เมนู

อรรถกถามหาอุกกุสชาดก


พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระมหาวิหารเชตวัน ทรง
พระปรารภอุบาสกผู้ผูกมิตร ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อุกฺกา มิลาจา
พนฺธนฺติ
ดังนี้.
ได้ยินว่า อุบาสกนั้นเป็นบุตรแห่งตระกูลเก่าแก่ในพระนครสาวัตถี
ส่งสหายไปให้ขอกุลธิดาคนหนึ่ง. กุลธิดานั้นถามว่า ก็มิตรและสหาย
ที่สามารถแบ่งเบากิจที่เกิดขึ้นของเขามีไหมละ. ตอบว่า ไม่มี. ครั้นกุลธิดานั้น
กล่าวคำว่า ถ้าเช่นนั้น เขาต้องผูกมิตรไว้ก่อนเถิด. เขาตั้งอยู่ในคำตักเตือนนั้น
เริ่มกระทำไมตรีกับคนเฝ้าประตูทั้งสี่ก่อน แล้วได้กระทำไมตรีกับหน่วยคุ้มกัน
พระนคร และอิสรชนมีมหาอำมาตย์เป็นต้น แม้กับท่านเสนาบดีและกับพระ-
อุปราช ก็กระทำไมตรีไว้ด้วย ครั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับชนเหล่านั้นได้
ก็กระทำไมตรีกับพระราชาโดยลำดับ ต่อจากนั้น ก็ได้กระทำไมตรีกับพระ
มหาเถระ 80 องค์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้กับพระอานนท์ ก็ได้กระทำไมตรี
กับพระตถาคตเจ้า. ทีนั้นพระศาสดาก็ทรงโปรดให้เขาดำรงในสรณะและศีล.
พระราชาเล่าก็โปรดประทานอิสริยยศแก่เขา. เขาเลยปรากฏนามว่า มิตตคันถกะ
นั่นเเหละ. ครั้งนั้น พระราชาประทานเรือนหลังใหญ่แก่เขา โปรดให้กระทำ
อาวาหมงคล. มหาชนตั้งต้นแต่พระราชาส่งบรรณาการให้เขา ครั้งนั้นภรรยา
ของเขาก็ส่งบรรณาการ ที่พระราชาทรงประทาน ไปถวายแด่พระอุปราช ส่ง
บรรณาการที่พระอุปราชส่งประทานไปให้แก่เสนาบดีเป็นลำดับไป ด้วยอุบาย
นี้แหละ ได้ผูกพันชาวพระนครทั่วหน้าไว้ได้. ในวันที่เจ็ดจัดมหาสักการะ
เชิญเสด็จพระทศพลถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์ประมาณ 500 รูป มีพระพุทธเจ้า

