เมนู

อรรถกถาภิงสกชาดก


พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระ-
ปรารภภิกษุผู้กระสัน ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อสฺสํ ควํ รชฏํ ชาตรูปํ
ดังนี้.
ก็เรื่องปัจจุบันจักแจ่มแจ้งในกุสราชชาดก แต่ว่าในกาลครั้งนั้น
พระศาสดาตรัสถามพระภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอเป็นผู้กระสัน
จริงหรือ ครั้นภิกษุนั้นรับว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัสถามต่อไปว่า อาศัยอะไร
เมื่อทูลว่า กิเลสพระเจ้าข้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอบวชในศาสนาอันมีธรรม
เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ได้เห็นปานนี้ เหตุไรยังจะอาศัยกิเลสกระสันอยู่เล่า
บัณฑิตในครั้งก่อน เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติบวชในลัทธิเป็นพาเหียร ยัง
พากันปรารภถึงวัตถุกาม และกิเลสกามกระทำได้เป็นคำสบถอยู่ได้เลย ทรง
นำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ในพระนคร
พาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ผู้มหาศาล มีสมบัติ
80 โกฏิ. พวกญาติพากันขนานนามว่า มหากาญจนกุมาร. ครั้นเมื่อท่าน
เดินได้ ก็เกิดบุตรคนอื่นอีกคนหนึ่ง พวกญาติขนานนามว่า อุปกาญจนกุมาร
โดยลำดับอย่างนี้ ได้มีบุตรถึง 7 คน. แต่คนสุดท้องเป็นธิดาคนหนึ่ง พวก
ญาติขนานนามว่า กาญจนเทวี. มหากาญจนกุมารโตแล้วเรียนศิลปะทั้งปวง
มาจากเมืองตักกศิลา. ครั้งนั้นมารดาบิดาปรารถนาจะผูกพันท่านไว้ด้วยฆราวาส
พูดกันว่า เราพึงสู่ขอทาริกาจากสกุลที่มีกำเนิดเสมอกับตนให้เจ้า เจ้าจงดำรง
ฆราวาสเถิด. ท่านบอกว่า คุณพ่อคุณแม่ครับ ข้าพเจ้าไม่ต้องการครองเรือน

เลย เพราะภพทั้ง 3 ปรากฏแก่ข้าพเจ้า ว่ามีภัยน่าสะพรึงกลัวเหมือนไฟติดอยู่
ทั่ว ๆ ไป เป็นเครื่องจองจำเหมือนเรือนจำ เป็นของพึงเกลียดชังอย่างยิ่ง
เหมือนกับแผ่นดิน อันเป็นที่เทโสโครก ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นเมถุนธรรมแม้แต่
ความฝัน บุตรคนอื่น ๆ ของท่านมีอยู่ โปรดบอกให้เขาครองเรือนต่อไปเถิด
แม้จะถูกอ้อนวอนบ่อย ๆ แม้จะถูกท่านบิดามารดาส่งพวกสหายไปอ้อนวอนก็
คงไม่ปรารถนาเลย. ครั้งนั้นพวกสหายพากันถามท่านว่า เพื่อนเอ๋ยก็แก
ปรารถนาอะไรเล่าจึงไม่อยากจะบริโภคกามคุณเลย. ท่านบอกอัธยาศัยในการ
ออกจากกามแก่พวกนั้น มารดาบิดาฟังเรื่องนั้นแล้วก็ขอร้องบุตรที่เหลือ. แม้
บุตรเหล่านั้นต่างก็ไม่ต้องการ. กาญจนเทวีก็ไม่ต้องการเหมือนกัน. อยู่มาไม่ช้า
มารดาบิดาก็พากันถึงแก่กรรม. มหากาญจนบัณฑิต ครั้นกระทำกิจที่ต้องทำให้
แก่มารดาบิดาแล้ว ก็ให้มหาทานแก่คนกำพร้าและคนขัดสนด้วยทรัพย์ 80 โกฎิ
แล้วชวนน้องชาย 6 คนและน้องสาว ทาสชายคนหนึ่ง ทาสหญิงคนหนึ่ง และ
สหายคนหนึ่ง ออกมหาภิเนษกรมณ์เข้าสู่ป่าหิมพานต์. ท่านเหล่านั้นอาศัยสระ
ปทุมในป่าหิมพานต์นั้นสร้างอาศรม ณ ภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์แล้วพากันบวช
เลี้ยงชีพด้วยมูลผลาหารในป่า. ท่านเหล่านั้นไปป่าก็ไปร่วมกัน ผู้หนึ่งพบต้นไม้
หรือใบไม้ ณ ที่ใด ก็เรียกคนอื่น ๆ ไป ณ ที่นั้น ต่างพูดกันถึงเรื่องที่เห็น
ที่ได้ยินเป็นต้นไปพลาง เลือกเก็บผลไม้ใบไม้ไปพลาง เป็นเหมือนที่ทำงาน
ของชาวบ้าน. ดาบสมหากาญจน์ผู้อาจารย์ ดำริว่า อันการเที่ยวแสวงหาผลาผล
ด้วยอำนาจความคะนองเช่นนี้ ดูไม่เหมาะแก่พวกเราผู้ทิ้งทรัพย์ 80 โกฏิมาบวช
เสียเลย ตั้งแต่นี้ไปเราคนเดียวจักหาผลไม้มา. พอถึงอาศรมแล้วท่านก็เรียก
ดาบสเหล่านั้นทุกคนมาประชุมกันในเวลาเย็น แจ้งเรื่องนั้นให้ทราบแล้ว
กล่าวว่า พวกเธอจงอยู่ทำสมณธรรมกันในที่นี้แหละ ฉันจักไปหาผลาผลมา.
ครั้งนั้นดาบสมีอุปกาญจนะเป็นต้น พากันกล่าวว่า ท่านอาจารย์ขอรับ พวก

