เมนู

อรรถกถาอุททาลกชาดก


พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระมหาวิหารเชตวัน ทรง
พระปรารภภิกษุผู้หลอกลวงรูปหนึ่ง ตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า ขราชินา
ชฏิลา ปงฺกทนฺตา
ดังนี้.
เรื่องย่อมีว่า ภิกษุนั้น แม้บวชในพระศาสนาอันมีธรรมเป็นเครื่อง
นำออกจากทุกข์ได้แล้ว ก็ยังชอบประพฤติเรื่องหลอกลวง 3 สถาน เพื่อต้อง
การปัจจัยทั้งสี่. ครั้งนั้นพวกภิกษุเมื่อจะประกาศโทษของเธอ ตั้งเรื่องสนทนา
กันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุที่ชื่อโน้นบวชในพระศาสนา อัน
ประกอบด้วยธรรม เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้แล้ว ยังจะอาศัยการ
หลอกลวงเลี้ยงชีวิตอยู่เล่า. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมื่อกี้พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อพวกภิกษุกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนเธอก็
หลอกลวงเหมือนกัน ทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ พระนคร
พาราณสี
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นปุโรหิต เป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาด.
วันหนึ่งท่านไปเล่นอุทยาน เห็นหญิงแพศยารูปงามนางหนึ่ง ติดใจ สำเร็จการ
อยู่ร่วมกับนาง. นางอาศัยท่านมีครรภ์ ครั้นรู้ว่าตนมีครรภ์ ก็บอกท่านว่า
เจ้านาย ดิฉันตั้งครรภ์แล้วละ ในเวลาเด็กเกิด เมื่อดิฉันจะตั้งชื่อ จะขนานนาม
เขาว่าอย่างไรเจ้าคะ. ท่านคิดว่า เพราะเด็กเกิดในท้องวัณณทาสีไม่อาจขนาน
นามตามสกุลได้ แล้วกล่าวว่า แม่นางเอ๋ย ต้นไม้ที่ป้องกันลมได้ต้นนี้ชื่อว่า
ต้นคูณ เพราะเราได้เด็กที่นี้ เธอควรตั้งชื่อเขาว่า อุททาลกะ (คูณ) เถิด แล้ว

ได้ให้แหวนสวมนิ้วชี้ไปสั่งว่า ถ้าเป็นธิดา เธอพึงเลี้ยงดูเด็กนั้นด้วยแหวนนี้
ถ้าเป็นบุตรละก็พึงส่งตัวเขาผู้เติบโตแล้วแก่ฉัน ต่อมานางคลอดบุตรชาย ได้
ขนานนามว่า อุททาลกะ. เขาเติบโตแล้ว ถามมารดาว่า แม่จ๋า ใครเป็นพ่อ
ของฉัน. นางตอบว่า ปุโรหิต พ่อ. เขากล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นฉันต้องเรียน
พระเวท แล้วรับแหวนและค่าคำนับอาจารย์จากมือมารดา เดินทางไปตักกศิลา
เรียนศิลปะในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์อยู่ เห็นคณะดาบสคณะหนึ่ง คิดว่า
ในสำนักของพวกนี้ คงมีศิลปะอันประเสริฐ เราจักเรียนศิลปะนั้นเพราะความ
โลภในศิลปะจึงบวช พอทำวัตรปฏิบัติแก่ดาบสเหล่านั้นแล้วก็ถามว่า ข้าแต่
ท่านอาจารย์ทั้งหลาย โปรดให้ข้าพเจ้าศึกษาในศิลปะที่ท่านรู้เถิด. ดาบส
เหล่านั้นก็ให้เขาศึกษาตามทำนองที่ตนรู้ บรรดาดาบสทั้ง 500 ไม่ได้มีเลย
แม้แต่รูปเดียวที่ฉลาดยิ่งกว่าเขา. เขาคนเดี่ยวเป็นยอดของดาบสเหล่านั้นทาง
ปัญญา. ครั้งนั้นพวกดาบสเหล่านั้นจึงประชุมกันยกตำแหน่งอาจารย์ให้แก่เขา
ครั้นแล้วเขากล่าวกะดาบสเหล่านั้นว่า ผู้นิรทุกข์ พวกคุณพากันบริโภคเผือก
มันและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร อยู่กันในป่า เหตุไรจึงไม่พากันไปสู่ถิ่นแดน
มนุษย์เล่า. พวกดาบสตอบว่า ผู้นิรทุกข์ ธรรมดาพวกมนุษย์ให้ทานมาก ๆ
แล้ว ก็ขอให้ทำอนุโมทนา ขอให้กล่าวธรรมกถา พากันถามปัญหา พวกเรา
ไม่ไปในถิ่นมนุษย์นั้นเพราะเกรงภัยนั้น. เขากล่าวว่า แม้ถึงว่าจักเป็นพระเจ้า
จักรพรรดิ การพูดให้จับใจละก็เป็นภาระของฉัน พวกท่านอย่ากลัวเลย จึง
ท่องเที่ยวไปกับพวกดาบสนั้น ลุถึงพระนครพาราณสีโดยลำดับ พักอยู่ใน
พระราชอุทยาน พอรุ่งขึ้นก็เที่ยวภิกษาไปตามประตูบ้าน กับดาบสทั้งปวง.
พวกมนุษย์พากันให้มหาทาน รุ่งขึ้นพวกดาบสก็พากันเข้าสู่พระนคร. พวก
มนุษย์ได้พากันให้มหาทาน อุททาลกดาบสกระทำอนุโมทนา กล่าวมงคล
วิสัชนาปัญหา. พวกมนุษย์พากันเลื่อมใสได้ให้ปัจจัยมากมาย. ชาวเมือง

