว่า ทานชื่อว่า
อันคนเซอะบัญญัติแล้ว พึงมีผลอย่างไร. บทว่า กถงฺกโร ความว่า กระทำ
กรรมไฉน. บทว่า กินฺติกโร ความว่า เพราะเหตุไร เมื่อเราทำกรรม จึง
ไม่ไปสู่นรก. คำนอกนี้ เป็นไวพจน์ของคำนั้นนั่นแล.
พระมหาสัตว์ฟังคำนั้นแล้ว ดำริว่า ถ้าเราจักไม่กล่าวแก้ปัญหานี้
โลกมนุษย์จักเกิดเป็นดุจว่างเปล่า เราจักกล่าวความที่สมณพราหมณ์ผู้ทรง
ธรรมมีอยู่ในโลกมนุษย์นั่นเองแก่เขา ได้ภาษิตสองคาถาว่า

มีสมณะเหล่าใดเหล่าหนึ่ง นุ่งห่มผ้าย้อมด้วย
น้ำฝาด ประพฤติเป็นผู้ไม่มีเรือน เที่ยวไปบิณฑบาต
ในเวลาเช้าในกาล เว้นจากการเที่ยวไปในเวลาวิกาล
ผู้สงบระงับอยู่ในแผ่นดินนี้แน่ ท่านจงเข้าไปหาสมณะ
เหล่านั้นในเวลาอันควร ณ ที่นั้น แล้วจงถามข้อความ
ตามความพอใจของท่าน สมณะเหล่านั้นก็ชี้แจง
ประโยชน์ในโลกนี้ และโลกหน้าให้แก่ท่าน ตาม
ความรู้ความเห็น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺโต คือท่านบัณฑิตผู้มีบาปอันระงับ
แล้ว ได้แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า. บทว่า ยถาปชานํ ความว่า สมณะเหล่านั้น
จักบอกแก่ท่านตามทำนองที่ตนทราบ คือจักกล่าวคำกำจัดความสงสัยของท่าน
เสียได้. บทว่า ปรสฺส จตฺถํ ความว่า สมณะเหล่านั้นจักชี้แจงประโยชน์
โลกนี้และโลกอื่นอย่างนี้ว่า ด้วยกรรมชื่อนี้ จะบังเกิดในโลกมนุษย์ ด้วยกรรม
นี้จะบังเกิดในเทวโลก ด้วยกรรมนี้ จะบังเกิดในนรกเป็นต้น เชิญถามสมณะ
เหล่านั้นเถิด.
ก็แลครั้นพญายูงกล่าวอย่างนี้แล้ว ขู่ให้กลัวภัยในนรก. ก็เขาเป็น
พระปัจเจกโพธิสัตว์ผู้มีบารมีบำเพ็ญเต็มแล้ว มีญาณอันแก่กล้าแล้วเป็นเหมือน
ดอกปทุมที่แก่แล้วชูก้านรอการถูกต้องของแสงอาทิตย์ฉะนั้น เมื่อฟังธรรมกถา
ของพญายูง ยืนอยู่ด้วยท่าเดิมนั้นแหละ กำหนดสังขารทั้งหลาย พิจารณา
ไตรลักษณ์ บรรลุปัจเจกโพธิญาณแล้ว. การบรรลุของท่านและการพ้นจาก
บ่วงของพระมหาสัตว์ ได้มีในขณะเดียวกันแล. พระปัจเจกพุทธเจ้าทำลาย
กิเลสทั้งหลายแล้ว ดำรงอยู่ ณ สุดแดนของภพทีเดียว เมื่อจะเปล่งอุทาน
จึงกล่าวคาถาว่า

ความเป็นพรานนี้ เราละได้แล้ว เหมือนงูลอก
คราบเก่าของตน หรือเหมือนต้นไม้อันเขียวชอุ่ม
ผลัดใบเหลิองทิ้ง ฉะนั้น วันนี้เราละความเป็นพรานได้.

