เมนู

อรรถกถาปัญจอุโปสถชาดก


พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภ
อุบาสก 500 ผู้รักษาอุโบสถ ตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า อปฺโปสฺสุโกทานิ
ตุวํ กโปต
ดังนี้.
มีเรื่องย่อว่า ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งเหนือพระพุทธ-
อาสน์อันอลงกต ท่ามกลางบริษัทสี่ ในธรรมสภา ทอดพระเนตรดูบริษัท
ด้วยพระหฤทัยอันอ่อนโยน ทรงทราบว่า วันนี้เทศนาจักตั้งเรื่องขึ้น เพราะ
อาศัยถ้อยคำแห่งพวกอุบาสกเป็นแท้ จึงตรัสเรียกพวกอุบาสกมา ตรัสถามว่า
ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย พวกเธอพากันบำเพ็ญวัตรแห่งผู้รักษาอุโบสถหรือ
ครั้นอุบาสกเหล่านั้น กราบทูลว่าพระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตรัสว่า
พวกเธอกระทำดีแล้ว อันอุโบสถนี้เป็นเชื้อสายแห่งหมู่บัณฑิตแต่ครั้งก่อน
ที่จริงบัณฑิตแต่ครั้งก่อนพากันอยู่จำอุโบสถเพื่อข่มกิเลสมีราคะเป็นต้น อุบาสก
เหล่านั้นพากันกราบทูลอาราธนา ทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ได้มีประเทศอันเป็นดงน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก อยู่ระหว่าง
พรมแดนแห่งแคว้นทั้งสาม มีเเคว้นมคธเป็นต้น. พระโพธิสัตว์บังเกิดใน
สกุลพราหมณ์มหาศาลในแคว้นมคธ เจริญวัยแล้ว ละกามทั้งหลาย ปลีกตน
เข้าไปสู่ดงนั้น สร้างอาศรมบทบวชเป็นฤาษี พำนักอาศัยอยู่. ก็ในที่ไม่ไกล
อาศรมของท่าน นกพิราบกับภรรยาอาศัยอยู่ที่เชิงแห่งหนึ่ง งูอาศัยที่จอมปลวก
จอมหนึ่ง ที่ละเมาะป่าแห่งหนึ่งหมาจิ้งจอกอาศัยอยู่ ที่ละเมาะป่าอีกแห่งหนึ่งเล่า
หมีอาศัยอยู่. ทั้งสี่สัตว์เหล่านั้น ต่างก็เข้าไปหาพระฤาษี ฟังธรรม ตามกาล
อันเป็นโอกาส. อยู่มาวันหนึ่ง นกพิราบกับภรรยาออกจากรังไปหากิน. เหยี่ยว

