เมนู

อรรถกถาปกิณณกนิบาตชาดก


สาลิเกทารชาดก


พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระมหาวิหารเชตวัน ทรง
ปรารภภิกษุผู้เลี้ยงโยมหญิง ตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า สมฺปนฺนํ สาลิเกทารํ
ดังนี้. ต้องเรื่องจักมีแจ้งในสามชาดก1.
ก็พระศาสดาตรัสให้หาภิกษุนั้น ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ข่าวว่าเธอ
เลี้ยงคฤหัสถ์จริงหรือ เมื่อเธอกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นความจริง
พระเจ้าข้า ตรัสถามว่า คฤหัสถ์เหล่านั้นเป็นอะไรของเธอ ครั้นเธอกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นโยมหญิงโยมชายของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า ตรัสว่า
ดีจริง ภิกษุ ถึงเหล่าบัณฑิตแต่ก่อน เป็นสัตว์ดิรัจฉานบังเกิดในกำเนิดสกุณา
ก็ยังให้พ่อแม่ผู้แก่แล้วนอนในรัง หาอาหารมาด้วยจะงอยปาก เลี้ยงดูได้
ทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้ามคธราช ครองราชสมบัติในพระนคร
ราชคฤห์. ครั้งนั้น ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจากพระนคร มีบ้านพวก
พราหมณ์ ชื่อว่า สาลินทิยะ. ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านนั้น เป็น
ไร่ของชาวมคธ. ในที่นั้น พราหมณ์ โกสิยโคตรชาวสาลินทิยะ จับจองไร่ไว้
ประมาณ 1,000 กรีส หว่านข้าวสาลีไว้. ครั้นข้าวกล้างอกขึ้นแล้ว ให้คน
ทำรั้วอย่างแข็งแรง แบ่งให้บริษัทของตนนั้นแล ดูแลรักษา บางคนประมาณ
50 กรีส บางคน 60 กรีส จนครบพื้นที่ไร่ประมาณ 500 กรีส ที่เหลือ
500 กรีส กั้นรั้วให้ลูกจ้างคนหนึ่ง. ลูกจ้างปลูกกระท่อมลงตรงนั้น อยู่ประจำ
ดูพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดกแปลเล่มที่ 4 ภาคที่ 2 หน้า 155

