เมนู

อรรถกถาจันทกินนรชาดก


พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยกรุงกบิลพัสดุ์ ประทับอยู่ ณ นิโครธาราม
ทรงพระปรารภพระมารดาของพระราหุล ตรัสเรื่องนี้ในพระราชนิเวศน์
มีคำเริ่มต้นว่า อุปนียติทํ มญฺเญ ดังนี้.
ที่จริงชาดกนี้ควรจะกล่าวตั้งแต่ทูเรนิทาน. ก็แต่นิทานกถานี้นั้น จน
ถึงพระอุรุเวลกัสสปบันลือสีหนาทในลัฏฐิวัน กล่าวไว้ในอปัณณกชาดก. ต่อ
จากนั้นจนถึงเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ จักแจ้งในเวสสันดรชาดก.
ก็แลพระศาสดาประทับนั่งในพระนิเวศน์ของพุทธบิดา ในเวลากำลัง
เสวย ตรัสมหาธัมมปาลชาดก เสวยเสร็จทรงดำริว่า เราจักนั่งในนิเวศน์ของ
มารดาราหุล กล่าวถึงคุณของเธอ แสดงจันทกินนรชาดก ให้พระราชาทรง
ถือบาตรเสด็จไปที่ประทับแห่งพระมารดาของพระราหุล กับพระอัครสาวก
ทั้งสอง. ครั้งนั้นนางระบำ 40,000 ของพระนาง พากันอยู่พร้อมหน้า. บรรดา
นางทั้งนั้นที่เป็นขัตติยกัญญาถึง 1,090 นาง. พระนางทรงทราบว่าพระตถาคต
เสด็จมา ตรัสบอกแก่นางเหล่านั้นว่า จงพากันนุ่งผ้าย้อมน้ำฝาดทั่วกันทีเดียว.
นางเหล่านั้นพากันกระทำอย่างนั้น พระศาสดาเสด็จมาประทับนั่งเหนือพระแท่น
ทีเตรียมไว้. ครั้งนั้นพวกนางเหล่านั้นทั้งหมด ก็พากันร้องไห้ประดังขึ้นเป็น
เสียงเดียวกันอื้ออึงไป. เสียงร่ำไห้ขนาดหนักได้มีแล้ว ฝ่ายพระมารดาของ
พระราหุลเล่า ก็ทรงกันแสง ครั้นทรงบรรเทาความโศกได้ ก็ถวายบังคม
พระศาสดา ประทับนั่งด้วยความนับถือมาก เป็นไปกับความเคารพอันมีใน
พระราชา. ครั้งนั้น พระราชาทรงพระปรารภคุณกถาของพระนาง ได้ตรัสเล่า
พรรณนาคุณของพระนางด้วยประการต่าง ๆ เช่น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สะใภ้