ทั่วหน้าพากันกราบทูลแด่พระราชาว่า ดาบสผู้ทรงธรรมเป็นบัณฑิต เป็น
คณะศาสดามาถึงแล้ว. พระราชาตรัสถามว่า อยู่ที่ไหน ทรงสดับว่า ในอุทยาน
ก็ตรัสว่า ดีละ วันนี้เราจักไปพบดาบสเหล่านั้น. ยังมีบุรุษผู้หนึ่งได้ไปบอกแก่
อุททาลกะว่า ข่าวว่าพระราชาจักเสด็จมาเยี่ยมพระคุณเจ้าทั้งหลาย. เขาเรียก
คณะฤาษีบอกว่า ผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ข่าวว่าพระราชาจักเสด็จมา ธรรมดาท่าน
ผู้เป็นใหญ่ ทำให้พอใจได้เสียวันหนึ่งแล้ว ก็พอใจไปตลอดชีพ. พวกดาบส
พากันถามว่า ท่านอาจารย์ครับ ก็พวกผมต้องทำอะไรกันเล่า. เขากล่าวอย่าง
นี้ว่า ในพวกท่านบางพวกจงประพฤติวัคคุลิวัตร (ข้อปฏิบัติอย่างค้างคาว)
บางพวกจงตั้งหน้านั่งกระโหย่ง บางพวกจงพากันนอนบนหนาม บางพวกจง
ผิงไฟ 5 กอง บางพวกจงพากันแช่น้ำ บางพวกจงพากันสังวัธยายมนต์ในที่
นั้น ๆ พวกดาบสกระทำตามนั้น. ฝ่ายตนเองชวนดาบสที่ฉลาด ๆ มีวาทะ
คมคาย 8 หรือ 10 รูปไว้ วางคัมภีร์ที่สวยงามไว้บนกากะเยียที่ชวนดู แวดล้อม
ด้วยอันเตวาสิก นั่งเหนืออาสนะที่จัดไว้เป็นอันดี. ขณะนั้นพระราชาตรัสชวน
ปุโรหิตเสด็จไปพระอุทยานกับบริวารขบวนใหญ่ ทอดพระเนตรเห็นดาบส
เหล่านั้นพากันประพฤติตบะผิด ๆ กันอยู่ ทรงเลื่อมใสว่า ท่านพวกนี้พ้นแล้ว
จากภัย ในอบาย เสด็จถึงสำนักอุททาลกดาบส ทรงพระปฏิสันถารประทับนั่ง
ณ ส่วนข้างหนึ่ง มีพระมนัสยินดี เมื่อตรัสสนทนากับท่านปุโรหิต ตรัสคาถา
แรกว่า
ชฎิลเหล่าใดครองหนังเสือพร้อมเล็บ ฟันเขลอะ
รูปร่างเลอะเทอะ ร่ายมนต์อยู่ ชฎิลเหล่านั้นเป็นผู้รู้การ
ประพฤติตบะและการสาธยายมนต์นี้ ในความเพียรที่
มนุษย์จะพึงทำกัน จะพ้นจากอบายได้ละหรือ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขราชินา ความว่า ประกอบด้วยหนังเสือ
พร้อมด้วยเล็บ. บทว่า ปงฺกทนฺตา ความว่า มีฟันอันมลทินจับแล้ว เพราะ
ไม่เคี้ยวไม้สีฟัน. บทว่า ทุมฺมกฺขรูปา ความว่า นัยน์ตาไม่หยอดตา ร่างกาย
มิได้ประดับ มีผ้าพาดสกปรก. บทว่า มานุสเก จ โยเค ความว่า พวก
มนุษย์ควรกระทำความเพียร. บทว่า อิทํ วิทู ความว่า รู้อยู่ซึ่งการประพฤติ
ตบะ และการท่องมนต์นี้. บทว่า อปายา ความว่า พระราชตรัสถามว่า
อาจารย์พ้นจากอบาย 4 เหล่านี้ ได้อย่างไรหรือ ?
ท่านปุโรหิต ได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ดำริว่า พระราชาพระองค์นี้
ทรงเลื่อมใสในฐานะอันไม่ควร เราจะนิ่งเสียไม่ได้ละ จึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า
ข้าแต่พระราชา ถ้าบุคคลเป็นพหูสูต แต่ไม่
ประพฤติธรรม ก็จะพึงกระทำกรรมอันลามกทั้งหลาย
ได้ แม้จะมีเวทตั้งพัน อาศัยแต่ความเป็นพหูสูต ยัง
ไม่บรรลุจรณธรรม จะพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้เลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหุสฺสุโต ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
ถ้าบุคคลทะนงตนว่าเราเป็นพหูสูตดังนี้ แม้จะมีเวทเชี่ยวชาญ ไม่ประพฤติ
กุศลธรรมทั้ง 10 ประการ ก็พึงกระทำบาปด้วยทวารทั้งสามได้เหมือนกัน
เวททั้งสามยกเสียเถิด ต่อให้มีเวทตั้ง 1,000 มิได้บรรลุจรณธรรม คือสมาบัติ
8 แล้ว จะอาศัยความเป็นพหูสูตนั้น พ้นจากอบายทุกข์ไม่ได้เลย.
อุททาลกะ ได้ฟังคำของท่านดังนั้นแล้ว คิดว่า พระราชาทรงเลื่อมใส
คณะฤาษีตามพระอัธยาศัยแล้ว แต่พราหมณ์ผู้นี้มาขว้างโคที่กำลังเที่ยวไป ทิ้ง
หยากเยื่อลงในภัตที่เขาคิดไว้แล้วเสียได้ เราต้องพูดกับเขา เมื่อจะพูด จึง
กล่าวคาถาที่ 3 ว่า