เป็นประมุข เวลาเสร็จภัตกิจ ฟังพระดำรัสอนุโมทนาที่พระศาสดาตรัส คู่สามี
ภรรยา ก็ดำรงในโสดาปัตติผล. พวกภิกษุพากันยกเรื่องขึ้นสนทนากัน
ในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย อุบาสกมิตตคันถกะ อาศัยภรรยาของตน
ฟังคำของนาง ทำไมตรีกับคนทั้งปวง ได้สมบัติมาก จากสำนักพระราชา
ทำไมตรีกับพระตถาคตเจ้า ก็ดำรงในโสดาปัตติผลทั้งคู่. พระศาสดาเสด็จมา
ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้เธอนั่งสนทนาด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุ
กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น
ที่อุบาสกนี้อาศัยมาตุคามถึงยศใหญ่ แม้ในครั้งก่อน เขาบังเกิดในกำเนิด
ดิรัจฉาน กระทำไมตรีกับสัตว์เป็นอันมากตามคำของนาง พ้นจากความโศก
เพราะบุตรได้ ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา ทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งหนึ่งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ในนคร
พาราณสี
ชาวปัจจันตชนบทเหล่านั้นได้เนื้อมาก ๆ ในที่ใด ๆ ก็พากันตั้ง
บ้านขึ้นในที่นั้น ๆ แล้วพากันเที่ยวในป่าฆ่ามฤคเป็นต้น ขนเนื้อมาเลี้ยงลูกเมีย.
ในไม่ไกลจากบ้านของพวกนั้น มีสระใหญ่เกิดเองอยู่. ด้านขวาของสระนั้น
มีเหยี่ยวตัวหนึ่ง ด้านหลังมีนางเหยี่ยวตัวหนึ่ง ด้านเหนือมีราชสีห์ ด้าน
ตะวันออกมีพญานกออกอาศัยอยู่ ส่วนในที่ตื้นกลางสระ. เต่าอาศัยอยู่. ครั้งนั้น
เหยี่ยวกล่าวกับนางเหยี่ยวว่า เป็นภรรยาข้าเถิด. นางเหยี่ยวจึงกล่าวกะเขาว่า
ก็แกมีเพื่อนบ้างไหมล่ะ. ตอบว่า ไม่มีเลย. นางกล่าวว่า เมื่อภัยหรือ
ทุกข์บังเกิดแก่เรา เราต้องได้มิตรหรือสหายช่วยแบ่งเบา จึงจะควร แกต้อง
ผูกมิตรก่อนเถิด. ถามว่า นางผู้เจริญ เราจะทำไมตรีกับใครเล่า. อบว่า
แกจงทำไมตรีกับพญานกออกที่อยู่ด้านตะวันออก กับราชสีห์ที่อยู่ด้านเหนือ
กับเต่าที่อยู่กลางสระ. เขาฟังคำของนางแล้วรับคำ ได้กระทำตามนั้น. ครั้งนั้น
เหยี่ยวทั้งคู่ก็ได้จัดแจงที่อยู่ เขาพากันทำรัง อาศัยอยู่ ณ ต้นกระทุ่ม อันอยู่

บนเกาะแห่งหนึ่งในสระนั้นเอง มีน้ำล้อมรอบ. ครั้นต่อมาเหยี่ยวทั้งคู่ก็ได้ให้
กำเนิดลูกน้อยสองตัว. ขณะที่ลูกเหยี่ยวทั้งสองยังไม่มีขนปีกนั้นเอง วันหนึ่ง
ชาวชนบทเหล่านั้นพากันตระเวนป่าตลอดวัน ไม่ได้เนื้ออะไร ๆ เลย คิดกันว่า
พวกเราไม่อาจไปเรือนอย่างมือเปล่าได้ ต้องจับปลาหรือเต่าไปให้ได้ พากัน
ลงสระไปถึงเกาะนั้น นอนที่โคนต้นกระทุ่มต้นนั้น เมื่อถูกยุงเป็นต้นรุมกัด
ก็ช่วยกันสีไฟก่อไฟ ทำควันเพื่อไล่ยุงเป็นต้นเหล่านั้น. ควันก็ขึ้นไปรมนก
ทั้งหลาย. ลูกนกก็พากันร้อง ชาวชนบทได้ยินเสียงต่างกล่าวว่า ชาวเราเอ๋ย
เสียงลูกนก ขึ้นซี มัดคบเถิด หิวจนทนไม่ไหว กินเนื้อนกแล้วค่อยนอนกัน
พลางก่อไฟให้ลุกแล้วช่วยกันมัดคบ. แม่นกได้ยินเสียงพวกนั้นคิดว่า คนพวกนี้
ต้องการจะกินลูกของเรา เราผูกมิตรไว้เพื่อกำจัดภัยทำนองนี้ ต้องส่งผัวไปหา
พญานกออก แล้วกล่าวว่า ไปเถิดนายจ๋า ภัยบังเกิดแก่ลูกของเราแล้วละ จง
บอกแก่พญานกออกเถิด พลางกล่าวคาถาต้นว่า
พรานชาวชนบท พากันมัดคบเพลิงอยู่บนเกาะ
ปรารถนาจะกินลูกน้อยของเรา ข้าแต่พญาเหยี่ยว
ท่านจงบอกมิตรและสหาย จงแจ้งความพินาศแห่งหมู่
ญาติของเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิลาจา แปลว่า ชาวชนบท. บทว่า
ทีเป แปลว่า ในเกาะน้อย. บทว่า ปชา มมํ ได้แก่ บุตรของเรา. แม่นก
เรียกนกเสนกะโดยชื่อว่า เสนกะ. บทว่า ญาติพฺยสนํ ทิชานํ ความว่า
แม่นกกล่าวว่า ท่านจงไปบอกความวอดวายของนกที่เป็นญาติของเรานี้แก่พญา
เหยี่ยวดำ.