ข้าพเจ้าพากันอาศัยท่านบวชแล้ว ท่านจงกระทำสมณธรรม ณ ที่นี้แหละ
น้องสาวของพวกเราก็ต้องอยู่ที่นี้เหมือนกัน ทาสีเล่าก็ต้องอยู่ในสำนักของ
น้องสาวนั้น พวกข้าพเจ้า 8 คนจักผลัดกันไปนำผลาผลมา ท่านทั้งสามคน
เป็นผู้พันวาระ แล้วรับปฏิญญา. ตั้งแต่บัดนั้น คนทั้ง 8 ก็ผลัดกันวาระละ
หนึ่งคน หาผลาผลมา. ที่เหลือคงอยู่ในศาลาของตนนั้นเอง ไม่จำเป็นก็ไม่
ได้รวมกัน. ผู้ที่ถึงวาระหาผลาผลมาแล้ว ก็แบ่งเป็น 11 ส่วน เหนือแผ่นหิน
ซึ่งมีอยู่แผ่นหนึ่ง เสร็จแล้วตีระฆัง ถือเอาส่วนแบ่งของตนเข้าไปที่อยู่. ดาบส
ที่เหลือพากันออกมาด้วยเสียงระฆังอันเป็นสัญญา ไม่กระทำเสียงเอะอะ เดินไป
ด้วยท่าทางอันแสดงความเคารพ ถือเอาส่วนแบ่งที่จัดไว้เพื่อตน แล้วไปที่อยู่ฉัน
แล้วทำสมณธรรมต่อไป. กาลต่อมา ดาบสทั้งหลายนำเหง้าบัวมาฉัน พากันมีตบะ
รุ่งเรือง มีตบะแก่กล้า ชำนะอินทรีย์ได้อย่างยอดเยี่ยม ต่างกระทำกสิณกรรมอยู่.
ครั้งนั้น พิภพของท้าวสักกะหวั่นด้วยเดชแห่งศีลของดาบสเหล่านั้น.
ท้าวสักกะเล่าก็ยังทรงระแวงอยู่นั้นเองว่า ฤาษีเหล่านี้ยังน้อมใจไปในกามอยู่
หรือหามิได้หนอ. ท้าวเธอทรงดำริว่า เราจักคอยจับฤาษีเหล่านี้ แล้วสำแดง
อานุภาพซ่อนส่วนแบ่งของพระมหาสัตว์เสียตลอด 3 วัน. วันแรกพระมหาสัตว์
ไม่เห็นส่วนแบ่งก็คิดว่า คงจักลืมส่วนแบ่งของเราเสียแล้ว ในวันที่สองคิดว่า
เราคงมีโทษ ชะรอยจะไม่ตั้งส่วนแบ่งไว้เพื่อเราด้วยต้องการจะประณาม ในวัน
ที่สามคิดว่า เหตุการณ์อะไรเล่านะถึงไม่ตั้งส่วนแบ่งแก่เรา ถ้าโทษของเราจักมี
เราต้องขอให้งดโทษ แล้วก็ตีระฆังเป็นสัญญาในเวลาเย็น. ดาบสทั้งหมดประชุม
กัน พูดกันว่าใครตีระฆัง. ท่านตอบว่า ฉันเอง. พ่อคุณทั้งหลายพากันถามว่า
เพราะเหตุไรเล่า ขอรับท่านอาจารย์. ตอบว่า พ่อคุณทั้งหลาย ในวันที่ 3 ใครหา
ผลาผลมา. ดาบสท่านหนึ่งลุกขึ้นยืนกราบเรียนว่า ข้าพเจ้า ขอรับท่านอาจารย์.