ทั้งกลางคืนและกลางวัน. ก็ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของไร่ มีป่างิ้วใหญ่
อยู่ที่ภูเขาอันมียอดเป็นที่ราบลูกหนึ่ง. ฝูงนกแขกเต้าหลายร้อยพากันอาศัยอยู่ใน
ป่างิ้วนั้น. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นลูกของพญานกแขกเต้า ใน
ฝูงนกแขกเต้านั้น เมื่อเติบโตแล้ว มีรูปงาม สมบูรณ์ด้วยกำลัง ร่างกายใหญ่
ขนาดดุมเกวียน. ครั้นถึงเวลาบิดาแก่ บิดาของท่านได้มอบความเป็นพญาให้
ด้วยคำว่า บัดนี้ฉันไม่สามารถจะบินไปไกล ๆ ได้ เจ้าจงปกครองฝูงนกนี้เถิด.
ตั้งแต่วันรุ่งขึ้น ท่านก็ไม่ยอมให้บิดามารดาไปหากิน เมื่อได้ปกครองฝูงนก
แขกเต้าก็ไปสู่ป่าหิมพานต์ จิกกินข้าวสาลีในป่า ข้าวสาลีที่เกิดเองจนอิ่ม เวลา
กลับก็คาบอาหารที่เพียงพอแก่มารดาบิดามาเลี้ยงมารดาบิดา. อยู่มาวันหนึ่ง
นกแขกเต้าพากันบอกว่า ครั้งก่อนในระยะกาลนี้ คนเคยหว่านข้าวสาลีในไร่
แคว้นมคธ บัดนี้จะยังกระทำอยู่หรืออย่างไรไม่ทราบ. พญาแขกเต้าใช้นก
แขกเต้าสองตัวไปว่า ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงสืบดู. นกแขกเต้าทั้งสองบินไป เมื่อจะ
ร่อนลงในมคธเขต ไปร่อนลงในไร่ที่ลูกจ้างนั้นเฝ้า จิกกินข้าวสาลี แล้วคาบ
รวงข้าวสาลีรวงหนึ่ง บินกลับมาสู่ป่างิ้ว วางรวงข้าวสาลีไว้แทบเท้าของมหาสัตว์
กล่าวว่า ในที่นั้นมีข้าวสาลีเช่นนี้. วันรุ่งขึ้นพญาแขกเต้าแวดล้อมด้วยฝูงนก
แขกเต้า บินไปในที่นั้นร่อนลงในไร่ของลูกจ้างนั้น. ฝ่ายบุรุษนั้นเห็นนก
แขกเต้าทั้งหลายพากันจิกกินข้าวสาลี แม้จะวิ่งกลับไปกลับมาห้ามอยู่ ก็สุดที่จะ
ห้ามได้. นกแขกเต้าที่เหลือพากันจิกกินข้าวสาลีพออิ่ม ต่างก็บินไปปากเปล่ากัน
ทั้งนั้น. แต่พญาแขกเต้ารวบรวมข้าวสาลีเป็นอันเดียวกัน คาบด้วยจะงอยปาก
บินออกหน้ามาให้แก่มารดาบิดา. ฝูงนกแขกเต้าตั้งแต่วันรุ่งขึ้น ก็พากันจิกกิน
ข้าวสาลีในที่นั้นแห่งเดียว ครั้นบุรุษนั้นเห็นฝูงนกแขกเต้ากำลังลงจิกกินข้าว
สาลี ก็วิ่งกลับไปกลับมาห้ามปราม แต่ก็มิอาจที่จะห้ามได้จึงคิดว่า ถ้านก

แขกเต้าเหล่านี้พากันลงกินอย่างนี้ สักสองสามวันเท่านั้น จักต้องไม่มีข้าวสาลี
เหลือสักน้อย พราหมณ์ต้องตีราคากระทำให้เราต้องชดใช้ก็ได้ เราต้องไปบอก
แกเสีย. เขาถือเอาบรรณาการตามมีตามได้ กับฟ่อนข้าวสาลีไปสู่สาลินทิยคาม
พบพราหมณ์แล้วให้บรรณาการ ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ถูกถามว่า
เป็นอย่างไร พ่อเอ๋ย ไร่ข้าวสาลีสมบูรณ์ดีหรือ ตอบว่า ครับ ท่านพราหมณ์
สมบูรณ์ แล้วได้กล่าวคาถา 2 ว่า
ข้าแต่ท่านโกสิยะ นาข้าวสาลีบริบูรณ์ดี แต่นก
แขกเต้าทั้งหลายพากันมากินเสีย ข้าพเจ้าขอคืนนานั้น
ให้แก่ท่าน เพราะข้าพเจ้าไม่อาจจะห้ามนกแขกเต้า
เหล่านั้นได้ ก็ในนกแขกเต้าเหล่านั้น มีนกแขกเต้า
ตัวหนึ่งงามกว่าทุก ๆ ตัว กินข้าวสาลีตามต้องการแล้ว
ยังคาบเอาไปด้วยจะงอยปากอีก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺปนฺนํ ความว่า สมบูรณ์ คือ ไม่
บกพร่องเลย. บทว่า สาลิเกทารํ ได้แก่ นาแห่งข้าวสาลี. บทว่า สพฺพสุนฺ-
ทโร
ความว่า นกแขกเต้าตัวนั้นงามด้วยส่วนทุกส่วน จะงอยปากแดง นัยน์ตา
มีประกายเหมือนผลกระพังโหม มีเท้าแดง มีสร้อยคอสีแดง คาดรอบคอ
สามชั้น โตเท่านกยูงขนาดใหญ่ กินข้าวสาลีจนอิ่มแล้ว ยังคาบเอาสิ่งอื่นเอา
ไปด้วยจะงอยปากอีกเล่า.
พราหมณ์ฟังถ้อยความของคนเฝ้าไร่นั้น เกิดความรักในพญานกแขก
เต้าขึ้น ถามคนเฝ้าไร่ว่า พ่อเอ๋ย แกรู้จักดักแร้วไหม. ตอบว่า รู้ครับ. พราหมณ์
จึงกล่าวกับเขาด้วยคาถาว่า