พ่อเหยี่ยวนั้นบินไปที่อยู่ของพญานกออกโดยเร็ว แล้วขันบอกให้รู้การ
ที่ตนมา ได้รับโอกาส ก็เข้าไปไหว้ ถูกถามว่า เจ้ามาทำไม เมื่อแสดงเหตุที่
ต้องมา กล่าวคาถาที่ 2 ว่า
ข้าแต่พญานกออก ท่านเป็นนกประเสริฐกว่า
นกทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยึดท่านเป็นที่พึ่ง พวกพราน
ชาวชนบทปรารถนาจะกินลูกน้อยของข้าพเจ้า ขอท่าน
จงช่วยให้ข้าพเจ้าได้รับความสุขเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิโช ความว่า ท่านเป็นนกที่ประเสริฐกว่า
นกทั้งหลาย.
พญานกออกปลอบเหยี่ยวว่า อย่ากลัวเลย แล้วกล่าวคาถาที่ 3 ว่า
บัณฑิตทั้งหลาย ผู้แสวงหาความสุข ทั้งในกาล
และไม่ใช่กาล ย่อมทำบุคคลให้เป็นมิตรสหาย ดูก่อน
เหยี่ยว ฉันจะกระทำประโยชน์อันนี้แก่ท่านจงได้ ที่-
จริง อริยชนย่อมกระทำกิจให้แก่อริยชน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเล อกาเล ได้แก่ ในกลางวัน
และกลางคืน. อาจาระในบทว่า อริโย นี้ท่านประสงค์เอาอริยะผู้ประเสริฐ
พญานกออกกล่าวว่า ในที่นี้อะไรเรียกว่า อริยะ จริงอยู่ผู้สมบูรณ์ด้วยอาจาระ
ย่อมทำกิจของผู้สมบูรณ์ด้วยอาจาระเท่านั้น.
ลำดับนั้น พญานกออกถามเหยี่ยวว่า พวกคนป่าพากันขึ้นต้นไม้แล้ว
หรือสหาย. ก็ตอบว่า ตอนนั้นยังไม่ได้ขึ้น กำลังพากันมัดคบเท่านั้น. บอกว่า
ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงรีบไปปลอบแม่สหายของเรา บอกถึงการมาของเราไว้เถิด.
เหยี่ยวทำอย่างนั้น. ฝ่ายพญานกออกก็บินมาจับที่ยอดไม้ต้นหนึ่ง มองดูทางขึ้น