ถามว่า เมื่อเธอแบ่งส่วนที่เหลือ แบ่งส่วนเผื่อฉันหรือไม่เล่า. ตอบว่า
แบ่งครับท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าแบ่งไว้เป็นส่วนที่เจริญขอรับ. ถามว่า เมื่อ
วานเล่าเวรใครไปหามา. ท่านผู้อื่นลุกขึ้นยืนกราบเรียนว่า ข้าพเจ้าขอรับ.
ถามว่า เมื่อเธอแบ่งส่วนนึกถึงฉันหรือไม่. ตอบว่า ข้าพเจ้าตั้งส่วนอัน
เจริญไว้เผื่อท่านครับ. ถามว่า วันนี้เล่าใครหามา. อีกท่านหนึ่งลุกขึ้นยืน
กราบเรียนว่า ข้าพเจ้า. ถามว่า เมื่อเธอแบ่งส่วนได้นึกถึงฉันหรือไม่.
ตอบว่า ข้าพเจ้าตั้งส่วนที่เจริญไว้เพื่อท่านแล้วครับ. ท่านกล่าวว่า พ่อคุณ
ทั้งหลาย ฉันไม่ได้รับส่วนแบ่งสามวันทั้งวันนี้ ในวันแรกฉันไม่เห็นส่วนแบ่ง
คิดว่า ผู้แบ่งส่วนคงจักลืมฉันเสีย ในวันที่สองคิดว่า ฉันคงมีโทษอะไร ๆ ส่วน
วันนี้คิดว่า ถ้าโทษของฉันมี ฉันจักขอขมา จึงเรียกเธอทั้งหลายมาประชุมด้วย
ตีระฆังเป็นสัญญา เธอทั้งหลายต่างบอกว่า พวกเราพากันแบ่งส่วนเหง้าบัว
เหล่านี้ แล้วฉันไม่ได้ ควรจะรู้ตัวผู้ขโมยกินเหง้าบัวเหล่านั้น ขึ้นชื่อว่าการ
ขโมยเพียงเหง้าบัวก็ไม่เหมาะแก่ผู้ที่ละกามแล้วบวช. ดาบสเหล่านั้นฟังคำ
ของท่านแล้ว ต่างก็มีจิตเสียวสยองกันทั่วที่เดียวว่า โอ กรรมหนักจริง.
เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นไม้อันใหญ่ในป่า ณ อาศรมบทนั้น ลงมาจากคาคบ
นั่งอยู่ในสำนักของดาบสเหล่านั้นเหมือนกัน. ช้างเชือกหนึ่งถูกจำปลอก ไม่
สามารถทนทุกข์ได้ ทำลายปลอกหนีเข้าป่าไป ได้เคยมาไหว้คณะฤาษีตามกาล
สมควร. แม้ช้างนั้นก็มายืน ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ยังมีลิงตัวหนึ่งเคยถูกให้เล่นกับงู
รอดมาได้จากมือหมองู เข้าป่าอาศัยอยู่ใกล้อาศรมนั้นเอง. วันนั้นลิงแม้นั้นก็นั่ง
ไหว้คณะฤาษีอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ท้าวสักกะดำริว่า จักคอยจับคณะฤาษีก็ไม่ได้
สำแดงกายให้ปรากฏยืนอยู่ในสำนักของดาบสเหล่านั้น. ขณะนั้นอุปกาญจน-
ดาบสน้องชายของพระโพธิสัตว์ ลุกจากอาสนะไหว้พระโพธิสัตว์แล้ว แสดง

ความนอบน้อมแก่ดาบสที่เหลือถามว่า ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าไม่ได้ปรารถนา
สิ่งอื่นเลย จะได้เพื่อจะชำระตนเองหรือไม่. ท่านตอบว่า ได้จ๊ะ. อุปกาญจน-
ดาบสนั้น ยืนในท่ามกลางคณะฤาษี เมื่อจะกระทำสบถว่า ถ้าข้าพเจ้าฉันเหง้าบัว
ของท่านแล้ว ขอให้เป็นอย่างนี้เถิด จึงกล่าวคาถาที่ 1 ว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของ
ท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงได้ ม้า วัว เงิน ทอง และ
ภรรยาที่น่าชอบใจ จงพร้อมพรั่งด้วยบุตรและภรรยา
มากมายเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺสํ ควํ นี้ พึงทราบว่า เขากล่าว
ติเตียนวัตถุกามทั้งหลายว่า ปิยวัตถุมีประมาณเท่าใด ความโศกและความทุกข์
มีประมาณเท่านั้นย่อมเกิดขึ้น เพราะความวิปโยคเหล่านั้น.
คณะฤาษีได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านผู้นิรทุกข์
คำสบถของท่านหนักยิ่งปานไร พากันปิดหู. ส่วนพระโพธิสัตว์กล่าวว่า
พ่อคุณเอ๋ย คำสบถของเธอหนักยิ่งนัก เธอไม่ได้ฉัน จงนั่ง ณ อาสนะสำหรับ
เธอเถิด. เมื่ออุปกาญจนดาบสทำสบถนั่งลงแล้ว น้องคนที่ 2 ลุกขึ้นไหว้พระ-
มหาสัตว์ เมื่อจะชำระตนด้วยคำสบถ จึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่าน
ไป ขอให้ผู้นั้นจงทัดทรงระเบียบ ดอกไม้ เครื่อง
ลูบไล้กระแจะจันทน์ แคว้นกาสี จงเป็นผู้มากไปด้วย
บุตร จงกระทำความเพ่งเล็งอย่างแรงกล้า ในกาม
ทั้งหลายเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ติพฺพํ ความว่า จงกระทำความเพ่งเล็ง
อย่างแรงกล้า ในวัตถุกามและกิเลสกาม. คำนี้ เขากล่าวด้วยอำนาจการปฏิเสธ
ทุกข์เท่านั้นว่า ผู้ใดมีความเพ่งเล็งอย่างแรงกล้าในวัตถุกามและกิเลสกามเหล่านั้น
ผู้นั้นย่อมได้รับทุกข์อย่างมหันต์ เพราะความวิปโยคเหล่านั้น.
เมื่อน้องชายที่ 2 นั่งแล้ว ดาบสที่เหลือต่างก็ได้กล่าวคาถาคนละ
คาถา ตามควรแก่อัธยาศัยของตนว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ได้ลักเอาเหง้าบัวของ
ท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงเป็นคฤหัสถ์มีธัญชาติมากมาย
สมบูรณ์ด้วยกสิกรรม มียศ จงได้บุตรทั้งหลาย จงมี
ทรัพย์ ได้กามคุณทุกอย่าง จงอยู่ครองเรือนอย่างไม่
เห็นความเสื่อมเลย.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่าน
ไป ขอให้ผู้นั้นจงปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์บรมราชา-
ธิราช มีกำลัง มียศศักดิ์ จงครอบครองแผ่นดินมี
มหาสมุทรทั้ง 4 เป็นขอบเขตเถิด.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเหง้าบัวของท่านไป
ขอให้ผู้นั้นจงเป็นพราหมณ์ มัวประกอบในทางทำนาย
ฤกษ์ยาม อย่าได้คลายความยินดีในตำแหน่ง ท่านผู้
เป็นเจ้าแคว้น ผู้มียศ จงบูชาผู้นั้น เถิด.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่าน
ไป ขอชาวโลกทั้งมวลจงสำคัญผู้นั้นว่า เป็นผู้เชี่ยว-
ชาญเวทมนต์ทั้งปวงผู้เรืองตบะ ชาวชนบททั้งหลาย
ทราบดีแล้ว จงบูชาผู้นั้นเถิด.

ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่าน
ไป ขอให้ผู้นั้นจงครอบครองบ้านส่วยอันพระราชา
ทรงพระราชทานให้ เป็นบ้านที่มั่งคั่ง สมบูรณ์ด้วย
เหตุ 4 ประการ ดุจท้าววาสวะพระราชทานให้ อย่า
ได้คลายความยินดีจนกระทั่งถึงความตายเถิด.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่าน
ไป ขอให้ผู้นั้นจงเป็นนายบ้าน บันเทิงอยู่ด้วยความ
ฟ้อนรำขับร้องในท่ามกลางสหาย อย่าได้รับความ
พินาศอย่างใดอย่างหนึ่ง จากพระราชาเลย.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ หญิงใดลักเอาเหง้าบัวของ
ท่านไป ขอให้พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเอกราช ทรง
ปราบปรามศัตรูได้ทั่วพื้นปฐพี ทรงสถาปนาให้หญิง
นั้นเป็นยอดสตรีจำนวนพัน ขอหญิงนั้นจงเป็นมเหสี
ผู้ประเสริฐกว่านางสนมทั้งหลายเถิด.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ หญิงใดลักเอาเหง้าบัวของ
ท่านไป ขอให้หญิงนั้นจงเป็นทาส ไม่สะดุ้งสะเทือน
กินของดี ๆ ในท่ามกลางคนทั้งปวงที่มาประชุมกันอยู่
จงเที่ยวโออวดลาภอยู่เถิด.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่าน
ไป ขอให้ผู้นั้นเป็นเจ้าอาวาสในวัดใหญ่ ๆ จงเป็นผู้
ประกอบนวกรรมในเมืองกชังคละ จงกระทำหน้าต่าง
ตลอดวันเถิด.

ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ช้างเชือกใดลักเอาเหง้าบัว
ของท่านไป ขอให้ช้างเชือกนั้นจงถูกคล้องด้วยบ่วง
บาศตั้งร้อย จงถูกนำออกจากป่า อันน่ารื่นรมย์มายัง
ราชธานี จงถูกทิ่มแทงด้วยปฏักและสับด้วยขอเถิด.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ลิงตัวใดลักเอาเหง้าบัว
ของท่านไป ขอให้ลิงตัวนั้นมีดอกไม้สวมคอ ถูกเจาะหู
ด้วยดีบุก ถูกเฆี่ยนด้วยไม้เรียว เมื่อฝึกหัดให้เล่นงู
เข้าไปใกล้ปากงู ถูกมัดตระเวนเที่ยวไปตามตรอกเถิด.