บุคคลผู้มีเวทตั้งพัน อาศัยแต่ความเป็นพหูสต
นั้น ยังไม่บรรลุจรณธรรมแล้ว จะพ้นจากทุกข์ไปไม่
ได้ อาตมภาพย่อมสำคัญว่าเวททั้งหลายก็ย่อมไม่มีผล
จรณธรรมอันมีความสำรวมเท่านั้นเป็นความจริง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อผลา ความว่า ในวาทะของท่าน เวท
ทั้งหลายและศิลปะที่เหลือ ย่อมถึงความไม่มีผล เพราะฉะนั้น จะเรียนเวท
และศิลปะเหล่านั้นไปทำไม จรณะกับการสำรวมศีลเท่านั้น จึงสำเร็จเป็นสัจจะ
อันหนึ่ง.
ลำดับนั้น ปุโรหิตกล่าวคาถาว่า
เวททั้งหลายจะไม่มีผลก็หามิได้ จรณธรรมอันมี
ความสำรวมนั้นนั่นแลเป็นความจริง แต่บุคคลเรียน
เวททั้งหลายแล้ว ย่อมได้รับเกียรติคุณ ท่านผู้ฝึกฝน
ตนด้วยจรณธรรมแล้ว ย่อมบรรลุสันติ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาเหว ความว่า เราไม่ได้กล่าวว่า
เวททั้งหลายไม่มีผล ก็แต่ว่า จรณธรรมพร้อมกันกับการสำรวม เป็นความ
จริงทีเดียว คือเป็นสภาวะอันสูงสุด เพราะเหตุนั้นแล จึงสามารถพ้น
จากทุกข์ได้. บทว่า สนฺตึ ปาปุณาติ ความว่า เมื่อบุคคลฝึกตนด้วย
จรณธรรมกล่าวคือสมาบัติ ย่อมถึงพระนิพพาน อันกระทำความสงบแห่ง
หทัย.
อุททาลกะ ได้ฟังดังนั้นแล้วคิดว่า เราไม่อาจโต้กับปุโรหิตนี้ ด้วย
อำนาจเป็นฝ่ายแย้งได้ ธรรมดาบุคคลที่จะไม่ทำความไยดีในคำที่ถูกกล่าวไม่
มีเลย เราต้องบอกความเป็นลูกแก่เขา จึงกล่าวคาถาที่ 5 ว่า

