เมนู

อรรถกถาอุทยชาดก



พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภภิกษุผู้เบื่อหน่าย ได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า เอกา
นิสินฺนา
ดังนี้. เรื่องจักมีแจ้งในกุสชาดกข้างหน้า.
ก็พระศาสดา ตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ จริงหรือที่ว่าเธอเป็น
ผู้เบื่อหน่ายแล้ว เมื่อเธอกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เหตุไรเล่า เธอบรรพชาในพระศาสนา อันเป็นที่นำสัตว์ออกจากทุกข์เห็นปานนี้
ยังเป็นผู้เบื่อหน่ายด้วยอำนาจกิเลส แม้แต่บัณฑิตในปางก่อน เสวยราชสมบัติ
ณ สุรุนธนนคร มีบริเวณได้ 12 โยชน์ อันมั่งคั่ง ถึงจะอยู่ร่วมห้องกับหญิง
ผู้เทียบเท่านางเทพอัปสร ตลอด 700 ปี ก็ยังมิได้ทำลายอินทรีย์ แลดูด้วย
อำนาจความโลภเลย ดังนี้แล้ว จึงทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้ากาสีเสวยราชสมบัติ ณ สุรุนธนนคร
แคว้นกาสี.
พระองค์ไม่เคยมีพระโอรสหรือพระธิดาเลย. พระองค์ตรัสกับ
พระเทวีทั้งหลายของพระองค์ว่า พวกเธอจงพากันปรารถนาบุตรเถิด. พระราช
เทวี รับพระราชดำรัสแล้ว ได้ทรงกระทำเช่นนั้น. ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์
จุติจากพรหมโลก ถือปฏิสนธิในพระอุทรแห่งพระอัครมเหสีของพระราชา.
ลำดับนั้น พระประยูรญาติ ทรงขนานพระนามพระราชกุมารนั้นว่าอุทัยภัทร
เพราะทรงบังเกิดทำให้หทัยของมหาชนจำเริญ. ในกาลที่พระราชกุมารทรง
ย่างพระบาทไปได้ สัตว์ผู้อื่นจุติจากพรหมโลก บังเกิดเป็นกุมาริกา ในพระ
อุทรของพระเทวี พระองค์ใดพระองค์หนึ่งของพระราชาพระองค์นั้นแล. พระ
ประยูรญาติ ทรงขนานพระนามพระราชกุมารีนั้นว่า อุทัยภัทรา. พระราช

กุมารทรงจำเริญวัย จบการศึกษาศิลปศาสตร์ทั้งหมด แต่ทรงเป็นพรหมจารี
โดยกำเนิด ไม่ทรงทราบเรื่องเมถุนธรรมแม้ด้วยความฝัน. พระทัยของ
พระองค์ มิได้พัวพันในกิเลสทั้งหลายเลย. พระราชาทรงพระประสงค์จะอภิเษก
พระราชโอรส ทรงส่งข่าวสาสน์ไปว่า พ่อลูกชาย บัดนี้เป็นกาลที่จะเสวย
ความสุขในราชสมบัติของลูกละ พ่อจักให้ราชสมบัติทั้งหมดแก่ลูก พระโพธิ-
สัตว์เจ้ากราบทูลห้ามเสียว่า ข้าพระองค์ มิได้มีความต้องการด้วยราชสมบัติเลย
จิตของข้าพระองค์ มิได้พัวพันในกองกิเลสเลย เมื่อได้รับพระราชดำรัสเตือน
บ่อย ๆ เข้า จึงให้ช่างสร้างรูปสตรี สำเร็จด้วยทองคำชมพูนุทอันเปล่งปลั่ง
แล้วทรงส่งข่าวสาสน์ถวายแด่พระราชบิดาและพระราชมารดาว่า ถ้าข้าพระองค์
ได้พบเห็นผู้หญิงงามเห็นปานนี้ไซร้ ก็จักขอรับมอบราชสมบัติ. พระราชบิดา
และพระราชมารดาให้อำมาตย์พาเอารูปทองคำนั้น ตระเวนไปทั่วชมพูทวีป
เมื่อไม่ได้ผู้หญิงงามเช่นนั้น จึงตบแต่งพระนางอุทัยภัทรา ให้ประทับอยู่ใน
วังของพระราชกุมารนั้น . พระนางทรงข่มรูปทองคำนั้นเสียหมดสิ้น. ครั้งนั้น
พระราชบิดาและพระราชมารดา ทรงอภิเษกพระโพธิสัตว์เจ้า กระทำพระ
น้องนางต่างพระชนนีอุทัยภัทราราชกุมารี ให้เป็นอัครมเหสี ทั้ง ๆ ที่พระ
ราชกุมาร และพระราชกุมารี ทั้ง 2 พระองค์นั้นมิได้ปรารถนาเลย. แต่ทั้ง 2
พระองค์นั้น ก็ทรงประทับอยู่ด้วยการอยู่อย่างพระพฤติพรหมจรรย์นั่นแล.
ครั้นกาลต่อมา พระราชบิดาและพระราชมารดาล่วงลับไป พระโพธิสัตว์จึง
ครอบครองราชสมบัติ. แม้ทั้ง 2 พระองค์ จะประทับร่วมห้องกัน ก็มิได้
ทรงทำลายอินทรีย์ ทอดพระเนตรกันด้วยอำนาจความโลภเลย ก็แต่ว่า ทรง
กระทำข้อผูกพันกันไว้ว่า ในเราทั้ง 2 ผู้ใดสิ้นพระชนม์ไปก่อน ผู้นั้นต้อง
มาจากที่ที่เกิดแล้วบอกว่า ฉันเกิดในสถานที่โน้นดังนี้ เท่านั้น. ต่อมาล่วงได้