ในบรรดาคาถาเหล่านั้น พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 3 ที่น้องชาย
คนที่ 3 ของพระโพธิสัตว์กล่าวเป็นคำสบถ. บทว่า กสิมา ได้แก่ กสิกรรม
ที่สมบูรณ์. บทว่า ปุตฺเต คิหี ธินิมา สพฺพกาเม ความว่า ให้ผู้นั้น
เป็นชาวนามีกสิกรรมอันสมบูรณ์ จงได้บุตรมาก มีเหย้าเรือน มีทรัพย์ มีเเก้ว
7 ประการ ได้สิ่งที่น่าใคร่มีรูปเป็นต้นทุกประเภท. บทว่า วยํ อปสฺสํ ความว่า
จงไม่เห็นความเสื่อมของตนแม้จะสมควรแก่บรรพชาในเวลาแก่ จงครองเรือน
อันเพียบพร้อมด้วยเบญจกามคุณเรื่อยไปดังนี้ ท่านกล่าวเพื่อแสดงว่าผู้ที่เพียบ
พร้อมด้วยเบญจกามคุณนั้น ย่อมถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวง ด้วยความพลัด
พรากจากกามคุณ. ในคาถาที่น้องชายคนที่ 4 กล่าว บทว่า ราชาธิราชา ได้แก่
เป็นพระราชาผู้ยิ่งในระหว่างแห่งพระราชาทั้งหลายนี้ท่านแสดงโทษในราชสมบัติ
ว่า ธรรมดาว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อความยิ่งใหญ่พลัดพรากไป ย่อมเกิดทุกข์อย่าง
ใหญ่หลวง. ในคาถาที่น้องชายคนที่ 5 กล่าว บทว่า อวีตราโค ได้แก่ ผู้มีตัณหา
ด้วยตัณหาอันเป็นที่ตั้งของปุโรหิต ทั้งนี้ท่านกล่าวเพื่อแสดงว่า ความเป็นปุโรหิต
ของพราหมณ์ปุโรหิตถูกมฤตยูกลืนเสียเท่านั้น ความโทมนัสใหญ่หลวงย่อมเกิดขึ้น.

ในคาถาที่น้องชายคนที่ 6 กล่าว บทว่า ตปสฺสีนํ ความว่า ชาวโลก
ทั้งปวงจงสำคัญเขาว่า เป็นผู้มีตบะ สมบูรณ์ด้วยศีล ท่านกล่าวทั้งนี้ด้วยสามารถ
ติเตียนลาภสักการะว่า ความโทมนัสใหญ่หลวงย่อมเกิดเพราะลาภสักการะปราศ
ไปเสีย. ในคาถาที่ดาบสผู้เป็นสหายกล่าว บทว่า จตุสฺสทํ ความว่า ผู้ใด
ลักเหง้าบัวของท่านไป ผู้นั้นจงครอบครองบ้านส่วยด้วยอุดมเหตุ 4 สถาน คือ
ด้วยผู้คน เพราะเป็นผู้มีคนคับคั่ง ด้วยข้าวเปลือก เพราะข้าวเปลือกมากมาย
ด้วยฟืนหาได้ง่าย และด้วยน้ำ เพราะมีน้ำสมบูรณ์มั่งคั่ง อันพระราชาทรง
พระราชทาน. บทว่า วาสเวน ความว่า อันไม่หวั่นไหว ดุจท้าววาสวะทรง
ประทาน คือ อันพระราชานั้นพระราชทานแล้ว เพราะให้พระราชาพระองค์
นั้นทรงโปรดปราน ด้วยอานุภาพแห่งพรที่ได้จากท้าววาสวะ. บทว่า อวีตราโค
ความว่า จงมีราคะไม่ไปปราศเลย คือยังจมอยู่ในปลักกาม เหมือนสุกรเป็นต้น
จมปลักตมอยู่ฉะนั้น ตกไปสู่ความตายเถิด. ดาบสผู้สหายนั้น เมื่อแถลงโทษ
ของกามทั้งหลาย จึงกล่าวอย่างนี้ด้วยประการฉะนี้.
ในคาถาที่ทาสกล่าว บทว่า คามณี ความว่า เป็นผู้ใหญ่บ้าน
ทาสแม้นี้ก็ติเตียนกามทั้งหลายเหมือนกัน จึงกล่าวอย่างนี้. ในคาถาที่กาญจนเทวี
กล่าว บทว่า ยํ ได้แก่ หญิงใด. บทว่า เอกราชา คืออัครราชา. บทว่า
อิตฺถีสหสฺสานํ ท่านกล่าวด้วยความสละสลวยแห่งคำอธิบายว่า ทรงตั้งไว้ใน
ตำแหน่งที่เลิศกว่าหญิง 16,000 นาง. บทว่า สีมนฺตินีนํ ความว่า แห่งหญิง
ผู้ประเสริฐกว่านางสนมทั้งหลาย. กาญจนเทวีนั้น แม้ดำรงอยู่ในความเป็นหญิง
ก็ติเตียนกามทั้งหลาย ดุจกองคูถที่มีกลิ่นเหม็นฉะนั้น จึงได้กล่าวอย่างนี้ด้วย
ประการฉะนี้. ในคาถาที่ทาสีกล่าว บทว่า สพฺพสมาคตานํ ความว่า
ให้ผู้นั้นเป็นทาสีนั่งไม่หวั่นไหวไม่สะดุ้งสะเทือน บริโภคของมีรสดี ในท่าม-