ของโยม ฟังว่าพระองค์ทรงนุ่งกาสาวพัสตร์ ก็นุ่งกาสาวพัสตร์เหมือนกัน ฟังว่า
พระองค์เลิกทรงมาลาเป็นต้น ก็เลิกทรงมาลาเป็นต้น ฟังว่าทรงเลิกบรรทมเหนือ
พระยี่ภอันสูงอันใหญ่ ก็บรรทมเหนือพื้นเหมือนกัน ในระยะกาลที่พระองค์ทรง
ผนวชแล้ว นางยอมเป็นหญิงหม้าย มิได้รับบรรณาการที่พระราชาอื่น ๆ ส่งมา
ให้เลย นางมีจิตมิได้เปลี่ยนแปลงในพระองค์ถึงเพียงนี้. พระศาสดาตรัสว่า
มหาบพิตร ไม่น่าอัศจรรย์เลย ที่นางมีความรักไม่เปลี่ยนแปลงในอาตมภาพ
อย่างไม่ใยดีในผู้อื่นเลย ในอัตภาพสุดท้ายของอาตมภาพครั้งนี้ แม้บังเกิดใน
กำเนิดดิรัจฉาน ก็ยังได้มีจิตไม่เปลี่ยนแปลงในอาตมภาพอย่างไม่ไยดีในผู้อื่น
เลย แล้วทรงรับอาราธนานำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ในพระนคร
พาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดกินนร ในหิมวันตประเทศ. ภรรยา
ของเธอนามว่า จันทา ทั้งคู่เล่าก็อยู่ที่ภูเขาเงินชื่อว่า จันทบรรพต ครั้งนั้น
พระเจ้าพาราณสีมอบราชสมบัติแก่หมู่อำมาตย์ ทรงผ้าย้อมฝาดสองผืน ทรง
สอดพระเบญจาวุธ เข้าสู่ป่าหิมพานต์ลำพังพระองค์เดียวเท่านั้น. ท้าวเธอเสวย
เนื้อที่ทรงล่าได้เป็นกระยาหาร เสด็จท่องเที่ยวไปถึงลำน้ำน้อย ๆ สายหนึ่ง
โดยลำดับ ก็เสด็จขึ้นไปถึงต้นสาย ฝูงกินนรที่อยู่ ณ จันทบรรพต เวลาฤดูฝน
ก็ไม่ลงมา พากันอยู่ที่ภูเขานั่นแหละ ถึงฤดูแล้งจึงพากันลงมา. ครั้งนั้น
จันทกินนรลงมากับภรรยาของตน เที่ยวเก็บเล็มของหอมในที่นั้น ๆ กินเกษร
ดอกไม้ นุ่งห่มด้วยสาหร่ายดอกไม้ เหนี่ยวเถาชิงช้าเป็นต้น เล่นพลางขับร้อง
ไปพลาง ด้วยเสียงจะแจ้วเจื้อยจนถึงลำน้ำน้อยสายนั้น หยุดลงตรงที่เป็นคุ้ง
แห่งหนึ่ง โปรยปรายดอกไม้ลงในน้ำ ลงเล่นน้ำแล้วนุ่งห่มสาหร่ายดอกไม้ จัด
แจงแต่งที่นอนด้วยดอกไม้ เหนือหาดทรายซึ่งมีสีเพียงแผ่นเงิน ถือขลุ่ยเลาหนึ่ง