ของพวกชาวป่าไม่ไกลต้นกระทุ่ม เวลาที่ชาวป่าคนหนึ่งขึ้นต้นกระทุ่ม ใกล้
จะถึงรังก็ดำลงในสระ เอาน้ำมาด้วยปีกและด้วยปาก รดราดบนคบเสีย
คบนั้นก็ดับ. พวกชาวป่ากล่าวว่า พวกเราต้องกินเหยี่ยวตัวนี้ด้วย กินลูก
ของมันด้วยแล้วถอยลง จุดคบให้ลุก พากันปีนขึ้นไปใหม่. พญานกออกก็
เอาน้ำมาดับเสียอีก. เมื่อพญานกออกใช้อุบายนี้ดับคบที่ผูกแล้ว ๆ เวลาก็ล่วง
ไปถึงเที่ยงคืน. พญานกออกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก. พังผืดภายใต้ท้องหย่อน
ตาทั้งคู่แดงก่ำ แม่เหยี่ยวเห็นแล้ว กล่าวกะผัวว่า นายจ๋า พญานกออกลำบาก
เหลือเกินแล้ว พี่ เจ้าจงไปบอกพญาเต่าเถิด เพื่อให้พญานกออกพักผ่อนได้บ้าง
พ่อเหยี่ยวฟังคำนั้นเข้าไปหาพญานกออก พลางเชื้อเชิญด้วยคาถาว่า
กิจอันใด ที่อริยชนผู้มีความอนุเคราะห์ จะพึง
กระทำแก่อริยชน กิจอันนั้น ชื่อว่าอันท่านกระทำแล้ว
ขอท่านจงรักษาตัวเถิด อย่ารีบร้อนไปนักเลย เมื่อท่าน
ยังมีชีวิตอยู่ เราก็จะได้ลูกคืนมาเป็นแน่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตยิทํ ตัดเป็น ตยา อิทํ บาลีก็
เหมือนกันแล.
พญานกออกฟังคำของเหยี่ยวนั้นแล้ว เมื่อจะบันลือสีหนาทกล่าวคาถา
ที่ 5 ว่า
ฉันกระทำการรักษาป้องกันนั้น แม้ถึงตัวจะตาย
ก็ไม่ได้สะดุ้งเลย แท้จริงสหายทั้งหลายผู้ยอมสละชีวิต
กระทำเพื่อสหายทั้งหลาย นี่เป็นธรรมดาของสัตบุรุษ
ทั้งหลาย.

ก็พระศาสดาเป็นอภิสัมพุทธ เมื่อทรงพรรณนาคุณของพญานกออก
นั้นจึงตรัสคาถาที่ 6 ว่า

นกออกตัวนี้ซึ่งเป็นอัณฑชะ ได้กระทำกรรมที่
ทำได้แสนยากเพื่อประโยชน์แก่ลูกเหยี่ยว ตั้งแต่ยาม-
ครึ่งจนถึงเที่ยงคืนไม่หยุดหย่อน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุรุโร แปลว่า พญานกออก (หรือ
เหยี่ยวดำ). บทว่า ปุตฺเต ความว่า รักลูกของเหยี่ยวอยู่เพื่อประโยชน์แก่ลูก
ของเหยี่ยวเหล่านั้น. บทว่า อฑฺฒรตฺเต อนาคเต ความว่า กระทำความ
พยายามจนถึงยามที่สอง จัดว่ากระทำได้ยาก.
ฝ่ายพ่อเหยี่ยว กล่าวว่า ข้าแต่พญานกออกผู้สหาย เชิญท่านพักสัก
หน่อยเถิด แล้วไปหาเต่า ปลุกเต่าลุกขึ้น เมื่อเต่ากล่าวว่า มาทำไม เพื่อนเอ๋ย
ก็บอกว่า ภัยเห็นปานนี้บังเกิดแล้ว พญานกออกพยายามมาตั้งแต่ยามต้นจน
เหนื่อย เหตุนั้นแหละ ข้าพเจ้าจึงต้องมาหาท่าน แล้วกล่าวคาถาที่ 7 ว่า
แท้จริง คนบางพวก ถึงจะเคลื่อนคลาด
พลาดพลั้งจากการงานของตน ก็ยังตั้งตัวได้ด้วยความ
อนุเคราะห์ของมิตรทั้งหลาย พวกลูกทั้งหลายของ
ข้าพเจ้าเดือดร้อน ข้าพเจ้าจึงรีบมาหาท่านเพื่อขอให้
เป็นที่พึ่งอาศัย ดูก่อนเต่าผู้เป็นสหาย ขอท่านช่วย
บำเพ็ญประโยชน์แก่ข้าพเจ้าเถิด.

ความแห่งคาถานั้นมีว่า นายเอ๋ย จริงอยู่ บุคคลบางพวกถึงจะคลาด-
เคลื่อนจากยศหรือจากทรัพย์ ถึงจะพลาดพลั้งจากการงานของตน ย่อมตั้งตน
ได้ด้วยความอนุเคราะห์ของเพื่อนฝูง ก็บุตรของข้าพเจ้ากำลังถูกกิน เดือดร้อน
เหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงมากระทำท่านให้เป็นคติให้เป็นที่พำนัก เชิญท่านช่วยให้
ชีวิตทานแก่บุตรของข้าพเจ้า บำเพ็ญประโยชน์แก่ข้าพเจ้าเถิด.