กลางคนทั้งปวงที่ประชุมกันได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า การนั่งกินในสำนักของเจ้านาย
ทั้งหลาย เป็นเรื่องอัปรีย์ของพวกทาสี เหตุนั้น นางทาสีนั้น จึงกล่าวอย่างนี้
เพราะเป็นเรื่องอัปรีย์ของตน. บทว่า จราตุ แปลว่า จงประพฤติ บทว่า
ปรลาเภน วิกตถมานา ความว่า กระทำกรรมแห่งผู้ล่อลวงเพราะเหตุแห่ง
ลาภ ยังลาภสักการะให้เกิดขึ้นเถิด. นางแม้ดำรงอยู่ในความเป็นทาสี ก็ยัง
ติเตียนวัตถุแห่งกิเลสเหมือนกันด้วยคาถานี้.
ในคาถาที่เทวดากล่าว บทว่า อาวาสิโก ความว่า ผู้ปกกรองอาวาส.
บทว่า กชงฺคลายํ ความว่า ในนครมีชื่ออย่างนั้น ได้ยินว่า ในนครนั้น
มีทัพสัมภาระหาได้ง่าย. บทว่า อาโลกสนฺธึ ทิวสา ความว่า จงกระทำ
บานหน้าต่างตลอดวันเถิด ได้ยินว่า เทวบุตรนั้น ในกาลแห่งพระพุทธกัสสป
ได้เป็นพระเถระในสงฆ์ ในมหาวิหารเก่า มีบริเวณ 1 โยชน์ ติดกับเมือง
กชังคละ เมื่อกระทำนวกรรมในวิหารเก่านั่นแล ต้องเสวยทุกข์อย่างใหญ่หลวง
เหตุนั้นจึงปรารภถึงทุกข์นั้นแล จึงได้กล่าวอย่างนี้.
ในคาถาที่ช้างกล่าว บทว่า ปาสสเตหิ ความว่า ด้วยบ่วงจำนวนมาก
บทว่า ฉพฺภิ ความว่า ในฐานะ 6 คือ เท้า 4 คอ 1 ส่วนสะเอว 1. บทว่า
คุตฺเตหิ ความว่า ด้วยปลอกเหล็กยาว มีเงี่ยงสองทาง. บทว่า ปาจเนภิ
ได้แก่ ด้วยปฏักคือด้วยขอสับ ได้ยินว่า ช้างนั้นปรารภถึงทุกข์ที่ตนเข็ดหลาบ
มาแล้วนั้นเอง จึงกล่าวอย่างนี้. ในคาถาที่วานรกล่าว บทว่า อลกฺกมาลิ
ความว่า ประกอบด้วยมาลาสวมคอที่หมองูใส่คอวางไว้ บทว่า ติปุกณฺณ-
วิทฺโธ
ความว่า ถูกเจาะหูด้วยดีบุก. บทว่า ลฏฺฐิหโต ความว่า หมองู
ให้ศึกษากีฬางู ถูกเฆี่ยนด้วยไม้เรียว. แม้วานรนั้นได้กล่าวอย่างนี้ หมายถึง
ทุกข์ที่ตนได้เสวยในเงื้อมมือของหมองู.

ก็เมื่อชนทั้ง 13 สบถกันอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์ดำริว่า บางทีพวก
เหล่านี้พึงกินแหนงในเราว่า ผู้นี้กล่าวถึงสิ่งที่ไม่หายไปเลยว่าหายไป ดังนี้
เราต้องสบถบ้าง เมื่อทำสบถ จึงกล่าวคาถานี้ว่า
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ผู้ใดแลแกล้งกล่าวถึงของ
ที่ไม่หายว่าหายก็ดี หรือผู้สงสัยคนใดคนหนึ่งก็ดี ขอ
ให้ผู้นั้นจงได้บริโภคกามทั้งหลาย จงเข้าถึงความตาย
อยู่ในท่ามกลางเรือน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โภนฺโต เป็นอาลปนะ ท่านอธิบายไว้ว่า
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ผู้ใดเล่ากล่าวถึงส่วนที่มิได้หายไปว่าหายไปหมดแล้ว หรือ
ผู้ใดสงสัยในพวกเธอคนใดคนหนึ่ง ให้ผู้นั้นจงได้และจงบริโภคเบญจกามคุณ
อย่าได้บรรพชาอันน่ารื่นรมย์เลยเทียวนะ จงตายเสียในท่ามกลางเรือนนั่นเทียว.
ก็แลเมื่อฤาษีทั้งหลายพากันสบถแล้ว ท้าวสักกะทรงกลัว คิดว่าเรา
หมายจะทดลองพวกนี้ดู จึงทำให้เหง้าบัวหายไป พวกเหล่านี้พากันติเตียนกาม
ทั้งหลาย ประหนึ่งก้อนน้ำลายที่ถ่มทิ้ง ทำสบถกัน เราต้องถามพวกเหล่านั้น
ถึงเหตุที่ติเตียนกามคุณดู แล้วทรงสำแดงกายให้ปรากฏ ทรงไหว้พระโพธิสัตว์
เมื่อตรัสถาม ตรัสคาถาสืบไปว่า
สัตว์ทั้งหลายในโลก ย่อมพากันเที่ยวแสวงหา
กามใด เป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารัก น่าฟูใจ
ของสัตว์เป็นอันมากในชีวโลกนี้ เพราะเหตุใด ฤาษี
ทั้งหลายจึงไม่สรรเสริญกามนั้นเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยเทสมานา มีอรรถาธิบายว่า ฝูงสัตว์
ต่างเสาะหาวัตถุกามและกิเลสกามอันใด ด้วยกรรมทั้งสมควรและไม่สมควร