เจ้าจงดักบ่วงพอที่จะให้นกนั้นติดได้ แล้วจง
จับนกนั้นทั้งยังเป็นมาให้เราเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุชฺฌนฺตุ แปลว่า จงดัก. บทว่า
พาลปาสานิ ได้แก่ บ่วงอันสำเร็จแล้วด้วยเชือก มีขนหางม้าเป็นต้น. บทว่า
ชีวญฺจนํ ความว่า จงนำนกแขกเต้านั้นทั้งเป็นมาให้เรา.
คนเฝ้าไร่ฟังคำนั้นแล้ว ยินดีด้วยท่านพราหมณ์ไม่ตีราคาให้ตนต้อง
ชดใช้ รีบไปขวั้นบ่วงด้วยขนหางม้า กำหนดดูที่ร่อนลงของพญานกแขกเต้าว่า
วันนี้ต้องร่อนลงตรงนี้ วันรุ่งขึ้นไม่ทำกังหัน ทอดบ่วงไว้แต่เช้าทีเดียว
คอยดูการมาของฝูงแขกเต้า นั่งเฝ้าอยู่ในกระท่อม. ฝ่ายพญานกแขกเต้าแวดล้อม
ด้วยฝูงนกแขกเต้าบินมา ร่อนลงในที่ที่หากินเมื่อวาน เพราะมีอุปจารไม่โลเล
เท้าพอดีสอดเข้าไปในบ่วงที่วางดักไว้. พญานกแขกเต้านั้นทราบความที่ตน
ติดบ่วงแล้ว คิดว่า ถ้าเราร้องเอะอะในเวลานี้ พวกญาติของเราต้องพากัน
กลัวตาย ไม่เป็นอันหากินบินหนีไปเลย เราต้องอดกลั้นไว้จนกว่าพวกนั้นจะ
หากินกันอิ่มหนำ. ครั้นทราบว่า พวกนั้นอิ่มหนำสำราญแล้ว ความกลัวตาย
คุกคามเข้า จึงเอะอะสามครั้ง. ครั้งนั้นนกแขกเต้าทั้งปวงได้ยินแล้วพากันหนี
ไปหมดเลย. พญานกแขกเต้าเมื่อจะรำพันว่า บรรดาญาติของเรา แม้เพียง
ตัวเดียวที่จะเหลียวมาดู ก็ไม่มีเลย เราทำบาปอะไรไว้เล่าหนอ กล่าวคาถาว่า
ฝูงนกเหล่านั้นกินและดื่มแล้ว ย่อมพากันบินไป
เราผู้เดียวติดบ่วง เราทำบาปอะไรไว้.

คนเฝ้าไร่ได้ยินเสียงร้องเอะอะของพญานกแขกเต้า และเสียงฝูงนก
แขกเต้าบินไปในอากาศ ดำริว่า อะไรกันเล่าหนอ จึงลงจากกระท่อมไปที่
วางบ่วง เห็นพญานกแขกเต้าดีใจว่า เราวางบ่วงดักนกตัวใด จำเพาะติดตัว