เต่าฟังคำนั้นแล้วกล่าวคาถาต่อไปว่า
บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมทำบุคคลให้เป็นมิตร สหาย
ด้วยทรัพย์ข้าวเปลือกและด้วยตน ดูก่อนเหยี่ยว
ข้าพเจ้าจะกระทำประโยชน์นี้แก่ท่านให้จงได้ เพราะ
อริยชนย่อมทำกิจแก่อริยชน.

ครั้งนั้น บุตรของเต่านอนอยู่ไม่ไกล ฟังคำบิดา คิดว่าบิดาของเรา
อย่าลำบากเลย เราจักกระทำกิจเอง กล่าวคาถาที่ 9 ว่า
คุณพ่อครับ ขอคุณพ่อจงมีความขวนขวายน้อย
อยู่เฉย ๆ เถิด บุตรย่อมบำเพ็ญสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพื่อ
บิดา ผมเองจักป้องกันลูกทั้งหลายของพญาเหยี่ยว จัก
บำเพ็ญประโยชน์เพื่อคุณพ่อ.

ครั้งนั้นบิดาได้กล่าวโต้ด้วยคาถาว่า
ลูกเอ๋ย บุตรพึงบำเพ็ญสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อ
บิดา นี่เป็นธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายโดยแท้แล พวก
พรานทั้งหลายแลเห็นพ่อผู้มีกายอันใหญ่โต ที่ไหน
เลยจะเบียดเบียนลูกทั้งหลายของพญาเหยี่ยวได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตเมส ธมฺโม ความว่า นี่เป็นธรรม
ของบัณฑิตทั้งหลาย. บทว่า ปุตฺตา น ความว่า พวกพรานชนบท ไม่พึง
เบียดเบียนพวกลูก ๆ ของเหยี่ยว.
เต่าใหญ่ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ส่งเหยี่ยวไปล่วงหน้า ด้วยคำว่า
เพื่อนเอ๋ย อย่ากลัว เจ้าจงไปก่อน ข้าจักไปเดี๋ยวนี้ พลางโดดลงน้ำ กวาด
เปือกตมและสาหร่ายมา ถึงเกาะแล้ว ก็ดับไฟเสียหมอบอยู่. พวกชาวป่า

พูดกันว่า พวกเราจะไปมัวต้องการลูกนกทำไม กลับมาฆ่าไอ้เต่าบอดตัวนี้เถิด
มันถึงจะพอแก่เราทุกคน พลางดึงเถาวัลย์เป็นสาย แก้ผ้านุ่งผูกไว้ ณ ที่นั้น ๆ
ก็ไม่อาจพลิกเต่าได้. เต่าเล่าก็พาพวกนั้นไปโดดลงน้ำตรงที่ลึก ๆ. พวกเหล่านั้น
ต่างตามไปด้วยเพราะอยากได้เต่า ต่างก็มีท้องเต็มไปด้วยน้ำ ลำบากไปตาม ๆ กัน
ครั้นผละได้แล้วพูดกันว่า พวกเราเหวย นกออกตัวหนึ่งคอยดับคบของเราเสีย
ตั้งครึ่งคืน คราวนี้โดนเต่านี้ให้ตกน้ำ ดื่นน้ำท้องกางไปตาม ๆ กัน ก่อไฟกัน
ใหม่เถอะ แม้อรุณจะขึ้นแล้ว ก็ต้องกินลูกเหยี่ยวเหล่านี้จงได้ แล้วเริ่มก่อไฟ.
แม่นกฟังคำของพวกนั้นกล่าวว่า นายเอ๋ย พวกเหล่านั้นจักต้องกินลูกของเรา
ให้ได้ในเวลาใดเวลาหนึ่ง แล้วจึงจะพากันไป เธอจงไปหาราชสีห์ที่เป็นสหาย
ของเราเถิด. เหยี่ยวนั้นไปถึงสำนักราชสีห์ทันทีทันใด เมื่อราชสีห์พูดว่า เป็น
อะไรเล่า จึงได้มาในเวลาอันไม่ควร ก็แจ้งเรื่องนั้นตั้งแต่ต้น แล้วกล่าวคาถาที่
11 ว่า
ข้าแต่ราชสีห์ที่ประเสริฐด้วยความแกล้วกล้า
สัตว์และมนุษย์เมื่อตกอยู่ในภัยแล้ว ย่อมเข้าไปหาผู้
ประเสริฐ พวกบุตรของข้าพเจ้าเดือดร้อน ข้าพเจ้าจึง
รีบมาหาท่านเพื่อขอให้ท่านเป็นที่พึ่งอาศัย ท่านเป็น
เจ้านายของข้าพเจ้า ขอท่านได้โปรดช่วยให้ข้าพเจ้า
ได้รับความสุขด้วยเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า ปสู เหยี่ยวนั้นกล่าวหมายเอาสัตว์
ดิรัจฉานทั้งหลาย ท่านกล่าวอธิบายคำนี้ว่า ดูก่อนนาย ในบรรดาหมู่มฤค
ท่านเป็นผู้ประเสริฐกว่าด้วยความเพียร ทั้งสัตว์ดิรัจฉานทั้งมนุษย์ ทั้งหมดใน
โลกยามประสบภัย ย่อมพากันเข้าหาท่านผู้ประเสริฐ ก็แลพวกบุตรของข้าพเจ้า