มีกสิกรรมและโครักขกรรมเป็นต้น พากันท่องเที่ยวไปในโลก กามนั้นเป็นสิ่ง
น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก และน่าชื่นใจของสัตว์เป็นอันมาก คือของมวญ
เทพดาและมนุษย์ เหตุไรเล่า หมู่ฤาษีจึงมิได้สรรเสริญกามทั้งหลายเลย. ด้วย
บทว่ากามทั้งหลายนี้ ท้าวสักกะทรงแสดงวัตถุนั้นโดยสรุป.
ครั้งนั้น เมื่อพระมหาสัตว์จะแก้ปัญหาของท้าวเธอ ได้กล่าวคาถา 2
คาถาว่า
ดูก่อนท่านผู้เป็นจอมภูต เพราะกามนั่นแล
สัตว์ทั้งหลายจึงถูกประหาร ถูกจองจำ เพราะกาม
ทั้งหลาย ทุกข์และภัยจึงเกิด เพราะกามทั้งหลาย สัตว์
ทั้งหลายจึงประมาทลุ่มหลง กระทำกรรมอันเป็นบาป
สัตว์เหล่านั้นมีบาป จึงประสบบาปกรรม เมื่อตายแล้ว
ย่อมไปสู่นรก เพราะเห็นโทษในกามคุณดังนี้ ฤาษี
ทั้งหลายจึงไม่สรรเสริญกาม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเมสุ ความว่า คนทั้งหลายย่อมกระทำ
ทุจริตทั้งหลายมีกายทุจริตเป็นต้น เพราะเหตุแห่งกาม คือ เพราะอาศัยกาม
ทั้งหลาย. บทว่า หญฺญเร ความว่า ย่อมเดือดร้อนเพราะอาชญาเป็นต้น.
บทว่า พชฺฌเร ความว่า ย่อมถูกจองจำด้วยเครื่องจองจำคือเชือกเป็นต้น.
บทว่า ทุกฺขํ ได้แก่ ทุกข์มิใช่ความสำราญอันเป็นไปทางกายและเป็นไปทาง
จิต. บทว่า ภยํ ได้แก่ ภัยทั้งปวง มีการติเตียนตนเป็นต้น. พระมหาสัตว์
เรียกท้าวสักกะว่า ภูตาธิบดี. บทว่า อาทีนวํ กามคุเณสุ ทิสฺวา ความว่า
เพราะเห็นโทษเห็นปานนี้ ก็โทษนี้นั้น พึงแสดงด้วยสูตรทั้งหลาย มีทุกขักขนธ-
สูตรเป็นต้น.

ท้าวสักกะทรงสดับถ้อยคำของพระมหาสัตว์มีพระมนัสสลด ตรัสคาถา
ต่อไปว่า
ข้าแต่ท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ข้าพเจ้าจะ
ทดลองดูว่าฤาษีเหล่านี้ยังน้อมไปในกามหรือไม่ จึงถือ
เอาเหง้าบัวที่ฝั่งน้ำไปฝังไว้บนบก ฤาษีทั้งหลายเป็นผู้
บริสุทธิ์ ไม่มีบาป นี้เหง้าบัวของท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วีมํสมาโน ความว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
กระผมทดลองว่า ฤาษีเหล่านี้น้อมจิตไปในกามหรือไม่. บทว่า อิสิโน ความว่า
ถือเอาเหง้าบัวอันเป็นของท่านผู้แสวงหา. บทว่า ตีเร คเหตฺวาน ความว่า
ถือเอาเหง้าบัวที่ท่านเก็บไว้ที่ฝั่งแม่น้ำแล้วฝังไว้ ณ ส่วนหนึ่งบนบก. บทว่า
สุทฺธา ความว่า บัดนี้เรารู้ถึงการกระทำสบถของท่าน ฤาษีเหล่านี้เป็นผู้บริสุทธิ์
ไม่มีบาปอยู่.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นแล้วกล่าวว่า
ดูก่อนท้าวสหัสนัยน์เทวราช ฤาษีเหล่านี้ มิใช่
นักฟ้อนของท่านและมิใช่ผู้ที่ทานจะพึงล้อเล่น ไม่ใช่
พวกพ้องและสหายของท่าน เพราะเหตุไร ท่านจึงมา
ดูหมิ่นล้อเล่นกับฤาษีทั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น เต นฏา ความว่า ดูก่อนท้าวเทวราช
พวกกระผมไม่ใช่เป็นนักฟ้อนของท่านและเป็นผู้ไม่สมควรที่ใคร ๆ จะพึงล้อเล่น
ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่สหายของท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะอะไร พระองค์จึงทำการ
ดูหมิ่น เพราะอาศัยอะไร พระองค์จึงล้อเล่นกับฤาษีทั้งหลาย.
ครั้งนั้นท้าวสักกะ เมื่อจะขอขมาท่าน จึงกล่าวคาถาที่ 20 ว่า