นั่งเหนือที่นอน. ต่อจากนั้น จันทกินนรก็เป่าขลุ่ยขับร้องด้วยเสียงอันหวานฉ่ำ
จันทกินรีก็ฟ้อนหัตถ์อันอ่อนยืนอยู่ในที่ใกล้สามีฟ้อนไปบ้าง ขับร้องไปบ้าง.
พระราชานั้นทรงสดับเสียงของกินนรกินรีนั้น ก็ทรงย่องเข้าไปค่อย ๆ ยืน
แอบในที่กำบัง ทรงทอดพระเนตรกินนรเหล่านั้น ก็ทรงมีจิตปฏิพัทธ์ในกินรี
ทรงดำริว่า จักยิงกินนรนั้นเสียให้ถึงสิ้นชีวิต ถึงสำเร็จการอยู่ร่วมกินรีนี้
แล้วทรงยิงจันทกินนร. เธอเจ็บปวดรำพันกล่าวคาถา 4 คาถาว่า
ดูก่อนนางจันทา ชีวิตของพี่ใกล้จะขาดอยู่แล้ว
พี่กำลังเมาเลือด จันทาเอ๋ย พี่เห็นจะละชีวิตไปแม้ใน
วันนี้ ลมปราณของพี่กำลังจะดับ ชีวิตของพี่กำลัง
จะจม ความทุกข์กำลังเผาผลาญหัวใจพี่ พี่ลำบากยิ่งนัก
ความโศกของพี่ครั้งนี้ เป็นความโศกยิ่งใหญ่กว่าความ
โศกเหล่าอื่น เพราะเหตุแห่งเจ้าจันทาผู้จะเศร้าโศกถึง
พี่โดยแท้ พี่จะเหี่ยวแห้ง เหมือนต้นหญ้าที่ถูกทิ้งไว้
บนแผ่นหินร้อน เหมือนต้นไม้มีรากอันขาด พี่จะ
เหือดหายเหมือนแม่น้ำที่ขาดห้วง ความโศกของพี่ครั้ง
นี่เป็นความโศกยิ่งใหญ่ว่าความโศกเหล่าอื่น เพราะ
เหตุแห่งเจ้าจันทาผู้จะเศร้าโศกถึงพี่โดยแท้ น้ำตาของ
พี่ไหลออกเรื่อย ๆ เหมือนน้ำฝนที่ตกลงที่เชิงบรรพต
ไหลไปไม่ขาดสายฉะนั้น ความโศกของพี่ครั้งนี้
เป็นความโศกยิ่งใหญ่กว่าความโศกเหล่าอื่น เพราะ
เหตุแห่งเจ้าจันทาผู้จะเศร้าโศกถึงพี่โดยแท้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปนียติ ความว่า ชีวิตของพี่ใกล้จะขาด
อยู่แล้ว. บทว่า อิทํ ได้แก่ ชีวิต. บทว่า ปาณา ความว่า ดูก่อนจันทา
ลมปราณคือชีวิตของพี่ย่อมจะดับ. บทว่า โอสธิ เม ความว่า ชีวิตของพี่
ย่อมจะจมลง. บทว่า นิตมานิ แปลว่า พี่ย่อมลำบากอย่างยิ่ง. บทว่า ตว
จนฺทิยา
ความว่า นี้เป็นความทุกข์ของพี่. บทว่า น นํ อญฺเญหิ โสเกหิ
ความว่า โดยที่แท้นี้เป็นเหตุแห่งความโศกของเธอผู้ชื่อว่าจันทีเมื่อกำลังเศร้าโศก
อยู่ เพราะเหตุที่เธอเศร้าโศก็เพราะความพลัดพรากของเรา. ด้วยบทว่า ติณมิว
มิลายามิ
เธอกล่าวว่า ข้าจะเหี่ยวเฉา เหมือนต้นหญ้าที่ถูกทอดทิ้งบนแผ่นหิน
อันร้อน เหมือนป่าไม้ที่ถูกตัดรากฉะนั้น . บทว่า สเร ปาเท ความว่า
เหมือนสายฝนที่ตกบนเชิงเขาไหลซ่านไปไม่ขาดสายฉะนั้น.
พระมหาสัตว์คร่ำครวญด้วยคาถาสี่เหล่านี้ นอนเหนือที่นอนดอกไม้
นั่นเอง ชักดิ้นสิ้นสติ. ฝ่ายพระราชายังคงยืนอยู่. จันทากินรีเมื่อพระมหาสัตว์
รำพัน กำลังเพลิดเพลินเสียด้วยความรื่นเริงของตน มิได้รู้ว่าเธอถูกยิง แต่
ครั้นเห็นเธอไร้สัญญานอนดิ้นไป ก็ใคร่ครวญว่า ทุกข์ของสามีเราเป็นอย่างไร
หนอ พอเห็นเลือดไหลออกจากปากแผล ก็ไม่อาจสะกดกลั้นความโศกอัน
มีกำลังที่เกิดขึ้นในสามีที่รักไว้ได้ ร่ำไห้ด้วยเสียงดัง. พระราชาทรงดำริว่า
กินนรคงตายแล้ว ปรากฏพระองค์ออกมา. จันทาเห็นท้าวเธอหวั่นใจว่าโจร
ผู้นี้คงยิงสามีที่รักของเรา จึงหนีไปอยู่บนยอดเขา พลางบริภาษพระราชา ได้
กล่าวคาถา 5 คาถา ดังนี้
พระราชบุตรใด ยิงสามีผู้เป็นที่ปรารถนาของเรา
เพื่อให้เป็นหม้ายที่ชายป่า พระราชบุตรนั้นเป็นคน
เลวทรามแท้ สามีของเรานั้นถูกยิงแล้วนอนอยู่ที่พื้นดิน