กำลังเดือดร้อน ข้าพเจ้านั้นจึงมาพึ่งพาท่าน ท่านเป็นราชาแห่งพวกข้าพเจ้า
ก็ขอจงเป็นเพื่อความสุขของข้าพเจ้าเถิด.
ราชสีห์ ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวคาถาว่า
ดูก่อนพญาเหยี่ยวผู้สหาย ฉันจะบำเพ็ญประ-
โยชน์นี้เพื่อท่านให้จงได้ เรามาด้วยกันเพื่อกำจัดหมู่
ศัตรูของท่านนั้นเสีย วิญญูชนรู้ว่าภัยเกิดขึ้นแก่มิตร
จะไม่พยายามเพื่อคุ้มครองมิตรอย่างไรได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ ทิสตํ ได้แก่ หมู่แห่งศัตรูนั้น
อธิบายว่า หมู่แห่งศัตรูของท่านนั้น. บทว่า ปหุ ความว่า สามารถเพื่อ
กำจัดหมู่อมิตร. บทว่า สมฺปชาโน ความว่า รู้อยู่ซึ่งความเกิดขึ้นแห่งภัย
ของมิตร. บทว่า อตฺตชนสฺส ได้แก่ ชนผู้เป็นมิตรผู้เสมอกับตน คือผู้เสมอ
กับอวัยวะ.
ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ราชสีห์ก็ส่งเหยี่ยวนั้นไปว่า เจ้าจงไป จง
คอยปลอบลูกไว้เถิด แล้วเดินลุยน้ำอันมีสีเหมือนแก้วมณีไป. พวกชาวป่าเห็น
ราชสีห์นั้นกำลังเดินมา พากันพูดว่า ครั้งแรกนกออกคอยดับไฟของพวกเราเสีย
เต่ามาทำพวกเรามิให้เหลือผ้านุ่ง คราวนี้ราชสีห์จักทำให้พวกเราถึงสิ้นชีวิต
ต่างกลัวตายเป็นกำลัง พากันวิ่งหนีกระเจิงไป. ราชสีห์มาถึงโคนกระทุ่มนั้น
ไม่เห็นใคร ๆ ที่โคนต้นไม้เลย. ครั้งนั้นนกออก เต่า และเหยี่ยว ก็พากัน
เข้าไปหากราบกรานราชสีห์นั้น. ราชสีห์นั้นก็กล่าวอานิสงส์แห่งมิตรแก่สัตว์
เหล่านั้นตักเตือนว่า ตั้งแต่นี้ไป เจ้าทั้งหลายจงอย่าทำลายมิตรธรรม ต่างไม่
ประมาทไว้เถิด แล้วก็หลีกไป. สัตว์แม้เหล่านั้น ก็พากันไปสู่ที่อยู่ของตน.
แม่เหยี่ยวมองดูลูกของตนแล้ว คิดว่า เพราะอาศัยหมู่มิตร เราจึงได้ลูก ๆ ไว้