700 ปี นับแต่เวลาได้อภิเษก พระโพธิสัตว์เจ้าก็สวรรคต. ผู้อื่นที่จะเป็น
พระราชาหามีไม่ พระนางอุทัยภัทรา พระองค์เดียวทรงสำเร็จราชการแทน.
หมู่อำมาตย์ร่วมกันปกครองราชสมบัติ ฝ่ายพระโพธิสัตว์เจ้านั้น ในขณะที่ทรง
จุติ ทรงถึงความเป็นท้าวสักกะในดาวดึงส์พิภพ เพราะทรงมียศใหญ่ยิ่ง ไม่
สามารถจะทรงอนุสรณ์ได้ตลอดสัปดาห์. ดังนั้นเป็นอันล่วงไปถึง 700 ปี
ด้วยการนับปีของมนุษย์ ท้าวเธอจึงทรงระลึกได้ ทรงพระดำริว่า เราจักทดลอง
พระราชธิดาอุทัยภัทรา ด้วยทรัพย์ แล้วเปล่งสีหนาทแสดงธรรม เปลื้อง
ข้อผูกพันแล้ว จึงมา. ได้ยินว่า ครั้งนั้นเป็นเวลาที่มนุษย์มีอายุได้ 10,000 ปี
คืนวันนั้นเอง พระราชธิดาพระองค์เดียวเท่านั้น ประทับนั่งมิได้ทรงไหวติง
ทรงนึกถึงศีลของพระองค์อยู่ ในห้องอันทรงพระสิริ อันอลงกต ณ พื้นชั้น
สูงสุดแห่งพระมหาปราสาท 7 ชั้น ในเมื่อราชบุรุษ ปิดพระทวารแล้ว
วางพระองค์เรียบร้อยแล้ว. ครั้งนั้นท้าวสักกเทวราช ทรงถือเอาถาดทองคำ
1 ใบ บรรจุเหรียญมาสกทองคำจนเต็ม ไปปรากฏพระกาย ในห้องพระบรรทม
ทีเดียว ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. เมื่อพระโพธิสัตว์จะตรัสปราศรัยกับ
พระนาง จึงตรัสพระคาถาที่ 1 ว่า
ดูก่อนพระนาง ผู้มีพระวรกายอันงดงามหาที่ติมิ
ได้ มีช่วงพระเพลากลมกลึงผึ่งผาย ทรงวัตถาภรณ์อัน
สะอาด เสด็จสู่ปราสาท ประทับนั่งอยู่เพียงพระองค์-
เดียว ดูก่อนพระนางผู้มีพระเนตรอันงดงาม ดังเนตร
กินนร หม่อมฉันขอวิงวอนพระนางเจ้า เราทั้ง 2 ควร
อยู่ร่วมกัน ตลอดคืน 1 นี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุจิ แปลว่า ทรงผ้าอันสะอาด. บทว่า
สญฺญตูรุ ท่านอธิบายว่า มีพระเพลาทั้ง 2 ข้าง ประดิษฐานอยู่ด้วยดี
พระนางทรงหยุดการเคลื่อนไหว ทรงพระภูษาอันสะอาด ประทับนั่งลำพัง
เพียงพระองค์เดียว. บทว่า อนินฺทิตงฺคี ความว่า พระนางมีพระวรกาย
หาที่ตำหนิมิได้ ตั้งแต่ปลายพระบาทจรดปลายพระเกศา คือมีพระสรีระอันทรง
พระเสาวภาคย์เป็นเยี่ยม. บทว่า กินฺนรเนตฺตจกฺขุ ความว่า พระนางทรง
มีพระเนตรทั้งคู่ เปรียบได้กับดวงเนตรของกินนร เพราะงดงามด้วยมณฑล
ทั้ง 3 และประสาททั้ง 5. บทว่า อิเมกรตฺตึ ความว่า หม่อมฉันขอวิงวอน
ตลอดราตรี 1 นี้ คือคืนวันนี้ เราทั้งสองพึงอยู่ร่วมกันในห้องพระบรรทมอัน
อลงกตนี้.
ลำดับนั้น พระราชธิดา ได้ตรัสพระคาถา 2 พระคาถาว่า
พระนครนี้ มีคูรายรอบ มีป้อมและซุ้มประตู
มั่นคง มีหมู่ทหารถือกระบี่รักษา ยากที่ใคร ๆ จะเข้า
มาได้ ทหารนักรบหนุ่ม ก็ไม่ได้มีมาเลย เมื่อเป็น
เช่นนี้ ท่านปรารถนามาพบข้าพเจ้าด้วยเหตุอะไรหนอ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอกิณฺณนฺตรปริกฺขํ ความว่า บุรี
อันมีนามว่า สุรุนธนะนี้ มีบริเวณกว้าง 12 โยชน์ มีคูรายรอบคั่นเป็นระหว่าง
เพราะเรียงรายด้วยคูเป็นชั้น ๆ คือคูน้ำ คูตม และคูแห้ง. บทว่า ทฬฺหมณฺ-
ฑาลโกฏฺฐกํ
ความว่า ประกอบด้วยป้อมและซุ้มประตู อย่างแข็งแรงครบครัน.
บทว่า ขคฺคหตฺเถหิ ความว่า มีทหารนับหมื่น ล้วนถืออาวุธเฝ้าล้อมแน่นหนา.
บทว่า ทุปฺปเวสมิทํ ปุรํ ความว่า บุรีทั้งสิ้นนี้ก็ดี พระราชวังอันเป็นที่อยู่
ของข้าพเจ้า ที่สร้างไว้ภายในบุรีนั้นก็ดี ทั้ง 2 แห่ง ใคร ๆ ไม่อาจที่จะเข้า