ตัวหนึ่งจับนางนกพิราบตัวบินไปข้างหลังนกพิราบนั้นแล้วบินหนีไป. นกพิราบ
ได้ยินเสียงร้องของนางนกพิราบนั้น เหลียวกลับมองดู เห็นนางนกพิราบนั้น
กำลังถูกเหยี่ยวนั้นโฉบไป. ฝ่ายเหยี่ยวเล่าก็ฆ่านางนกพิราบนั้นทั้ง ๆ ที่กำลัง
ร้องอยู่นั่นเองตาย แล้วจิกกินเสีย. นกพิราบกลุ้มใจ เพราะพลัดพรากจากนาง
นกนั้น ดำริว่า ความรักนี้ทำให้เราลำบากเหลือเกิน คราวนี้เรายังข่มความรัก
ไม่ได้แล้ว จักไม่ขอออกไปหากิน. มันตัดขาดทางโคจรเลยไปสู่สำนักพระดาบส
สมาทานอุโบสถเพื่อข่มราคะนอนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
กล่าวถึงงู คิดจักแสวงหาเหยื่อ ออกจากที่อยู่ เที่ยวแสวงหาเหยื่อ
ในสถานเป็นที่เที่ยวไปของแม่โคในบ้านชายแดน. ครั้งนั้นโคผู้อันเป็นมงคล
ขาวปลอดของนายอำเภอ กินหญ้าแล้วก็คุกเข่าที่เชิงจอมปลวกแห่งหนึ่ง เอา
เขาขวิดดินเล่นอยู่. งูเล่าก็กลัวเสียงฝีเท้าของแม่โคทั้งหลาย เลื้อยไปเพื่อจะ
เข้าจอมปลวกนั้น. ทีนั้นโคผู้ก็เหยียบมันด้วยเท้า. มันโกรธโคนั้นจึงกัด
โคผู้ถึงสิ้นชีวิตตรงนั้นเอง. พวกชาวบ้านได้ยินข่าวว่า โคผู้ตายแล้ว ทุกคน
พากันมารวมกัน ร้องไห้บูชาโคผู้ตัวนั้นด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น พา
กันขุดหลุมฝังแล้วหลีกไป. เวลาพวกนั้นพากันกลับแล้ว งูก็เลื้อยออกมา
คิดว่า เราอาลัยความโกรธฆ่าโคผู้ตัวนี้เสีย ทำให้มหาชนพากันเศร้าโศก ที่นี้
เราข่มความโกรธนี้ไม่ได้แล้ว จักไม่ออกหากินละกลับไปสู่อาศรมนั้น นอน
สมาทานอุโบสถเพื่อข่มความโกรธ.
ฝ่ายหมาจิ้งจอกเที่ยวแสวงหาอาหาร เห็นช้างตายตัวหนึ่ง ดีใจว่า เรา
ได้เหยื่อชิ้นใหญ่แล้ววิ่งไปกัดที่งวงได้เป็นเหมือนเวลากัดเสา ไม่ได้ความยินดีที่
ตรงงวงนั้น กัดงาต่อไป ได้เป็นอย่างแกะแท่นหิน ปรี่เข้ากัดท้อง ได้เป็นอย่าง
กระด้ง ตรงเข้ากัดหาง ได้เป็นอย่างกัดสาก กรากเข้ากัดช่องทวารหนัก ได้เป็น
เหมือนกับขนมหวาน. มันตั้งหน้าขย้ำอยู่ด้วยอำนาจความโลภ เลยเข้าไปภายใน

ท้องเวลาหิวก็กินเนื้อในท้องนั้น เวลากระหายก็ดื่มเลือด เวลานอนก็นอนทับไส้
และปอด. มันคิดว่าทั้งข้าวทั้งน้ำมีเสร็จแล้วในที่นี้ทีเดียว กูจักทำอะไรในแห่ง
อื่นเล่า แสนรื่นรมย์อยู่ในท้องช้างนั้นแห่งเดียว ไม่ออกข้างนอกเลย คงอยู่
ในท้องช้างเท่านั้น. จำเนียรกาลต่อมา ซากช้างก็แห้งด้วยลมและแดด ช่อง
ทวารหนักก็ปิด. หมาจิ้งจอกนอนอยู่ภายในท้อง กลับมีเนื้อและเลือดน้อย
ร่างกายผ่ายผอมมองไม่เห็นทางออกได้. ครั้นวันหนึ่ง เมฆมิใช่ฤดูกาลให้ฝนตก
ช่องทวารหนักชุ่มชื้นอ่อนตัว ปรากฏช่องให้เห็น. หมาจิ้งจอกพอเห็นช่อง
คิดว่า กูลำบากนานนัก ต้องหนีออกช่องนี้จงได้ แล้วเอานิ้วดันช่องทวารหนัก.
เมื่อมันมีสรีระยุ่ยดันออกจากที่แคบโดยเร็ว ขนเลยติดอยู่ที่ช่องทวารหนัก
หมด. มันมีตัวโล้นเหมือนจาวตาลหลุดออกมาได้. มันคิดว่า เพราะอาศัย
ความโลภ กูต้องเสวยทุกข์นี้ ที่นี้กูข่มความโลภไม่ได้ จักไม่ขอหากินละ ไปสู่
อาศรมนั้น สมาทานอุโบสถ เพื่อข่มความโลภนอนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง.
กล่าวถึงหมีออกจากป่าแล้ว ถูกความอยากยิ่งครอบงำ จึงไปสู่บ้านชาย
แดนในแคว้นมัลละ. พวกชาวบ้านได้ยินว่าหมีมาแล้ว ต่างถือธนูและพลองเป็น
ต้นพากันออกไปล้อมละเมาะที่หมีนั้นเข้าไป. มันรู้ว่าถูกมหาชนล้อมไว้ จึงออก
หนี. เมื่อมันกำลังหนีอยู่นั้นเอง ฝูงชนพากันยิงด้วยธนูตีด้วยพลอง. มันหัวแตก
เลือดไหลอาบไปที่อยู่ของตน ได้คิดว่า ทุกข์นี้เกิดเพราะอำนาจความโลภ คือ
ความอยากยิ่งของกู ทีนี้กูข่มความโลภคือความอยากยิ่งนี้ไว้มิได้แล้ว จักไม่
หากินละ ไปสู่อาศรมนั้น สมาทานอุโบสถ เพื่อข่มความอยากยิ่ง หมอบอยู่
ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง. ฝ่ายดาบสเล่า ก็อาศัยชาติของตน ตกไปในอำนาจ
มานะ ไม่สามารถจะยังฌานให้บังเกิดได้. ครั้งนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
ทราบความที่ดาบสนั้นมีมานะ ดำริว่า สัตว์ผู้นี้มิใช่อื่นเลย ที่แท้เป็นหน่อ