ครั้นถึงสมัยที่นั่งกันอยู่อย่างสบาย เมื่อจะเจรจากับพ่อเหยี่ยว จึงกล่าวคาถา
6 คาถา มีชื่อว่าคาถาประกาศมิตรธรรมว่า
บุคคลพึงคบมิตรสหายและเจ้านายไว้ เพื่อได้รับ
ความสุข เรากำจัดศัตรูได้ด้วยกำลังแห่งมิตร เป็นผู้
พร้อมเพรียงด้วยบุตรทั้งหลาย บันเทิงอยู่เหมือนเกราะ
ที่บุคคลสวมแล้ว ป้องกันลูกศรทั้งหลายได้ ฉะนั้น.
ลูกน้อยทั้งหลายของเรา เปล่งเสียงอันจับใจ
ร้องรับเราผู้ร้องหาอยู่ ด้วยการกระทำของพญาเนื้อ
ผู้เป็นมิตรสหายของตนซึ่งมิได้หนีไป.
แน่ะเธอผู้ต้องการสิ่งที่น่าปรารถนา บัณฑิตได้
มิตรสหายแล้วย่อมปกปักรักษาบุตร ปศุสัตว์และทรัพย์
ไว้ได้ ฉัน บุตร เละสามีของฉันด้วย เป็นผู้พร้อม
เพรียงกัน เพราะความอนุเคราะห์ของมิตรทั้งหลาย
บุคคลผู้มีพระราชาและมีมิตรผู้กล้าหาญ สามารถจะ
บรรลุถึงประโยชน์ได้เพราะสหายเหล่านี้ ย่อมมีแก่ผู้
มิตรธรรมอันบริบูรณ์ บุคคลผู้มีมิตรสหายมียศ มีตน
อันสูงส่ง ย่อมบันเทิงใจอยู่ในโลกนี้ด้วย.
ข้าแต่พญาเหยี่ยว มิตรธรรมทั้งหลาย แม้ผู้ที่
ยากจนก็ควรทำ ดูซิท่าน เราพร้อมด้วยหมู่ญาติเป็นผู้
พร้อมเพรียงกัน ด้วยความอนุเคราะห์ของมิตร นก
ตัวใดผูกมิตรไว้กับผู้กล้าหาญมีกำลัง นกตัวนั้น ย่อมมี
ความสุขเหมือนฉันกับเธอ ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิตฺตญฺจ ได้แก่ มิตรของตนอย่างใด
อย่างหนึ่ง. บทว่า สุหทยญฺจ ความว่า จงกระทำการคบมิตรผู้มีใจดี ผู้มี
ตำแหน่งเป็นเจ้านายและมิตรอันสูงส่ง. พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า นิวตฺถโก-
โชว สเรภิหนฺตฺวา
นี้ ดังต่อไปนี้ ด้วยบทว่า โกโช ท่านกล่าวเกราะ
คือเกราะที่บุคคลสวมไว้แล้ว ย่อมกำจัด คือ ย่อมห้ามลูกศรทั้งหลายเสียได้ชื่อ
ฉันใด แม้เราทั้งหลายก็ฉันนั้น ย่อมกำจัดข้าศึกทั้งหลายด้วยกำลังแห่งมิตร บันเทิง
กับบุตรทั้งหลาย. บทว่า สกมิตฺตสฺส กมฺเมน ความว่า เพราะความบากบั่น
แห่งมิตรของตน. บทว่า สหายสฺสาปลายิโน ได้แก่ พญาเนื้อผู้เป็นสหาย
ไม่หนีหน้า. บทว่า โลมหํสา ความว่า ปักษีทั้งหลายเป็นลูกน้อยของเรา
จึงเปล่งเสียงขันขานจับใจไพเราะกะเราผู้ขันเรียกอยู่ได้. บทว่า สมงฺคิภูตา
คือตั้งอยู่ในฐานะเดียวกัน. บทว่า ราชวตา สุรวตา จ อตฺโถ ความว่า
บุคคลผู้สามารถจะบรรลุประโยชน์ได้ ด้วยคุณเครื่องความเป็นพระราชา เช่น
อย่างราชสีห์ และคุณเครื่องความเป็นผู้แกล้วกล้า เช่นนกออกและเต่า
ซึ่งเป็นมิตรที่กล้าหาญ. บทว่า ภวนฺติ เหเต ความว่า และคุณเครื่อง
ความเป็นผู้กล้าหาญเป็นต้นเหล่านี้ ย่อมชักนำให้เป็นสหายของผู้ที่มีเนื้อฝูง
สมบูรณ์ คือมีมิตรธรรมสมบูรณ์. บทว่า อุคฺคตตฺโต ได้แก่ ความเป็นผู้
มีมิตรมียศเฟื่องฟู ด้วยสิริเสาวภาคย์. บทว่า อิมสฺมิญฺจ โลเก ความว่า
ย่อมบันเทิงในโลกนี้ กล่าวคืออิธโลก. นางร้องเรียกสามีว่า กามกามิ ผู้ใคร่
ในกาม จริงอยู่ สามีนั้นใคร่ในกาม ชื่อว่า กามกามิ. บทว่า สมคฺคมฺหา
ความว่า เราเกิดเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน. บทว่า สญาตเก ความว่า พร้อม
กับญาติและบุตรทั้งหลาย.