ไปได้. บทว่า อาคโม จ ความว่า อนึ่งเล่า ในพระนครนี้ ในเวลานี้
ขึ้นชื่อว่า การมาถึงของผู้เป็นนักรบผู้สมบูรณ์ด้วยกำลัง ผู้หนุ่ม หรือผู้กำลัง
รุ่นหนุ่ม หรือของผู้อื่น ที่น้อมนำบรรณาการดังมากมายมา ก็มิได้มี. บทว่า
สงฺคมํ ความว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านแอบเข้ามาพบข้าพเจ้าได้ ในเวลานี้
ด้วยเหตุอะไรเล่า.
ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราช จึงตรัสพระคาถาที่ 4 ว่า
ดูก่อนพระนางผู้เลอโฉม หม่อมฉันเป็นเทพบุตร
มาในตำหนักของพระนาง ดูก่อนพระนางผู้เจริญ
เชิญพระนางชื่นชมกับหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันจัก
ถวายถาดทองคำ อันเต็มเปี่ยมด้วยเหรียญทองคำแด่
พระนาง.

คำอันเป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า ดูก่อนพระนางผู้เลอโฉม คือจะพิศไหน
ก็งามพร้อม หม่อมฉันเป็นเทพบุตรผู้หนึ่ง มาถึงพระตำหนักนี้ได้ด้วยเทวตา-
นุภาพ วันนี้ เชิญพระองค์ทรงชื่นชมยินดีกับกระหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันจะ
ถวายถาดทองคำ อันเต็มเปี่ยมด้วยเหรียญมาสกทองคำนี้แด่พระนาง.
พระราชธิดาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสพระคาถาที่ 5 ว่า
นอกจากเจ้าชายอุทัยแล้ว ข้าพเจ้าไม่พึงปรารถนา
เทวดา ยักษ์ หรือมนุษย์ผู้อื่นเลย ดูก่อนเทพบุตรผู้มี
อานุภาพมาก ท่านจงไปเสียเถิด อย่ากลับมาอีกเลย.