เนื้อแห่งพระพุทธเจ้า จักบรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในกัลป์นี้เองแหละ เรา
ต้องกระทำการข่มมานะของสัตว์นี้เสียแล้ว กระทำให้สมาบัติบังเกิดจงได้ จึง
มาจากป่าหิมพานต์ตอนเหนือ ขณะเมื่อดาบสนั้นกำลังนอนอยู่ในบรรณศาลา
นั้นเอง นั่งเหนือแผ่นกระดานหินของดาบสนั้น. ดาบสนั้นออกมาเห็นพระปัจ-
เจกพุทธเจ้านั้นนั่งเหนืออาสนะของตน ก็ขุ่นใจเพราะความมีมานะ ปรี่เข้าไปหา
ท่านแล้วตบมือตวาดว่า ฉิบหายเถิด ไอ้ถ่อย ไอ้กาลกรรณี ไอ้สมณะ
หัวโล้น มึงมานั่งเหนือแผ่นกระดานของกูทำไม.
ครั้งนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นกล่าวกะท่านว่า พ่อคนดี เหตุไร พ่อ
จึงมีแต่มานะ ข้าพเจ้าบรรลุปัจเจกพุทธญาณเเล้วนะในกัลป์นี้เอง พ่อก็จัก
เป็นพระสัพพัญญูพระพุทธเจ้า พ่อเป็นหน่อเนื้อพระพุทธเจ้านะ พ่อบำเพ็ญ
บารมีมาแล้ว รอกาลเพียงเท่านี้ ข้างหน้าผ่านไป จักเป็นพระพุทธเจ้า
พ่อดำรงในความเป็นพระพุทธเจ้าจักมีชื่อว่า สิทธัตถะ บอกนามตระกูลโคตร
และพระอัครสาวกเป็นต้นแล้วได้ประทานโอวาทว่า พ่อยังจะมัวเอาแต่มานะ
เป็นคนหยาบคาย เพื่ออะไรเล่า นี้ไม่สมควรแก่พ่อเลย. ดาบสนั้นแม้เมื่อ
ท่านกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ยังคงไม่ไหว้ท่านอยู่นั่นเอง มิหนำซ้ำไม่ถามเสีย
ด้วยว่า ข้าจักเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไร. ครั้นพระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า
เธอไม่รู้ถึงความใหญ่หลวงแห่งชาติและความใหญ่โตแห่งคุณของเรา หากเธอ
สามารถ ก็จงเที่ยวไปในอากาศเหมือนเรา แล้วเหาะไปในอากาศ โปรย
ฝุ่นที่เท้าของตนลงในมณฑลชฎาของดาบสนั้น ไปสู่หิมพานต์ตอนเหนือดัง
เดิม. พอท่านไปแล้ว ดาบสถึงสลดใจคิดว่า ท่านผู้นี้เป็นสมณะเหมือน
กัน มีสรีระหนัก ไปในอากาศได้ ดุจปุยนุ่น ที่ทิ้งไปในช่องลม เพราะ
ถือชาติเรามิได้กราบเท้าทั้งคู่ ของพระปัจเจกพุทธเจ้าเห็นปานฉะนี้ มิหนำ
ซ้ำไม่ถามเสียด้วยว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไร ขึ้นชื่อว่าชาตินี้จักกระทำ