นางเหยี่ยวแสดงคุณของมิตรธรรมด้วยคาถาทั้ง 6 ด้วยประการฉะนี้.
แม้สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ก็คงเป็นสหายกัน ไม่ทำลายมิตรธรรม ดำรงอยู่
ตลอดอายุแล้ว ต่างไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น ที่อุบาสกนี้อาศัยภรรยามีความสุข แม้ในกาลก่อน
ก็มีความสุขเพราะอาศัยภรรยาแล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
พ่อเหยี่ยวแม่เหยี่ยวในครั้งนั้น ได้มาเป็นคู่สามีภรรยา ลูกเต่าได้มาเป็น
ราหุล พ่อเต่าได้มาเป็นมหาโมคคัลลานะ นกออกได้มาเป็นสารีบุตร
ส่วนราชสีห์คือเราตถาคตแล.
จบอรรถกถามหาอุกกุสชาดก

4. อุททาลกชาดก



ว่าด้วยจรณธรรม


[1907] ชฎิลเหล่าใดครองหนังเสือพร้อมทั้งเล็บ
ฟันเขลอะ รูปร่างเลอะเทอะ ร่ายมนต์อยู่ ชฎิลเหล่านั้น
เป็นผู้รู้การประพฤติตบะ และการสาธยายมนต์นี้ ใน
ความเพียรที่มนุษย์จะพึงทำกัน จะพ้นจากอบายได้ละ
หรือ.

[1908] ข้าแต่พระราชา ถ้าบุคคลเป็นพหูสูต
ไม่ประพฤติธรรม ก็จะพึงกระทำกรรมอันลามก
ทั้งหลายได้ แม้จะมีเวทตั้งพันอาศัยแต่ความเป็นพหูสูต
ยังไม่บรรลุจรณธรรม จะพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้เลย.

[1909] แม้บุคคลผู้มีเวทตั้งพัน อาศัยแต่ความ
เป็นพหูสูตนั้น ยังไม่บรรลุจรณธรรมแล้ว จะพ้นจาก
ทุกข์ไปไม่ได้ อาตมภาพย่อมสำคัญว่าเวททั้งหลายก็
ย่อมไม่มีผล จรณธรรมอันมีความสำรวมเท่านั้นเป็น
ความจริง.

[1910] เวททั้งหลายจะไม่มีผลก็หามิได้ จรณ-
ธรรมอันมีความสำรวมนั่นแลเป็นความจริง แต่บุคคล
เรียนเวททั้งหลายแล้ว ย่อมได้รับเกียรติคุณ ท่านผู้
ฝึกฝนตนด้วยจรณธรรมแล้วย่อมบรรลุถึงสันติ.