คำแห่งคาถานั้นมีอธิบายว่า ดูก่อนเทวราช พ้นเสียจากพระอุทัยแล้ว
ข้าพเจ้าไม่ต้องการผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเทวดา เป็นยักษ์ หรือเป็นมนุษย์
เชิญท่านนั้นไปเสียเถิด อย่าขืนอยู่ที่นี่เลย ข้าพเจ้าไม่ต้องการบรรณาการที่ท่าน
นำมาดอกนะ ครั้นท่านไปแล้วอย่าได้กลับมาที่นี่อีกเลย.

ท้าวสักกะ ทรงสดับพระสุรสีหนาทของพระนางแล้ว ทำท่าคล้ายจะ
ไม่อยู่ไปแล้ว ได้หายวับไปทรงที่นั้นนั่นเอง. รุ่งขึ้นในเวลานั้นแหละ ท้าวเธอ
ถือถาดเงินเต็มเปี่ยมด้วยเหรียญมาสกทองคำมา เมื่อจะทรงสนทนากับพระนาง
จึงตรัสพระคาถาที่ 6 ว่า
ความยินดีอันใดอันเป็นที่สูงสุดของผู้บริโภคกาม
สัตว์ทั้งหลายประพฤติไม่สมควร เพราะเหตุแห่งความ
ยินดีอันใด พระนางอย่าพลาดจากความยินดี ในทาง
อันสะอาดของพระนางนั้นเลย หม่อมฉันขอถวายถาด
เงิน อันเต็มไปด้วยเหรียญเงินแด่พระนาง.
1
คำอันเป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า ข้าแต่พระราชธิดา ผู้ทรงพระเจริญ
บรรดาความยินดีของฝูงสัตว์ผู้บริโภคกาม ชื่อว่าความยินดีในกรรมคือเมถุน
เป็นสูงสุด ความยินดีอันสูงสุดนี้ใดเล่า เพราะเหตุแห่งความยินดีใดเล่านะ
ฝูงสัตว์จึงพากันประพฤติธรรม อันปราศจากความเหมาะสม มีกายทุจริตเป็นต้น
พระนางผู้ทรงพระเจริญ ขอพระนางโปรดอย่าพลาดจากความยินดีนั้น ในทาง
ที่สะอาดของพระนางเสียเลย แม้จะเป็นการเสมอด้วยพระนามก็ตามที. แม้
หม่อมฉันเมื่อมา ก็มิได้มามือเปล่า วันวานนำถาดทองคำเต็มด้วยเหรียญมาสก
มา วันนี้ก็นำถาดเงินเต็มด้วยเหรียญทองคำมา หม่อมฉันขอถวายถาดเงิน
เต็มด้วยเหรียญทองนี้แด่พระนาง.
พระราชธิดาทรงพระดำริว่า เทพบุตรนี้ เมื่อได้การสนทนาปราศรัย
คงมาบ่อย ๆ คราวนี้เราจะไม่พูดกะเขาละ. พระนางไม่ได้ตรัสคำอะไร ๆ เลย.
ท้าวสักกเทวราชทรงทราบความที่พระนางไม่ตรัส ก็เลยหายวับไปตรงที่นั้น
นั่นเอง วันรุ่งขึ้น พอถึงเวลานั้น ก็ถือถาดโลหะเต็มด้วยเหรียญกระษาปณ์มา
อรรถกถาว่า สุวณฺณมาสกปูรํ เต็มด้วยเหรียญทองคำ

ตรัสว่า พระนางผู้ทรงพระเจริญ เชิญพระนางโปรดปรนปรือหม่อมฉันด้วย
ความยินดีในกามเถิด หม่อมฉันจะถวายถาดโลหะเต็มด้วยเหรียญกระษาปณ์
แด่พระนาง วันนั้นพระราชธิดาตรัสพระคาถาที่ 7 ว่า
ธรรมดาว่า ชายหมายจะให้หญิงเอออวยด้วย
ทรัพย์ ย่อมประมูลราคาขึ้น จนให้ถึงความพอใจ
ของท่านตรงกันข้าม ท่านประมูลราคาลดลง ดังที่เห็น
ประจักษ์อยู่.