ความแห่งคาถานั้น มีอธิบายว่า งูลอกทิ้งหนังเก่าที่คร่ำคร่าฉันใด
และต้นไม้ที่ยังเขียวชอุ่มอยู่ ผลัดใบเหลือง ๆ ที่ติดอยู่แห่งใดแห่งหนึ่งทิ้งเสีย
ได้ฉันใด แม้เราก็ฉันนั้น สละเสียได้ ซึ่งความเป็นพรานในวันนี้ ทีนี้ความ
เป็นพรานนั่นนั้นเป็นอันเราละทิ้งได้แล้ว เราสละความเป็นพรานแล้วในวันนี้.
บทว่า ชหามหํ ความว่า เราละเสียแล้ว.
ครั้นท่านเปล่งอุทานนี้แล้ว ดำริว่า เราพ้นจากเครื่องพัวพันคือ
กิเลสทั้งปวงได้แน่นอน แต่ในที่อยู่ของเรายังมีนกถูกกักขังอยู่มาก เราจัก
ปลดปล่อยนกเหล่านั้นได้อย่างไร จึงถามพระมหาสัตว์ว่า พญายูงเอ๋ย
ในที่อยู่ของข้าพเจ้า มีนกถูกกักขังอยู่เป็นอันมาก ข้าพเจ้าจักปลดปล่อยนก
เหล่านั้นได้อย่างไรละ. อันที่จริง ญาณในการกำหนดอุบาย ของพระสัพพัญญู
โพธิสัตว์ทั้งหลาย ย่อมใหญ่โตกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า. เหตุนั้น พญายูงจึง
กล่าวกะท่านว่า ปัจเจกโพธิญาณที่ท่านทำลายกิเลสทั้งปวงเสีย แล้ว
บรรลุด้วยโพธิมรรคใด โปรดปรารภโพธิมรรคนั้น กระทำสัจจกิริยาเถิด
ธรรมดาสัตว์อันต้องจองจำในชมพูทวีปทั้งสิ้นก็จักไม่มี. ท่านดำรงในฐานะ
ที่พระโพธิสัตว์กล่าวแล้ว เมื่อจะทำสัจจกิริยา จึงกล่าวคาถาว่า
อนึ่ง มีนกเหล่าใดที่เรากักขังไว้ในนิเวศน์
ประมาณหลายร้อย วันนี้เราให้ชีวิตแก่นกเหล่านั้น
ขอนกเหล่านั้นจงพ้นจากการกักขัง ไปสู่สถานที่อยู่เดิม
ของตนเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โมกฺขญฺจ เต ปตฺโต ความว่า ถ้า
เราบรรลุโมกขธรรมแล้ว คือบรรลุปัจเจกโพธิญาณแล้ว ขอสงเคราะห์สัตว์
เหล่านั้น ในอันให้ชีวิตเป็นทาน ด้วยสัจจะนี้. บทว่า สกํ นิเกตํ ความว่า
ขอสัตว์แม้ทั้งปวงจงพากันไปสู่ที่อยู่ของตนเถิด.
ลำดับนั้น นกทั้งปวงก็พ้นจากที่กักขัง พอดีกันกับเวลาที่พระปัจเจกโพธิ
นั้นกระทำสัจจกิริยานั่นเอง ต่างร้องร่าเริงบินไปที่อยู่ของตนทั่วกัน. ก็แลใน
ขณะนั้น บรรดาสัตว์ในเหย้าเรือนทุกหนแห่ง ตั้งต้นแต่แมวเป็นต้น ในชมพู
ทวีปทั้งสิ้น ที่จักได้ชื่อว่าสัตว์ต้องกักขังมิได้มีเลย. พระปัจเจกพุทธเจ้ายก
มือลูบศีรษะ. ทันใดนั่นเอง เพศคฤหัสถ์ก็หายไป เพศบรรพชิต
ปรากฏแทน. ท่านเป็นเหมือนพระเถระมีพรรษา 60 สมบูรณ์ด้วยมรรยาท
ทรงอัฏฐบริขาร กล่าวว่า ท่านนั้นเทียวได้เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าประคองอัญชลี
แก่พญายูงกระทำประทักษิณ เหาะขึ้นอากาศไปสู่เงื้อมผาชื่อนันทมูล. ฝ่าย
พญายูงก็โดดจากปลายคันแร้ว หาอาหาร ไปสู่ที่อยู่ของตนดังเดิม.
บัดนี้ พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความที่นายพราน แม้จะถือ
บ่วงเที่ยวไปตั้ง 7 ปี อาศัยพญายูงพ้นจากทุกข์ได้ จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า
นายพรานถือบ่วงเที่ยวไปในราวป่า เพื่อดักพญา-
นกยูงตัวเรืองยศ ครั้นดักพญานกยูงตัวเรืองยศได้แล้ว
ก็ได้พ้นจากทุกข์ เหมือนเราพ้นแล้วฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พาเธตุ แปลว่า เพื่อจะดัก บาลีก็อย่างนี้
เหมือนกัน อธิบายว่า ครั้นดักพญายูงได้แล้ว ยืนฟังธรรมกถาของพญายูงนั้น
ก็ได้ความสลดใจ. บทว่า ยถาหํ ความว่า นายพรานนั้นหลุดพ้นจากทุกข์ได้
เหมือนเราหลุดพ้นได้ด้วยสยัมภูญาณ ฉะนั้นแล.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจธรรม
เวลาจบสัจจธรรม ภิกษุผู้กระสัน ดำรงในพระอรหัต แล้วทรงประชุม
ชาดกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าในครั้งนั้นปรินิพพาน ส่วนพญายูงได้มาเป็น
เราตถาคตแล.
จบอรรถกถามหาโมรชาดก

9. ตัจฉสูกรชาดก



ว่าด้วยหมูพร้อมใจกันสู้เสือ


[1975] ข้าพเจ้าเที่ยวแสวงหาหมู่ญาติใด ตาม
ภูเขาและราวป่าทั้งหลาย ค้นหาหมู่ญาติมากมาย หมู่
ญาตินั้นเราพบแล้ว รากไม้และผลไม้นี้ ก็มีมากมาย
อนึ่ง ภักษาหารนี้ก็มิใช่น้อย ทั้งห้วยละหานนี้ก็น่า
รื่นรมย์ คงเป็นที่อยู่สุขสบาย ข้าพเจ้าจักขออยู่กับ
ญาติทั้งมวล ในที่นี้แหละ จักเป็นผู้ขวนขวายน้อย
ไม่มีความระแวงภัย ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีภัยแต่
ที่ไหน ๆ.

[1976] ดูก่อนตัจฉะ เจ้าจงไปหาที่ซ่อนเร้น
แห่งอื่นเถิด ในที่นี้ศัตรูของพวกเรามีอยู่ มันมาในที่นี้
แล้ว ก็ฆ่าหมูแต่ล้วนตัวที่อ้วนพีเสีย.