ข้าแต่ท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ผู้มีปัญญาดุจ
แผ่นดิน ท่านเป็นอาจารย์และเป็นบิดาของข้าพเจ้า
ขอเงาเท้าของท่าน จงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าผู้พลั้ง-
พลาด ขอได้โปรดอดโทษสักครั้งหนึ่งเถิด บัณฑิต
ทั้งหลาย ย่อมไม่มีความโกรธเป็นกำลัง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอสา ปติฏฺฐา ความว่า เงาแห่งเท้า
ของท่านนี้ จงเป็นที่พึ่งแห่งความพลั้งพลาดของข้าพเจ้าในวันนี้. บทว่า โกป-
พลา
ความว่า ขึ้นชื่อว่าบัณฑิตทั้งหลาย ย่อมมีขันติเป็นกำลัง มิใช่เป็นผู้มี
ความโกรธเป็นกำลัง.
พระมหาสัตว์อดโทษแก่ท้าวสักกเทวราชแล้ว เมื่อจะให้คณะฤาษีอด
โทษด้วยตนเอง จึงกล่าวคาถาต่อไปว่า
การที่พวกเราได้เห็นท้าววาสวะผู้เป็นจอมภูต
นับเป็นราตรีเอกของพวกเราเหล่าฤาษีซึ่งอยู่กันด้วยดี
ท่านผู้เจริญทุกคนจงพากันดีใจเถิดเพราะท่านพราหมณ์
ได้เหง้าบัวคืนแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุวาสิตํ อิสีนํ เอกรตฺตึ มีอรรถา-
ธิบายว่า เป็นราตรีเอกที่ผู้มีอายุทั้งหลายพากันอยู่ในป่านี้ เป็นอันอยู่ดีกันทั้งนั้น
เพราะเหตุไร เหตุว่าพวกเราพากันเห็นท้าววาสวะผู้เป็นเจ้าแห่งภูต ถ้าพวกเรา
อยู่ในเมืองละก็คงไม่ได้เห็น. บทว่า โภนฺโต ความว่า พ่อมหาจำเริญเอ๋ย
ทุกคนจงดีใจเถิด จงปลื้มใจเถิด จงอดโทษแก่ท้าวสักกเทวราชเถิด เพราะเหตุ
ไรเล่า เพราะท่านพราหมณ์ได้เหง้าบัวคืนแล้ว คือเหตุว่าอาจารย์ของพวกเธอ
ได้คืนเหง้าบัว.
ท้าวสักกเทวราชบังคมคณะฤาษีแล้วเสด็จไปสู่เทวโลก. ฝ่ายคณะฤาษี
พากันยังฌานและอภิญญาให้เกิดแล้ว ต่างได้เข้าถึงพรหมโลก.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย โปราณกบัณฑิตพากันทำสบถละกิเลสอย่างนี้ แล้วทรงประกาศสัจจะ
เวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันดำรงในพระโสดาปัตติผล. เมื่อพระศาสดาจะทรง
ประชุมชาดก ได้ตรัสพระคาถาสุดท้ายอีก 3 คาถาว่า
เราตถาคต สารีบุตร โมคคัลลานะ กัสสปะ
อนุรุทธะ ปุณณะและอานนท์เป็น 7 พี่น้อง ในครั้งนั้น
อุบลวรรณาเป็นน้องสาว ขุชชุตตราเป็นทาสี จิตต-
คฤหบดีเป็นทาส สาตาคีระเป็นเทวดา ปาลิเลยยกะ
เป็นช้าง มธุระผู้ประเสริฐ เป็นวานร กาฬุทายีเป็น
ท้าวสักกะ ท่านทั้งหลายจงทรงจำชาดก ไว้ด้วยประการ
ฉะนี้แล.

จบอรรถกถาภึสกชาดก

6. สุรุจิชาดก



ว่าด้วยการขอบุตร


[1942] ดิฉันถูกเชิญมา เป็นพระอัครมเหสี
คนแรกของพระเจ้าสุรุจิตลอดเวลาหมื่นปี พระเจ้าสุรุจิ
นำดิฉันมาผู้เดียว ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ดิฉันนั้นมิได้
รู้สึกเลยว่า ได้ล่วงเกินพระเจ้าสุรุจิผู้เป็นจอมประชาชน
ชาววิเทหรัฐ ครองพระนครมิลิลา ด้วยกาย วาจา
หรือใจ ทั้งในที่แจ้งหรือในที่ลับเลย ข้าแต่พระฤาษี