พระราชบุตรเอ๋ย มารดาของท่านจงได้รับสนองความ
โศกในดวงหทัยของข้าผู้เพ่งมองดูกินนรผู้สามีนี้ ชายา
ของท่านจงได้รับสนองความโศกในดวงหทัยของข้าผู้
เพ่งมองดูกินนรผู้สามีนี้ พระราชบุตรเอ๋ย ท่านได้ฆ่า
กินนรผู้ไม่ประทุษร้าย เพราะความรักใคร่ในเรา ขอ
มารดาของท่านอย่าได้พบเห็นบุตรและสามีเลย ท่าน
ได้ฆ่ากินนรีผู้ไม่ประทุษร้าย เพราะความรักใคร่ในเรา
ขอชายาของท่านจงอย่าได้พบเห็นบุตรและสามีเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วรากิยา แปลว่า ผู้กำพร้า. บทว่า
ปฏิมุจฺจตุ ได้แก่ จงกลับได้ คือถูกต้องบรรลุ. บทว่า มยฺหํ กามาหิ
ได้แก่ เพราะความรักใคร่ในฉัน.
พระราชาเมื่อจะตรัสปลอบนางผู้ยืนร่ำไห้เหนือยอดภูเขาด้วย 5 คาถา
จึงตรัสคาถาว่า
ดูก่อนนางจันทา ผู้มีนัยน์ตาเบิกบานดังดอกไม้
ในป่า เธออย่าร้องไห้ไปเลย เธอจักได้เป็นอัครมเหสี
ของฉันมีเหล่านารีในราชสกุลบูชา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จนฺเท ความว่า เพราะได้สดับชื่อของ
พระโพธิสัตว์เวลาคร่ำครวญ จึงได้ตรัสอย่างนั้น. บทว่า วนติมิรมตฺตกฺขิ
แปลว่า ผู้มีนัยน์ตาเสมอด้วยดอกไม้ที่มืดมัวในป่า. บทว่า ปูชิตา ความว่า
เธอจะได้เป็นอัครมเหสีผู้เป็นหัวหน้าของบรรดาหญิง 16,000 คน.
นางจันทากินรี ฟังคำของท้าวเธอแล้วกล่าวว่า ท่านพูดอะไร เมื่อจะ
บันลือสีหนาทจึงกล่าวคาถาต่อไปว่า

ถึงแม้ว่าเราจักต้องตาย แต่เราจักไม่ขอยอมเป็น
ของท่าน ผู้ฆ่ากินนรสามีของเรา ผู้มิได้ประทุษร้าย
เพราะความรักใคร่ในเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปิ นูนาหํ ความว่า ถึงแม้เราจักต้อง
ตายอย่างแน่นอนทีเดียว.
ท้าวเธอฟังคำของนางแล้วหมดความรักใคร่ ตรัสคาถาต่อไปว่า
แน่ะนางกินรีผู้ขี้ขลาด มีความรักใคร่ต่อชีวิต
เจ้าจงไปสู่ป่าหิมพานต์เถิด มฤคอื่น ๆ ที่บริโภคกฤษ-
ณาและกระลำพัก จักยังรักใคร่ยินดีต่อเจ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปิ ภีรุเก แปลว่า ผู้มีชาติขลาดเป็น
อย่างยิ่ง. บทว่า ตาลิสตคฺครโภชนา ความว่า มฤคอื่น ๆ ที่บริโภคใบ
กฤษณาและใบกระลำพัก จักยังรักษาความยินดีต่อเจ้า. ท้าวเธอได้กล่าวกะนาง
ว่า เธอจงอย่าไปจากความลับในราชตระกูล.
ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้วก็เสด็จหลีกไปอย่างหมดเยื่อใย นางทราบว่า
ท้าวเธอไปแล้วก็ลงมากอดพระมหาสัตว์ อุ้มขึ้นสู่ยอดภูเขา ให้นอนเหนือยอด
ภูเขา ยกศีรษะวางไว้เหนือขาของตน พลางพร่ำไห้เป็นกำลัง จึงกล่าว
คาถา 12 คาถาว่า
ข้าแต่กินนร ภูเขาเหล่านั้น ซอกเขาเหล่านั้น
และถ้ำเหล่านั้นตั้งอยู่ ณ ที่นั้น ฉันไม่เห็นท่านในที่
นั้น ๆ จะกระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็น
ท่านที่เทือกเขา ซึ่งเราเคยร่วมอภิรมย์กัน จะกระทำ
อย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่แผ่นผาอัน