บุตรที่เกิดแต่มารดาบิดาและเผ่าพันธุ์ใด อันบุตร
จะต้องเลี้ยงดู อาตมภาพเป็นคน ๆ นั้นแหละ มีชื่อว่า
อุททาลกะ เป็นเชื้อสายของวงศ์ตระกูลโสตถิยะแห่ง
ท่านผู้เจริญ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภจฺจา ความว่า บิดามารดาและพวกพ้อง
ที่เหลือ เป็นผู้ได้นามว่า เป็นผู้อันบุตรต้องเลี้ยงดู อาตมภาพก็เป็นบุตร
ผู้นั้นแหละ ที่จริงตนนั้นแหละย่อมเกิดเพื่อตนได้ แม้อาตมาภาพก็เกิดแล้วที่
โคนไม้คูน เพราะท่าน ท่านกล่าวตั้งชื่อไว้แล้วทีเดียว อาตมภาพชื่ออุททาลกะ
นะท่านผู้เจริญ.
เมื่อท่านปุโรหิตถามว่า แน่หรือคุณชื่ออุททาลกะ ท่านตอบว่า แน่ซิ
ถามต่อไปว่า ข้าพเจ้าให้เครื่องหมายไว้แก่มารดาของท่าน เครื่องหมายนั้น
ไปไหนเล่า ตอบว่า นี่พราหมณ์ พลางวางแหวนลงในมือของท่าน. พราหมณ์
จำแหวนได้แต่ยังกล่าวว่า คุณเป็นพราหมณ์ตามโอกาสที่เลือกเรียน แต่จะรู้
พราหมณธรรมละหรือ เมื่อจะถามพราหมณธรรม จึงกล่าวคาถาที่ 6 ว่า
ดูก่อนท่านผู้เจริญ บุคคลเป็นพราหมณ์ได้
อย่างไร เป็นพราหมณ์เต็มที่ได้อย่างไร ความดับรอบ
จะมีได้อย่างไร เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม บัณฑิตเรียกว่า
กระไร.