คำอันเป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า บุรุษผู้เจริญ ท่านช่างโง่ อันธรรมดา
ชายหมายจะให้หญิงเอออวยปลงใจตกลงด้วยทรัพย์ เพราะเหตุแห่งความยินดี
ด้วยอำนาจกิเลส ย่อมประมูล พรรณนา ชมเชย ประเล้าประโลมด้วยทรัพย์
ที่มากกว่า จนเป็นที่จุใจนาง แต่เทวสภาพนี้ ของท่านตรงกันข้ามเลย เพราะ
ท่านนำทรัพย์มาลดลงเรื่อย ๆ ดังที่ประจักษ์แก่ข้าพเจ้า คือวันก่อนนำถาดทอง
เต็มด้วยเหรียญทองมา วันที่สองนำถาดเงินเต็มด้วยเหรียญทอง วันที่สามนำ
ถาดโลหะเต็มด้วยเหรียญกระษาปณ์มา.
ท้าวสักกเทวราชได้ทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนพระนาง-
ราชกุมารีผู้ทรงพระเจริญ หม่อมฉันเป็นพ่อค้าผู้ฉลาด ย่อมไม่ยังประโยชน์
ให้เสื่อมเสียไปโดยไร้ประโยชน์ ถ้าพระนางพึงจำเริญด้วยพระชนมายุ หรือ
ด้วยพระฉวีวรรณไซร้ หม่อมฉันก็พึงนำบรรณาการมาเพิ่มแด่พระนาง แต่
พระนางมีแต่จะเสื่อมไปถ่ายเดียว เหตุนั้น หม่อมฉันจำต้องลดจำนวนทรัพย์ลง
ดังนี้แล้ว ทรงภาษิตคาถา 3 คาถาว่า

ดูก่อนพระนางผู้มีพระวรกายอันงดงาม อายุและ
วรรณะของหมู่มนุษย์ในมนุษยโลก ย่อมเสื่อมลง ด้วย
เหตุนั้นแล แม้ทรัพย์สำหรับพระนางก็จำต้องลดลง
เพราะวันนี้พระนางชราลงกว่าวันก่อน.
ดูก่อนพระราชบุตรีผู้ทรงพระยศ เมื่อหม่อมฉัน
กำลังเพ่งมองอยู่อย่างนี้ พระฉวีวรรณของพระนาง
ย่อมเสื่อมไป เพราะวันคืนล่วงไป ๆ ดูก่อนพระราช-
บุตรีผู้มีพระปรีชา เพราะเหตุนั้น พระนางพึงประพฤติ
พรหมจรรย์เสียแต่วันนี้ทีเดียว จะได้มีพระฉวีวรรณ
งดงามยิ่งขึ้นอีก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิหิยฺยติ ความว่า ก็แลอายุและวรรณะ
ของหมู่มนุษย์ ย่อมเสื่อมถอยไป เหมือนดังน้ำที่ลาดลงในผ้ากรองน้ำ. แท้จริง
หมู่สัตว์ในมนุษยโลก พากันเสื่อมอยู่เรื่อย ๆ โดยฐานะมีชีวิตผิวพรรณ
ประสาทจักษุเป็นต้นทุก ๆ วัน. บทว่า ชิณฺณตราสิ ความว่า พระชนมายุ
ของพระนาง ที่เป็นไปในวันที่หม่อมฉันมาครั้งแรก ยังไม่ถึงอายุวันวาน
พระชนมายุที่เป็นไปในวันที่หม่อมฉันมาคราวแรก ดับไปแล้วในวันนั้นเอง
เหมือนถูกตัดด้วยจอบ ถึงพระชนมายุที่เป็นไปแล้วในวันวานเล่า ก็ยังไม่ถึง
วันนี้ คงดับไปในวันวานนั่นแหละ เหมือนตัดเสียด้วยจอบในวันวานทีเดียว
เพราะเหตุนั้น ในวันนี้ พระนางย่อมทรงชราไปกว่าที่เห็นในวันวาน. บทว่า
เอวํ เม ความว่า เมื่อหม่อมฉันเห็นอยู่ในวันวาน เพ่งมองดูในวันนี้เล่า
พระฉวีวรรณเสื่อมไปกว่าวันนั้นเป็นไหน ๆ. บทว่า อโหรตฺตานมจฺจเย