อะไรได้ ศีลและจรณะเท่านั้นเป็นใหญ่ในโลกนี้ ก็แต่ว่ามานะของเรานี้แล
จำเริญอยู่ จักพาไปหานรกได้ ทีนี้เรายังข่มมานะนี้มิได้แล้วจักไม่ไปหาผลาผล
เข้าสู่บรรณศาลาสมาทานอุโบสถเพื่อข่มมานะเสีย นั่งเหนือกระดานเลียบเป็น
กุลบุตรผู้มีญาณใหญ่ ข่มมานะเสียได้ เจริญกสิณ ยังอภิญญาและสมาบัติ
8 ให้บังเกิดได้แล้ว จึงออกไปนั่งที่แผ่นกระดานหินท้ายที่จงกรม. ครั้งนั้น
สัตว์มีนกพิราบเป็นต้น พากันเข้าไปหาท่าน ไหว้แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควร
ส่วนหนึ่ง พระมหาสัตว์จึงถามนกพิราบว่า ในวันอื่น ๆ เจ้าไม่ได้มา
เวลานี้ เจ้าคงไม่ได้หาอาหาร ในวันนี้เจ้าเป็นผู้รักษาอุโบสถหรือไฉนเล่า.
นกพิราบกราบเรียนว่า ขอรับกระผม. ครั้งนั้นเมื่อท่านจะถามมันว่าด้วยเหตุ
ไรเล่า กล่าวคาถาเป็นประถมว่า
ดูก่อนนกพิราบ เพราะเหตุไร บัดนี้ เจ้าจึงมี
ความขวนขวายน้อย ไม่ต้องการอาหาร อดกลั้น
ความหิวกระหาย มารักษาอุโบสถ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺโปสฺสุโก ได้แก่ ผู้ปราศจากความ
อาลัย. บทว่า น ตฺว ความว่า วันนี้ท่านไม่มีความต้องการด้วยโภชนะ.
นกพิราบได้ฟังดังนั้นแล้ว ได้กล่าว 2 คาถาว่า
แต่ก่อนนี้ข้าพเจ้าบินไปกับนางนกพิราบ เราทั้ง
2 ชื่นชมยินดีกันอยู่ในป่าประเทศนั้น ทันใดนั้น
เหยี่ยวได้โฉบนางนกพิราบไปเสีย ข้าพเจ้าไม่ปรารถนา
จะพลัดพรากจากนางไป แต่จำต้องพลัดพรากจากนาง
เพราะพลัดพรากจากนาง ข้าพเจ้าได้เสวยเวทนาทางใจ
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงรักษาอุโบสถ ด้วยคิดว่า
ความรักอย่าได้กลับมาหาเราอีกเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รมาม ความว่า พวกเราย่อมยินดีด้วย
ความยินดีในกาม. บทว่า สากุณิโก แปลว่า นกเหยี่ยว.
เมื่อนกพิราบแถลงอุโบสถกรรมของตนแล้ว พระมหาสัตว์จึงถามงู
เป็นต้นทีละตัว ๆ. แม้สัตว์เหล่านั้นก็พากันแถลงความจริง. เมื่อจะถามงูท่าน
กล่าวว่า
ดูก่อนผู้ไปไม่ตรง เลื้อยไปด้วยอก มีลิ้น 2 ลิ้น
เจ้ามีเขี้ยวเป็นอาวุธ มีพิษร้ายแรง เพราะเหตุไร เจ้าจึง
อดกลั้นความหิวกระหายมารักษาอุโบสถ.

งูกล่าวว่า
โคของนายอำเภอ กำลังเปลี่ยว มีหนอกกระเพื่อม
มีลักษณะงาม มีกำลัง มันได้เหยียบข้าพเจ้า ข้าพเจ้า
โกรธจึงได้กัดมัน มันก็ถูกทุกขเวทนาครอบงำ ถึง
ความตาย ณ ที่นั้น ลำดับนั้น ชนทั้งหลายก็พากัน
ออกมาจากบ้าน ร้องไห้คร่ำครวญ หาได้พากันหลบ-
หลีกไปไม่ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงได้รักษาอุโบสถ
ด้วยคิดว่า ความโกรธอย่าได้มาถึงเราอีกเลย.

พระมหาสัตว์เมื่อจะถามสุนัขจิ้งจอก จึงกล่าวคาถาว่า
ดูก่อนสุนัขจิ้งจอก เนื้อของคนที่ตายแล้ว อยู่
ในป่าช้าเป็นอันมาก อาหารชนิดนี้เป็นที่พอใจของเจ้า
เพราะเหตุไร เจ้าจึงอดกลั้นความกระหายมารักษา
อุโบสถ.