อุททาลกะเมื่อบอกแก่ท่านจึงกล่าวคาถาที่ 7 ว่า
บุคคลเป็นพราหมณ์ ต้องบูชาไฟเป็นนิตย์ ต้อง
รดน้ำ เมื่อบูชายัญต้องยกเสาเจว็ด ผู้กระทำอย่างนี้จึง
เป็นพราหมณ์ ผู้เกษมด้วยเหตุนั้น ชนทั้งหลายจึงพา
กันสรรเสริญว่า เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิรํ กตฺวา อคฺคิมาทาย ความว่า
บุคคลผู้เป็นพราหมณ์ต้องก่อไฟบำเรอไฟมิให้ขาดระยะ. บทว่า อาโปสิญฺจํ
ยชํ อสฺเสติ ยูปํ
ความว่า เมื่อกระทำการรดน้ำ เมื่อจะบูชาสัมมาปาสยัญ
ก็ดี วาจาเปยยัญก็ดี นิรัคคลยัญก็ดี ต้องให้ยกเจว็ดทองขึ้นทำ อย่างนี้จึงจะ
เป็นพราหมณ์ผู้ถึงความเกษม. บทว่า เขมี ได้แก่ ถึงความเกษม. บทว่า
อมาปยึสุ ความว่า ก็ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ชนทั้งหลาย ย่อมพากันเรียกว่า
ผู้ดำรงอยู่ในธรรม.
ปุโรหิตได้ฟังดังนั้นแล้ว เมื่อติเตียนพราหมณ์ตามที่เขากล่าวจึงกล่าว
คาถาที่ 8 ว่า
ความหมดจด ย่อมไม่มีด้วยการรดน้ำ อนึ่ง
พราหมณ์จะเป็นพราหมณ์เต็มที่ ด้วยการรดน้ำก็หาไม่
ขันติและโสรัจจะย่อมมีไม่ได้ ทั้งผู้นั้นจะเป็นผู้ดับรอบ
ก็หามิได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เสจเนน ความว่า ปุโรหิตแสดง
พราหมณธรรมทั้งหลายที่เขากล่าวข้อเดียวคือ ด้วยการรดน้ำ ห้ามเสียทุกข้อไป
ข้อนี้มีอธิบายว่า อันความหมดจดมีไม่ได้เลย ด้วยการบำเรอไฟ ด้วยการรดน้ำ
หรือด้วยฆ่าสัตว์บูชายัญ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้จะเป็นพราหมณ์ผู้บริบูรณ์สิ้นเชิง
ก็มิได้ ความอดทนคือความอดกลั้นจะมีไม่ได้ ความสงบเสงี่ยมคือศีล จะมีไม่
ได้และจะชื่อว่าเป็นผู้ดับโดยรอบเพราะความดับเสียรอบด้านซึ่งกิเลส ก็ไม่ได้
ลำดับนั้น อุททาลกะ เมื่อจะถามว่า ถ้าว่าไม่เป็นพราหมณ์ด้วยอย่างนี้
ละก็จะเป็นได้อย่างไรกัน จึงกล่าวคาถาที่ 9 ว่า

ดูก่อนท่านผู้เจริญ บุคคลเป็นพราหมณ์ได้
อย่างไร และเป็นพราหมณ์เต็มที่ได้อย่างไร ความดับ
รอบจะมีได้อย่างไร ผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรม บัณฑิตเรียกว่า
กระไร.