นั้นพอดีเลย ครั้นปลดพญานกแขกเต้าจากบ่วงแล้ว ผูกเท้าทั้งสองติดกันจับไว้
แน่นไปสู่สาลินทิยคาม ให้พญานกแขกเต้าแก่ท่านพราหมณ์ ท่านพราหมณ์จับ
พระมหาสัตว์ด้วยมือทั้งสองข้างอย่างแน่นแฟ้นด้วยความรักอันมีกำลัง ให้นั่ง
บนตัก เมื่อจะทักทายกับพญานกแขกเต้านั้น ได้กล่าวคาถาสองคาถาว่า
ดูก่อนนกแขกเต้า ท้องของเจ้าเห็นจะใหญ่กว่า
ท้องของนกเหล่าอื่นเป็นแน่ เจ้ากินข้าวสาลีตามต้อง-
การแล้ว ยังคาบเอาไปด้วยจะงอยปากอีก ดูก่อนนก
แขกเต้า เจ้าจะบรรจุฉางในป่าไม้งิ้วนั้นให้เต็มหรือ
หรือว่าเจ้ากับเรามีเวรกันมา สหายเอ๋ย เราถามเจ้าแล้ว
เจ้าจงบอกแก่เราเถิด เจ้าฝังข้าวสาลีไว้ที่ไหน ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทรํ นูน ความว่า พ่อนกแขกเต้า
ท้องของเจ้าเห็นจะใหญ่ยิ่งกว่าท้องของนกเหล่าอื่นกระมังหนา. บทว่า ตตฺถ
ได้แก่ ในป่าไม้งิ้วนั้น. บทว่า ปูเรติ ความว่า เจ้าบรรจุยุ้งฉางในที่อยู่นั้น
ให้เต็ม (ในฤดูฝน) หรือ. บทว่า นิธียติ ความว่า เจ้าเก็บคือฝังข้าวสาลี
ไว้ที่ไหน ?
พญานกแขกเต้าได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ 7 ด้วยภาษามนุษย์
อันไพเราะว่า
ข้าพเจ้ากับท่านมิได้มีเวรกัน ฉางของข้าพเจ้าก็
ไม่มี ข้าพเจ้านำเอาข้าวสาลีของท่านไปถึงยอดงิ้วแล้ว
ก็เปลื้องหนี้เก่า ให้เขากู้หนี้ใหม่ และฝังขุมทรัพย์ไว้ที่
ป่างิ้วนั้น ข้าแต่ท่านโกสิยะ ขอท่านจงทราบอย่างนี้เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิณํ มุญฺจามิณํ ทมฺมิ ความว่า
ข้าพเจ้านำข้าวสาลีของท่านไป เปลื้องหนี้เก่าบ้าง ให้หนี้ใหม่บ้าง. บทว่า