ลาดด้วยใบไม้เป็นที่น่ารื่นรมย์ พวกมฤคร้ายกล้ำ-
กลาย จะทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่าน
ที่แผ่นผาอันลาดด้วยดอกไม้ เป็นที่น่ารื่นรมย์ พวก
มฤคร้ายกล้ำกลาย จะทำอย่างไร ข้าแต่กินนร
เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ลำธารอันมีน้ำใสไหลอยู่เรื่อย ๆ มี
กระแสเกลื่อนกล่นไปด้วยดอกโกสุม จะกระทำอย่างไร
ข้าแต่กินนรเมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันมี
สีเขียว น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร
เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์มีสีเหลืองอร่าม
น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉัน
ไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันมีสีแดง น่าดูน่าชม
จะกระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่
ยอดเขาหิมพานต์อันสูงตระหง่าน น่าดูน่าชม จะ
กระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่
ยอดเขาหิมพานต์อันมีสีขาว น่าดูน่าชม จะกระทำ
อย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขา
หิมพานต์อันงามวิจิตร น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร
ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่เขาคันธมาทน์ อัน
ดารดาษไปด้วยยาต่าง ๆ เป็นถิ่นที่อยู่ของหมู่เทพเจ้า
จะกระทำอย่างไร ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่
ภูเขาคันธมาทน์ อันดารดาษไปด้วยโอสถทั้งหลาย
จะกระทำอย่างไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เต ปพฺพตา ความว่า ภูเขาเหล่านั้น
ซอกเขาเหล่านั้น และถ้ำเขาเหล่านั้น ที่เราเคยขึ้นร่วมอภิรมย์ ตั้งอยู่ ณ
ที่นั้นนั่นแล บัดนี้ เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่เทือกเขานั้น เราจะทำอย่างไรเล่าเมื่อ
ฉันไม่เห็นท่านที่แผ่นผาลาดอันงดงามไปด้วยใบไม้ดอกและผลเป็นต้น ร่ำไรอยู่
ว่าเราจะอดกลั้นได้อย่างไร. บทว่า ปณฺณสณฺฐตา ความว่า ดารดาษด้วย
กลิ่นและใบ ของใบกฤษณาเป็นต้น. บทว่า อจฺฉา ได้แก่ มีน้ำใสสะอาด.
บทว่า นีลานิ ได้แก่ สำเร็จด้วยแก้วมณี. บทว่า ปีตานิ ได้แก่ สำเร็จ
ด้วยทองคำ. บทว่า ตมฺพานิ ได้แก่ สำเร็จด้วยมโนศิลา. บทว่า ตุงฺคานิ
ความว่า มีปลายคมสูง. บทว่า เสตานิ ได้แก่ สำเร็จด้วยเงิน. บทว่า จตฺรานิ
ได้แก่ เจือด้วยรัตนะ 7 ประการ. บทว่า ยกฺขคณเสวิเต ความว่า อัน
ภุมเทวดาเสพแล้ว.
นางร่ำไห้ด้วยคาถาสิบสองบทด้วยประการฉะนี้แล้ว วางมือลงตรงอุระ
พระมหาสัตว์ รู้ว่ายังอุ่นอยู่ ก็คิดว่า พี่จันท์ ยังมีชีวิตเป็นแน่ เราต้องกระทำการ
เพ่งโทษเทวดา ให้ชีวิตของเธอคืนมาเถิด. แล้วได้กระทำการเพ่งโทษเทวดาว่า
เทพเจ้าที่ได้นามว่าท้าวโลกบาลน่ะ ไม่มีเสียหรือไรเล่า หรือหลบไปเสียหมดแล้ว
หรือตายหมดแล้ว ช่างไม่ดูแลผัวรักของข้าเสียเลย. ด้วยแรงโศกของนาง พิภพ
ท้าวสักกะเกิดร้อน. ท้าวสักกะทรงดำริทราบเหตุนั้น แปลงเป็นพราหมณ์ถือ
กุณฑีน้ำมาหลงรดพระมหาสัตว์. ทันใดนั้นเองพิษก็หายสิ้น. แผลก็เต็ม แม้แต่
รอยที่ว่าถูกยิงตรงนี้ก็มิได้ปรากฏ. พระมหาสัตว์สบายลุกขึ้นได้ จันทาเห็น
สามีที่รักหายโรค แสนจะดีใจ ไหว้แทบเท้าของท้าวสักกะ กล่าวคาถาเป็น
ลำดับว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ผู้เป็นเจ้า ฉันขอไหว้เท้า
ทั้งสองของท่านผู้มีความเห็นดู มารดสามีผู้ที่ดิฉัน