ฝ่ายปุโรหิต เมื่อจะกล่าวแก่เขาก็กล่าวคาถาต่อไปว่า
บุคคลผู้ไม่มีไร่นา ไม่มีพวกพ้อง ไม่ถือว่าเป็น
ของเรา ไม่มีความหวัง ไม่มีบาปคือความโลภ สิ้น
ความโลภในภพแล้ว ผู้กระทำอย่างนี้ ชื่อว่าเป็น
พราหมณ์ผู้เกษม เพราะเหตุนั้น ชนทั้งหลายจึงได้
พากันสรรเสริญว่าผู้ตั้งอยู่ในธรรม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกฺเขตฺตพนฺธุ ได้แก่ ผู้ไม่มีไร่นา
ไม่มีพวกพ้อง. อธิบายว่า ท่านผู้เว้นแล้วจากครอบครองไร่นา บ้านตำบล
ชื่อว่า ผู้ไม่มีไร่นา เว้นขาดแล้วจากการปกครองพวกพ้องทางญาติ พวกพ้อง
ทางมิตร พวกพ้องทางสหาย และพวกพ้องทางศิลปะชื่อว่าผู้ไม่มีพวกพ้อง
ผู้เว้นแล้วจากการถือว่าเป็นของเราด้วยอำนาจตัณหาและทิฏฐิในสัตว์และสังขาร
ทั้งหลาย ชื่อว่าผู้ไม่ถือว่าของเรา ผู้เว้นแล้วจากความหวังในลาภ ในทรัพย์
ในบุตรและในชีวิต ชื่อว่าผู้หมดความหวัง เว้นแล้วจากความโลภอันเป็นบาป
ได้แก่ความโลภ ในฐานะอันไม่สม่ำเสมอ ชื่อว่าผู้หมดบาปคือความโลภ สิ้น
ความยินดีในภพแล้ว ชื่อว่าผู้สิ้นความโลภในภพแล้ว.
ลำดับนั้น อุททาลกะกล่าวคาถาว่า
กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล
คนเทหยากเยื่อทั้งปวง เป็นผู้สงบเสงี่ยม ฝึกฝนตนแล้ว
ย่อมดับรอบได้ทั้งหมด เมื่อคนทุก ๆ คนเป็นผู้เย็นแล้ว
ยังจะมีคนดีคนเลวอีกหรือไม่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ความว่า
อุททาลกะถามว่า กษัตริย์เป็นต้นเหล่านี้ ทุกคนย่อมมีคุณสมบัติคือความเป็น
ผู้แช่มชื่นได้ทั้งนั้น ก็เมื่อเป็นอย่างนี้กันแล้ว ความต่ำความสูงอย่างนี้ว่า ผู้นี้
ดีกว่า ผู้นี้เลวกว่า มีหรือไม่มี.
ลำดับนั้น เพื่อจะชี้แจงว่า จำเดิมแต่บรรลุพระอรหัตไป ขึ้นชื่อว่า
ความต่ำความสูงย่อมไม่มีแก่เขา พราหมณ์กล่าวคาถาว่า
กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล
คนเทหยากเยื่อทั้งปวง เป็นผู้สงบเสงี่ยม ฝึกฝนตน
แล้วย่อมดับรอบได้ทั้งหมด เมื่อคนทุก ๆ คนเป็นผู้เย็น
แล้ว ย่อมไม่มีคนดีคนเลวเลย.

ลำดับนั้น เมื่ออุททาลกะจะติเตียนท่านปุโรหิตนั้น จึงกล่าวสองคาถาว่า
กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล
คนเทหยากเยื่อทั้งปวง เป็นผู้สงบเสงี่ยม ฝึกฝนตนแล้ว
ย่อมดับรอบได้ทั้งหมด เมื่อคนทุก ๆ คนเป็นผู้เย็นแล้ว
ย่อมไม่มีคนดีคนเลวเลย เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านชื่อว่า
ทำลายความเป็นเชื้อสายแห่งตระกูลโสตถิยะ จะ
ประพฤติเพศพราหมณ์ ที่เขาสรรเสริญกันอยู่ทำไม.

คาถานั้นมีอรรถาธิบายว่า แม้นว่าความพิเศษของผู้มีคุณเหล่านั้นไม่
มีเลยและย่อมเป็นวรรณะเดียวกันได้ละก็ เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านก็กำลังทำลาย
ความเป็นผู้อุภโตสุชาตเสีย ชื่อว่ากำลังประพฤติทำลายความเป็นพราหมณ์ลง
เสมอกับจัณฑาล ทำลายความเป็นเชื้อสายแห่งสกุลโสตถิยะเสียสิ้น.