นิธึปิ ความว่า ข้าพเจ้าฝังขุมทรัพย์ไว้อย่างหนึ่งซึ่งเป็นเครื่องติดตามไปใน
ป่าไม้งิ้วนั้น.
ลำดับนั้น พราหมณ์จึงถามพญานกแขกเต้านั้นว่า
การให้กู้หนี้ของท่านเป็นอย่างไร และการ
เปลื้องหนี้ของท่านเป็นอย่างไร ท่านจงบอกวิธีฝังขุม-
ทรัพย์ แล้วท่านจะหลุดพ้นจากบ่วงได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิณทานํ แปลว่า การให้กู้หนี้. บทว่า
นิธินิธานํ แปลว่า การฝังขุมทรัพย์.
พญานกแขกเต้า ถูกพราหมณ์ถามอย่างนี้แล้ว เมื่อจะพยากรณ์ปัญหา
ได้กล่าวคาถา 4 คาถาว่า
ข้าแต่ท่านโกสิยะ บุตรน้อยทั้งหลายของข้าพเจ้า
ยังอ่อน ขนปีกยังไม่ขึ้น บุตรเหล่านั้นข้าพเจ้าเลี้ยง
มาแล้ว เขาจักเลี้ยงข้าพเจ้าบ้าง เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
จึงชื่อว่าให้บุตรเหล่านั้นกู้หนี้ มารดาและบิดาของ
ข้าพเจ้าแก่เฒ่าล่วงกาลผ่านวัยไปแล้ว ข้าพเจ้าคาบ
ข้าวสาลีไปด้วยจะงอยปาก เพื่อท่านเหล่านั้นชื่อว่า
เปลื้องหนี้ที่ท่านทำไว้ก่อน อนึ่ง นกเหล่าอื่นที่ป่าไม้งิ้ว
นั้น มีขนปีกอันหลุดหมดแล้ว เป็นนกทุพพลภาพ
ข้าพเจ้าต้องการบุญ จึงได้ให้ข้าวสาลีแก่นกเหล่านั้น
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวการทำบุญนั้นว่า เป็นขุมทรัพย์
การให้กู้หนี้ของข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้ การเปลื้องหนี้ของ
ข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าบอกการฝังขุมสมบัติไว้
เช่นนี้ ข้าแต่ท่านโกสิยะขอท่านจงทราบอย่างนี้เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หาตูน แปลว่า คาบไปแล้ว. บทว่า
ตํ นิธึ ความว่า บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวชื่อขุมทรัพย์อันติดตามตน. บทว่า
นิธินิธานํ แปลว่า ฝังขุมทรัพย์ไว้ บาลีว่า นิทหํ ดังนี้ก็มี อีกอย่างหนึ่ง
บาลีก็เหมือนกัน.
พราหมณ์ฟังธรรมกถาของพระมหาสัตว์ มีจิตเลื่อมใส ได้กล่าวคาถา
2 คาถาว่า
นกตัวนี้ ดีจริงหนอ เป็นนกมีธรรมชั้นเยี่ยม
ในมนุษย์บางพวกยังไม่มีธรรมเช่นนี้เลยเจ้าพร้อมด้วย
ญาติทั้งมวล จงกินข้าวสาลีตามต้องการเถิด ดูก่อน
นกแขกเต้า เราขอเห็นเจ้าแม้อีกต่อไป การที่ได้เห็น
เจ้าเป็นที่พอใจของเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภุญฺช สาลึ ความว่า พราหมณ์เมื่อ
มอบให้ทรัพย์พันกรีส แก่พระมหาสัตว์นั่นแล จึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า ตั้งแต่นี้ไป
ท่านจงไม่มีภัยบริโภคเถิด. บทว่า ปสฺเสมุ ความว่า พวกเราพึงเห็นท่าน
แม้ในวันอื่นผู้มาตามชอบใจของตน.
พราหมณ์อ้อนวอนพระมหาสัตว์อย่างนี้แล้ว มองดูด้วยจิตอันอ่อนโยน
ประหนึ่งมองดูลูกรัก พลางแก้เชือกที่มัดออกจากเท้า ทาเท้าทั้งคู่ด้วยน้ำมันที่
หุงแล้วร้อยครั้ง ให้เกาะที่ตั่งอันงดงาม ให้บริโภคข้าวตอกคลุกน้ำผึ้งด้วย
จานทอง ให้ดื่มน้ำเจือน้ำตาลกรวด. ครั้งนั้นพญานกแขกเต้ากล่าวว่า ข้าแต่
มหาพราหมณ์ ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด เมื่อจะให้โอวาทแก่ท่านกล่าวว่า
ข้าแต่ท่านโกสิยะ ข้าพเจ้าได้กินและดื่มแล้วใน
ที่อยู่ของท่าน ท่านเป็นที่พึ่งพำนักของพวกเราทุกวัน-