ซึ่งเป็นกำพร้าปรารถนายิ่งนักด้วยน้ำอมฤต ดิฉันได้
ชื่อว่าเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยสามีผู้เป็นที่รักยิ่งแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมเตน ความว่า นางจันทากินรี
สำคัญว่า เป็นน้ำอมฤตจึงกล่าวอย่างนั้น. บทว่า ปิยตเมน แปลว่า น่ารักกว่า
บาลีก็อย่างนั้นเหมือนกัน.
ท้าวสักกะได้ประทานโอวาทแก่กินนรทั้งคู่นั้นว่า ตั้งแต่บัดนี้เธอทั้งสอง
อย่าลงจากจันทบรรพตไปสู่ถิ่นมนุษย์เลย จงพากันอยู่ที่นี้เท่านั้นนะ ครั้นแล้ว
ก็เสด็จไปสู่สถานที่ของท้าวเธอ.
ฝ่ายจันทากินรีก็กล่าวว่า พี่เจ้าเอ๋ย เราจะต้องการอะไร ด้วยสถานที่
อันมีภัยรอบด้านนี้เล่า มาเถิดค่ะ เราพากันไปสู่จันทบรรพตเลยเถิดคะ แล้ว
กล่าวคาถาสุดท้ายว่า
บัดนี้ เราทั้งสองจักเที่ยวไปสู่ลำธารอันมีกระแส
สินธุ์อันเกลื่อนกล่นด้วยดอกโกสุม ดารดาษไปด้วย
บุบผชาติต่าง ๆ เราทั้งสองจะกล่าววาจาเป็นที่รักแก่
กันและกัน.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนนางก็ไม่ได้เอาใจออกห่างเรา
มิใช่หญิงที่ผู้อื่นจะนำไปได้เหมือนกัน ทรงประชุมชาดกว่า พระราชาใน
ครั้งนั้นได้มาเป็นเทวทัต ท้าวสักกะได้มาเป็นอนุรุทธะ จันทากินรี ได้
มาเป็นมารดาเจ้าราหุล ส่วนจันทกินนรได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาจันทกินนรชาดก

3. มหาอุกกุสชาดก



ว่าด้วยสัตว์ 4 สหาย


[1891] พวกพรานชาวชนบท พากันมัดคบเพลิง
อยู่บนเกาะ ปรารถนาจะกินลูกน้อยของเรา ข้าแต่
พญาเหยี่ยว ท่านจงบอกมิตรและสหาย จงแจ้งความ
พินาศแห่งหมู่ญาติของเรา.

[1892] ข้าแต่พญานกออก ท่านเป็นนกที่
ประเสริฐกว่านกทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยึดท่านเป็นที่พึ่ง
พวกพรานชาวชนบทปรารถนาจะกินลูกน้อยของ
ข้าพเจ้า ขอท่านจงช่วยให้ข้าพเจ้าได้รับความสุขเถิด.

[1893] บัณฑิตทั้งหลาย ผู้แสวงหาความสุข
ทั้งในกาลและมิใช่กาล ย่อมทำบุคคลให้เป็นมิตรสหาย
ดูก่อนเหยี่ยว ฉันจะกระทำประโยชน์อันนี้แก่ท่านจงได้
ที่จริง อริยชนย่อมกระทำกิจให้แก่อริยชน.

[1894] กิจอันใด ที่อริยชนผู้มีความอนุเคราะห์
จะพึงกระทำแก่อริยชน กิจอันนั้น ชื่อว่า อันท่าน
กระทำแล้ว ขอท่านจงรักษาตัวเถิด อย่ารีบร้อนไป
นักเลย เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่เราก็จะได้ลูกคืนมาเป็นแน่.

[1895] ฉันกระทำการรักษาป้องกันนั้น แม้ถึง
ตัวจะตายก็มิได้สะดุ้งเลย แท้จริงสหายทั้งหลายผู้ยอม