ความว่า ตั้งแต่บัดนี้ไป เมื่อคืนวันล่วงไป เพราะล่วงไปหลายวันหลายคืน
พระฉวีวรรณจักต้องเป็นภาวะหาบัญญัติมิได้ทีเดียว. บทว่า อิมินาว ความว่า
ดูก่อนพระนางผู้ทรงพระเจริญ เหตุนั้น ถ้าพระนางพึงพระพฤติจริยธรรมอัน
ประเสริฐ คือ ทรงถือบวชบำเพ็ญสมณธรรม ด้วยวัยนี้ทีเดียว คือ ในเมื่อ
พระสรีระอันมีวรรณะเพียงดังทองนี้ ยังไม่ถูกชราปล้นไปเสียก่อน. บทว่า
ภิยฺโย วณฺณวตี สิยา ความว่า ก็พระนางพึงมีพระฉวีวรรณยิ่ง ๆ ขึ้นไป
เถิด.
ลำดับนั้น พระราชธิดาตรัสพระคาถาต่อไปว่า
เทวดาทั้งหลาย ไม่แก่เหมือนมนุษย์หรือไร
เส้นเอ็นในร่างกายของเทวดาเหล่านั้นไม่มีหรือไร
ดูก่อนเทพบุตร ข้าพเจ้าขอถามท่านผู้มีอานุภาพมาก
ร่างกายของเทวดาเป็นอย่างไรเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สรีรเทโห ความว่า ร่างกายคือสรีระ
พระราชธิดาตรัสว่า สรีระของทวยเทพย่อมไม่แก่ชราได้อย่างไร ข้าพเจ้าขอ
ถามท่านในข้อนี้.
ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราช เมื่อจะตรัสบอกแก่พระนาง จึงตรัส
พระคาถาต่อไปว่า
เทวดาทั้งหลาย ไม่แก่ชราเหมือนพวกมนุษย์
เส้นเอ็นในร่างกายของเทวดาเหล่านั้นไม่มี ฉวีวรรณ
อันเป็นทิพย์ของเทวดาเหล่านั้น ผุดผ่องยิ่งขึ้นทุก ๆ
วัน และโภคสมบัติก็ไพบูลย์ขึ้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถา มนุสฺสา ความว่า หมู่มนุษย์
พากันแก่ชราเสื่อมทรุดโทรมด้วยรูป ด้วยผิวพรรณ ด้วยโภคะ ด้วยประสาท
มีจักษุประสาทเป็นต้น ฉันใด ทวยเทพไม่เสื่อมไปฉันนั้น เพราะว่า ในตัว
ของทวยเทพเหล่านั้น แม้แต่เส้นเอ็นก็ไม่มีเลย สรีระจึงมีวรรณะเพียงดัง
แท่งทองที่มีแต่เกลี้ยงเกลาถ่ายเดียว. บทว่า สุเว สุเว คือ ทุก ๆ วัน. บทว่า
ภิยฺยตโรว ความว่า ผิวพรรณอันเป็นทิพย์ และโภคะทั้งหลายของทวยเทพ
เหล่านั้น นับวันแต่จะยิ่งเปล่งปลั่งและไพบูลย์ถ่ายเดียว. แท้จริงในหมู่มนุษย์
ความเสื่อมถอยทางรูป เป็นประจักษ์พยานว่าเกิดแล้วมานาน ในหมู่ทวยเทพ
รูปสมบัติที่ยิ่งขึ้น และบริวารสมบัติที่มากขึ้น เป็นประจักษ์พยานว่าเกิดแล้ว
มานาน. เทวโลกนั้นได้นามว่า มีความไม่เสื่อมถอยเป็นธรรมดา ด้วยประการ
ฉะนี้ เหตุนั้น พระนางจึงยังไม่ถึงความชราทีเดียว จงเสด็จออกผนวชเสียเถิด
ครั้นจุติจากมนุษยโลก อันมีแต่ความเสื่อมถอยเป็นสภาวะเช่นนี้แล้ว จักเสด็จ
ไปสู่เทวโลก อันมีแต่สิ่งที่ไม่รู้จักเสื่อมถอยเป็นสภาวะ เห็นปานฉะนี้.
พระนางได้ทรงสดับพระดำรัสพรรณนาถึงเทวโลก ดังนี้แล้ว เมื่อจะ
ตรัสถามถึงทางไปเทวโลกนั้น จึงตรัสพระคาถาต่อไปว่า
หมู่ชนเป็นอันมากในโลกนี้ กลัวอะไรเล่า จึง
ไม่ไปเทวโลกกัน ก็หนทางไปยังเทวโลก บัณฑิต
ทั้งหลายกล่าวไว้หลายด้าน ดูก่อนเทพบุตรผู้มีอานุภาพ
มาก ข้าพเจ้าขอถามท่าน บุคคลตั้งอยู่ในหนทางไหน
จึงไม่กลัวปรโลก.

บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า กีสูธ ภีตา นี้ พระราชธิดาตรัส
ถามว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า ข้าพเจ้าขอถามท่าน หมู่ชนต่างโดยกษัตริย์เป็นต้นนี้
มิใช่เล็กน้อยเลย พากันกลัวอะไรเสียเล่า คือ เพราะหวาดกลัวอะไรกันเล่า
จึงไม่พากันไปสู่เทวโลก จากมนุษยโลกอันมีแต่สิ่งที่จะพึงเสื่อมถอยเป็นสภาวะ.
บทว่า มคฺโค ได้แก่ หนทางที่จะไปยังเทวโลก. ก็ในข้อนี้ ใคร ๆ พึงตั้ง
ปัญหาว่า ใครนำอะไรมา บัณฑิตทั้งหลายกล่าวจำแนกความนี้ไว้ ด้วยอำนาจ
เป็นแดนต่อคือลัทธิมิใช่น้อย ทางแห่งเทวโลกที่แน่นอน ท่านกล่าวอธิบายว่า
เป็นทางอะไร. บทว่า กตฺถ ฐิโต ความว่า ผู้จะไปยังปรโลก ดำรงอยู่
ในทางไหน จึงจะไม่หวาดกลัว.
ลำดับนั้น เมื่อท้าวสักกเทวราชจะตรัสบอกแก่พระนาง จึงได้ตรัส
พระคาถาต่อไปว่า
บุคคลผู้ตั้งวาจาและใจไว้โดยชอบ ไม่ทำบาป
ด้วยกาย อยู่ครองเรือนอันมีข้าวและน้ำมาก เป็นผู้มี
ศรัทธา อ่อนโยน จำแนกแจกทาน รู้ความประสงค์
ชอบสงเคราะห์ มีวาจาน่าคบเป็นสหาย มีวาจาอ่อน-
หวาน ผู้ตั้งอยู่ในคุณธรรมดังกล่าวมานี้ ไม่พึง
หวาดกลัวปรโลกเลย.

คำเป็นคาถานั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ ดูก่อนพระนางผู้ทรงพระเจริญ
บุคคลใดตั้งวาจาและใจไว้โดยชอบ แม้ด้วยทั้งกายก็มิได้กระทำบาปต่าง ๆ คือ
มาประพฤติยึดมั่นซึ่งกุศลกรรมบถ 10 ประการเหล่านี้ เมื่ออยู่ครองเรือนอันมี
ข้าวและน้ำมากมาย คือ มีไทยธรรมเพียงพอ ประกอบด้วยความเชื่อมั่นว่า
วิบากแห่งทานมีอยู่ มีจิตอ่อนโยน ได้นามว่า ผู้จำแนกแจกจ่าย เพราะการ

จำแนกทานได้นามว่าผู้รู้ถ้อยคำ เพราะทราบถึงการให้ปัจจัย แก่เหล่าบรรพชิต
ผู้ท่องเที่ยวไปเพื่อภิกษาพากันกล่าวไว้ หมายความว่า เพราะทราบวาทะนี้
ชอบสงเคราะห์กันด้วยสังคหวัตถุ 4 ประการ ได้นามว่าผู้มีวาจาน่าคบหาเป็น
สหาย เพราะเป็นผู้พูดแต่วาจาที่น่ารัก ได้นามว่า ผู้พูดอ่อนหวาน เพราะ
กล่าววาจาที่เป็นประโยชน์ บุคคลนั้นดำรงอยู่ในกองแห่งคุณธรรมนี้ คือนี้
ประมาณเท่านี้ เมื่อจะไปยังปรโลก ก็ไม่ต้องหวาดกลัวเลย.
ลำดับนั้น พระราชธิดาได้ทรงสดับถ้อยคำของท้าวเธอแล้ว เมื่อจะ
ทรงทำการชมเชย จึงตรัสพระคาถาสืบไปว่า
ข้าแต่เทพบุตร ท่านพร่ำสอนข้าพเจ้าเหมือนดัง
มารดาบิดา ข้าแต่ท่านผู้มีผิวพรรณงดงามยิ่ง ข้าพเจ้า
ขอถาม ท่านเป็นใครกันหนอ จึงมีร่างกายสง่างามนัก.