สุนัขจิ้งจอกกล่าวว่า

ข้าพเจ้าได้เข้าไปสู่ท้องช้างตัวใหญ่ ยินดีใน
ซากศพ ติดใจในเนื้อช้าง ลมร้อนและแสงแดดอัน
กล้าได้แผดเผาทวารหนักช้างนั้นให้แห้ง ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งผอมทั้งเหลือง ไม่มีทางจะออกได้
ต่อมามีฝนห่าใหญ่ตกลงมาโดยพลัน ชะทวารหนักของ
ช้างนั้นให้เปียกชุ่ม ดูก่อนท่านผู้เจริญ ทีนั้น ข้าพเจ้า
จึงออกมาได้ดั่งดวงจันทร์พ้นจากปากราหู ฉะนั้น
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงรักษาอุโบสถ ด้วยคิดว่า
ความโลภอย่ามาถึงเราอีกเลย.

เมื่อจะถามหมีจึงกล่าวว่า
ดูก่อนหมี แต่ก่อนนี้ เจ้าขยี้กินตัวปลวกในจอม
ปลวก เพราะเหตุไร เจ้าจึงอดกลั้นความหิวกระหาย
มารักษาอุโบสถเล่า.

หมีกล่าวว่า
ข้าพเจ้าดูหมิ่นถิ่นที่เคยอยู่ของตน ได้ไปยัง
ปัจจันตคามแคว้นมลรัฐ เพราะความเป็นผู้อยากมาก
เกินไป ครั้งนั้นชนทั้งหลายก็พากันออกจากบ้าน รุมตี
ข้าพเจ้าด้วยคันธนู ข้าพเจ้าศีรษะแตกเลือดอาบ ได้
กลับมาอยู่ถิ่นที่เคยอยู่อาศัยของตน เพราะเหตุนั้น
ข้าพเจ้าจึงรักษาอุโบสถ ด้วยคิดว่า ความอยากมาก
เกินไปอย่าได้มาถึงเราอีกเลย.

ในคาถานั้น พระมหาสัตว์เรียกงูนั้น ด้วยคำว่า อนุชฺชคามิ เป็นต้น
บทว่า จลกฺกกุโธ ความว่า โคนั้นมีหนอกกระเพื่อม. บทว่า ทุกฺขาภิตนฺโน
ความว่า โคนั้นถูกทุกข์บีบคั้นยิ่งนัก กระสับกระส่าย. บทว่า พหู แปลว่า
มาก. บทว่า ปาวิสํ แปลว่า เข้าไปแล้ว. บทว่า รสฺมิโย แปลว่า แสง
แห่งพระอาทิตย์ (แสงแดด). บทว่า นิกฺขมิสฺสํ แปลว่า ออกไปแล้ว.
บทว่า กิปิลฺลิกานิ แปลว่า ปลวกทั้งหลาย. บทว่า นิปฺโปถยนฺโต แปลว่า
ขยี้ขยำ. บทว่า อติเหฬยาโน แปลว่า ดูหมิ่น นินทา ติเตียน. บทว่า
โกทณฺฑเกน ได้แก่ ด้วยไม้คันธนูและไม้พลอง.
ครั้นสัตว์ทั้ง 4 นั้น พรรณนาอุโปสถกรรมของตนอย่างนี้แล้ว ก็ชวน
กันลุกขึ้นไหว้พระมหาสัตว์ เมื่อจะถามบ้างว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ วัน
อิน ๆ ในเวลานี้ พระคุณเจ้าเคยไปหาผลาผล วันนี้ เหตุไร พระคุณเจ้าจึง
ไม่ไป กระทำอุโปสถกรรมอยู่ จึงกล่าวคาถาว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้อความอันใด ท่านก็ได้ถาม
พวกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหมดก็ได้พยากรณ์ข้อความ
อันนั้นตามที่ได้รู้เห็นมา ข้าแต่ท่านผู้เป็นวงศ์พรหม
ผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าจะขอถามท่านบ้างละ เพราะ
เหตุไร ท่านจึงรักษาอุโบสถเล่า.