คืน ขอท่านจงให้ทาน ในท่านที่มีอาชญาอันวางแล้ว
และจงเลี้ยงดูมารดาบิดาผู้แก่เฒ่าแล้วด้วย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตวสฺสมมฺหิ ได้แก่ ในนิเวศน์ของท่าน.
พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นแล้ว ดีใจเมื่อจะเปล่งอุทาน จึงกล่าวคาถาว่า
วันนี้ สง่าราศีเกิดขึ้นแก่เราแล้ว ที่เราได้เห็น
ท่านผู้เป็นยอดแห่งฝูงนก เพราะได้ฟังคำสุภาษิตของ
นกแขกเต้า เราจักทำบุญให้มาก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลกฺขี ได้แก่ สิริก็มี บุญก็มี ปัญญาก็มี.
พระมหาสัตว์ได้คืนไร่ประมาณ 1,000 กรีสที่พราหมณ์ให้แก่ตนเสีย
ของรับไว้เพียง 8 กรีสเท่านั้น. พราหมณ์จึงจารึกหลักมอบไร่แก่พระมหาสัตว์
แล้วบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น ขอสมาเสร็จส่งไปด้วยคำว่า เชิญไป
เถิด นายเอ๋ย โปรดปลอบบิดามารดาผู้กำลังร้องไห้ฟูมฟายอยู่เถิด. พญานก
แขกเต้านั้นดีใจคาบรวงข้าวสาลีไปวางไว้ข้างหน้ามารดาบิดา พลางกล่าวว่า
คุณพ่อคุณแม่ขอรับ เชิญลุกขึ้นเถิด. มารดาบิดาทั้งสองของพญานกแขกเต้านั้น
พากันลุกขึ้นหัวเราะได้ทั้งน้ำตา. ทันใดนั้นฝูงนกแขกเต้าประชุมกัน ถามว่า
ท่านผู้ประเสริฐ ท่านรอดได้อย่างไรขอรับ. ท่านเล่าเรื่องทั้งหมดแก่พวกนั้น
โดยพิสดาร. แม้ท่านโกสิยะฟังโอวาทของพญานกแขกเต้าแล้ว ตั้งแต่บัดนั้น
ก็เริ่มตั้งมหาทานแต่สมณพราหมณ์ผู้ทรงธรรม.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า
โกสิยพราหมณ์นั้น มีใจเบิกบานร่าเริงผ่องใส
จัดแจงข้าวและน้ำไว้แล้ว เลี้ยงดูสมณะและพราหมณ์
ทั้งหลาย ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวและน้ำ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺตปฺปยิ ความว่า บรรจุภาชนะที่
รับไปแล้ว ๆ เลี้ยงดูให้อิ่มหนำ.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย อันการเลี้ยงมารดาบิดาเป็นวงศ์ของบัณฑิตทั้งหลายด้วยประการฉะนี้
ทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย (เวลาจบสัจจะ ภิกษุนั้น ดำรงในโสดาปัตติผล)
แล้วทรงประชุมชาดกว่า ฝูงนกแขกเต้าในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัท
มารดาบิดา
ได้มาเป็นมหาราชสกุล คนเฝ้าไร่ ได้มาเป็นฉันนะ พราหมณ์
ได้มาเป็นอานนท์ ส่วนพญานกแขกเต้าได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาสาลิเกทารชาดก

2. จันทกินนรชาดก



ว่าด้วยนางจันทกินรี


[1883] ดูก่อนนางจันทา ชีวิตของพี่ใกล้จะขาด
อยู่แล้ว พี่กำลังเมาเลือด จันทาเอ๋ย พี่เห็นจะละชีวิตไป
แม้ในวันนี้ ลมปราณของพี่กำลังจะดับ ชีวิตของพี่
กำลังจะจม ความทุกข์กำลังเผาผลาญหัวใจพี่ พี่ลำบาก
ยิ่งนัก ความโศกของพี่ครั้งนี้ เป็นความโศกยิ่งใหญ่
กว่าความโศกเหล่าอื่น เพราะเหตุแห่งเจ้าจันทาผู้จะ
เศร้าโศกถึงพี่โดยแท้ พี่จะเหี่ยวแห้ง เหมือนต้นหญ้า
ที่ถูกทิ้งไว้บนแผ่นหินร้อน เหมือนต้นไม่มีรากอันขาด