ครั้งนั้นท่านปุโรหิตจะเปรียบเทียบให้เขาเข้าใจ จึงกล่าวสองคาถาว่า
วิมานที่เขาคลุมด้วยผ้ามีสีต่าง ๆ กัน เงาแห่งผ้า
เหล่านั้นย่อมเป็นสีเดียวกันหมด สีที่ย้อมนั้น ย่อมไม่
เกิดเป็นสีฉันใด ในมนุษย์ทั้งหลายก็ฉันนั้น เมื่อใด
มาณพบริสุทธิ์ เมื่อนั้นมาณพเหล่านั้นเป็นผู้มีวัตรดี
เพราะรู้ทั่วถึงธรรม ย่อมละชาติของตนได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิมานํ มีอรรถาธิบายว่า วิมานหมายถึง
เรือนหรือมณฑป. บทว่า ฉายา ความว่า ที่มุงด้วยผ้าย้อมสีต่าง ๆ กัน
แสงฉายของผ้าเหล่านั้นจะเหลื่อมกันไม่ได้ สีที่ย้อมต่าง ๆ กันนั้น ย่อมไม่เป็น
สีวิจิตรไป แสงฉายทั้งหมดย่อมเป็นสีเดียวกันทั้งนั้น. บทว่า เอวเมว ความ
ว่า แม้ในหมู่มนุษย์ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน พวกพราหมณ์ไม่มีความรู้บาง
พวกร่วมกันบัญญัติวัณณะ 4 ไว้โดยหาการกระทำมิได้เลย เธออย่าถือว่าข้อนี้มี
อยู่เลย กาลใดท่านผู้บัณฑิตในโลกนี้ผุดผ่องด้วยอริยมรรค กาลนั้นบุรุษบัณฑิต
มีวัตรดี คือ มีศีลเพราะทราบนิพพานธรรมตามที่ท่านเหล่านั้นบรรลุแล้ว
ท่านเหล่านั้นย่อมเปลื้องชาติของตนเสีย เพราะว่าตั้งแต่บรรลุพระนิพพานไป
ขึ้นชื่อว่าชาติก็หาประโยชน์มิได้เลย.
อุททาลกะไม่สามารถ จะนำปัญหามาถามอีกได้ ก็นั่งจำนน. ทีนั้น
ท่านพราหมณ์จึงกราบทูลถึงเขากะพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช พวกนี้ทั้งหมด
เป็นผู้หลอกลวง จักพากันทำลายชมพูทวีปทั้งสิ้นเสียด้วย ความหลอกลวง
เป็นแท้ พระองค์โปรดให้อุททาลกะสึกเสีย ตั้งให้เป็นปุโรหิต ที่เหลือเล่าก็
โปรดให้สึกเสีย พระราชทานโล่และอาวุธ โปรดให้เป็นเสวกเสียเถิด พระราชา
ตรัสว่า ดีละ ท่านอาจารย์ ได้ทรงกระทำอย่างนั้นแล้ว. อุททาลกะเป็นข้าเฝ้า
พระราชาไปตามยถากรรม.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนเธอก็เคยหลอกลวงเหมือนกัน
ทรงประชุมชาดกว่า อุททาลกะในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุผู้หลอกลวง
พระราชา
ได้มาเป็นอานนท์ ส่วนปุโรหิตได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาอุททาลกชาดก

5. ภิสชาดก



ว่าด้วยการลองใจฤาษี


[1921] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้า
บัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงได้ม้า วัว เงิน ทอง
และภรรยาที่น่าชอบใจ จงพร้อมพรั่งด้วยบุตรและ
ภรรยามากมายเถิด.

[1922] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้า
บัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงได้ทัดทรงระเบียบ
ดอกไม้ ลูบไล้กระแจะจันทน์ แคว้นกาสีจงเป็นผู้มาก
ไปด้วยบุตร จงกระทำความเพ่งเล็งอย่างแรงกล้า ใน
กามทั้งหลายเถิด.

[1923] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้า
บัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงเป็นคฤหัสถ์มีธัญชาติ