ฝ่ายพระโพธิสัตว์นั้น ก็แถลงแก่พวกนั้นว่า
พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง ผู้ไม่แปดเปื้อนด้วย
กิเลส นั่งอยู่ในอาศรมของฉันครู่หนึ่ง ท่านได้บอก
ให้ฉันทราบถึงที่ไปที่มา นามโคตรและจรณะทุกอย่าง
ถึงอย่างนั้น ฉันก็มิได้กราบไหว้เท้าทั้ง 2 ของท่าน

อนึ่ง ฉันก็มิได้ถามถึงนามและโคตรของท่านเลย
เพราะเหตุนั้น ฉันจึงรักษาอุโบสถ ด้วยคิดว่า มานะ
อย่าได้มาถึงฉันอีกเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ โน ความว่า ท่านไม่ได้ถามถึงความใด
กะพวกข้าพเจ้าเลย. บทว่า ยถาปชานํ ความว่า พวกข้าพเจ้าได้แถลงเรื่องนั้น
ตามที่ตนได้รู้มา. บทว่า อนูปลิตฺโต ความว่า อันกิเลสทุกอย่างจะไม่เข้า
ไปไล้ทาจิตได้เลย. บทว่า โส มํ อเวทิ ความว่า ท่านได้บอกให้ทราบ
ข้ารู้ แสดงแก่ข้าทุกอย่าง ถึงฐานะที่ข้าควรดำเนิน ฐานะที่ข้าดำเนินไปแล้ว
ในบัดนี้ และเรื่องนามโคตรและจรณะของข้าในอนาคตเช่นนี้ว่าเธอจักมีนาม
อย่างนี้ จักมีโคตรอย่างนี้ เธอจักมีศีลเเละจรณะเห็นปานนี้. บทว่า เอวมหํ
นิคฺคหึ
ความว่า เมื่อท่านแสดงถึงอย่างนี้ ข้ามิได้กราบบาทยุคลของท่าน
เพราะอาศัยมานะของตน.
พระมหาสัตว์แถลงการกระทำอุโบสถของตนอย่างนี้แล้ว ตักเตือนสัตว์
เหล่านั้นส่งต่อไป กลับเข้าบรรณศาลา. สัตว์เหล่านั้นเล่าต่างพากันไปที่อยู่
ของตน พระมหาสัตว์มีฌานไม่เสื่อม ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
สัตว์พวกนั้นตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน ได้ไปสวรรค์ตาม ๆ กัน.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้ ตรัสย้ำว่า อุบาสกทั้งหลาย
อันอุโบสถนี้เป็นเชื้อแถวแห่งหมู่บัณฑิตแต่เก่าก่อนด้วยประการฉะนี้ อุโบสถ
เป็นอันควรจะบำเพ็ญ แล้วทรงประชุมชาดกว่า นกพิราบในครั้งนั้น ได้มา
เป็นอนุรุทธะ หมีได้มาเป็นกัสสปะ หมาจิ้งจอกได้มาเป็นโมคคัลลานะ
งู
ได้มาเป็นสารีบุตร ส่วนดาบสได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาปัญจอุโบสถชาดก

8. มหาโมรชาดก



ว่าด้วยพญานกยูงพ้นจากบ่วง


[1961] ดูก่อนสหาย ก็ถ้าแหละท่านจับข้าพเจ้า
เพราะเหตุแห่งทรัพย์แล้ว ท่านอย่าฆ่าข้าพเจ้าเลย จง
จับเป็นนำข้าพเจ้าไปถวายพระราชาเถิด เข้าใจว่า ท่าน
จะได้ทรัพย์ไม่ได้น้อยเลย.

[1962] เราผูกสอดลูกธนูใส่เข้าในแล่ง มิได้
หมายมั่นว่าจะฆ่าท่านในวันนี้เลย แต่เราจักตัดบ่วงที่
ผูกรัดเท้าท่าน พญายูงจงไปตามสบายเถิด.

[1963] เหตุไร ท่านจึงเพียรดักข้าพเจ้ามาถึง
7 ปี สู้อดกลั้นความหิวกระหายทั้งกลางคืนและกลาง
วัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านปรารถนาจะปลดปล่อย
ข้าพเจ้า ผู้ติดบ่วงเสียจากบ่วงเพื่ออะไร วันนี้ ท่าน
งดเว้นจากปาณาติบาตหรือ หรือว่าท่านให้อภัยในสัตว์
ทั้งปวง เหตุไร ท่านจึงปรารถนาจะปลดปล่อยข้าพเจ้า
ผู้ติดบ่วง ออกจากบ่วงเสียเล่า.

[1964] ดูก่อนพญายูง ขอท่านจงบอกว่า ผู้ใด
เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต และให้อภัยในสัตว์
ทั้งปวง ข้าพเจ้าขอถามความข้อนั้นกะท่าน ผู้นั้นจุติ
จากโลกนี้แล้วจะได้ความสุขอะไร.