คำเป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า มารดาบิดาพร่ำสอนลูกน้อย ฉันใด
ท่านก็พร่ำสอนข้าพเจ้า ฉันนั้น. ข้าแต่ท่านผู้มีผิวพรรณงดงามยิ่งนัก คือผู้
ทรงรูปโฉมอันถึงความเป็นผู้งดงาม ท่านเป็นใครกันเล่าหนอ จึงมีร่างกาย
สง่างามอย่างนี้.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงตรัสพระคาถาต่อไปว่า
ดูก่อนพระนางเจ้าผู้เลอโฉม ข้าพเจ้าเป็นพระเจ้า
อุทัยมายังที่นี่ เพื่อต้องการจะเปลื้องข้อผูกพัน ข้าพเจ้า
บอกพระนางแล้ว จะขอลาไป ข้าพเจ้าพ้นจากข้อ
ผูกพันของพระนางแล้ว.

คำเป็นคาถานั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ ดูก่อนพระนางผู้พิศดูน่างดงาม
ข้าพเจ้าในภพก่อนนั้นได้เป็นสามีของเธอ นามว่าอุทัย บังเกิดเป็นท้าวสักก-

เทวราชในดาวดึงส์พิภพ มาในที่นี้ มิใช่มาด้วยอำนาจกิเลส แต่ดำริว่าจัก
ทดลองเธอดู แล้วจักเปลื้องข้อผูกพัน เป็นอันมาตามข้อผูกพัน คือ ตามข้อ
ตกลงที่ทำกันไว้ในกาลก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าได้บอกเธอแล้ว จะขอลาไป ข้าพเจ้า
พ้นจากข้อผูกพันของท่านแล้ว.
พระราชธิดา ทรงดีพระทัย ทรงเปล่งพระราชเสาวนีย์ว่า ทูลกระหม่อม
พระองค์คือพระเจ้าอุทัยภัทร ดังนี้ พลางก็มีพระกระแสพระอัสสุชลหลั่งไหล
ตรัสว่า หม่อมฉันไม่สามารถจะอยู่ห่างพระองค์ได้ โปรดทรงพร่ำสอนหม่อมฉัน
ตามที่หม่อมฉันจะอยู่ใกล้ชิดพระองค์ได้เถิดเพคะ ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถา
ต่อไปว่า
ข้าแต่พระราชสวามี ถ้าพระองค์เป็นพระเจ้าอุทัย
เสด็จมา ณ ที่นี้ เพื่อต้องการจะปลดเปลื้องข้อผูกพัน
แล้วไซร้ ข้าแต่พระราชสวามี ขอเชิญพระองค์จง
โปรดพร่ำสอนหม่อมฉัน ด้วยวิธีที่เราทั้ง 2 จะได้พบ
กันใหม่อีกเถิดเพคะ.

ลำดับนั้น เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าจะทรงพร่ำสอนพระนาง จึงได้ตรัส
พระคาถา 4 พระคาถาว่า
วัยล่วงไปรวดเร็วยิ่งนัก ขณะก็เช่นนั้นเหมือนกัน
ความตั้งอยู่ยั่งยืนไม่มี สัตว์ทั้งหลายย่อมจุติไปแน่แท้
สรีระไม่ยั่งยืน ย่อมเสื่อมถอย ดูก่อนพระนางอุทัยภัทรา
เธออย่าประมาท จงประพฤติธรรมเถิด พื้นแผ่นดิน
ทั้งหมดเต็มไปด้วยทรัพย์ ถ้าจะพึงเป็นของของ
พระราชาแต่เพียงพระองค์เดียว ไม่มีผู้อื่นครอบครอง

ถึงกระนั้น ผู้ที่ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ก็ต้อง
ทิ้งสมบัตินั้นไป ดูก่อนพระนางอุทัยภัทรา เธอจงอย่า
ประมาท จงประพฤติธรรมเถิด มารดา บิดา พี่ชาย
น้องชาย พี่สาว น้องสาว ภริยาและสามี พร้อมทั้ง
ทรัพย์ แม้เขาเหล่านั้น ต่างก็จะละทิ้งกันไป ดูก่อน
พระนางอุทัยภัทรา เธออย่าประมาท จงประพฤติ
ธรรมเถิด ดูก่อนพระนางอุทัยภัทรา เธอพึงทราบว่า
ร่างกายเป็นอาหารของสัตว์อื่น ๆ พึงทราบว่าสุคติและ
ทุคติ ในสงสารเป็นที่พักพิงชั่วคราว ขอเธอจงอย่า
ประมาท จงประพฤติธรรมเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อธิปตติ ความว่า วัยย่อมล่วงไปรวดเร็ว
เหลือเกิน คือผ่านไปโดยพลัน. บทว่า วโย ได้แก่ แม้วัยทั้ง 3 มีปฐมวัย
เป็นต้น. บทว่า ขโณ ตเถว ได้แก่ ทั้งอุปปาทขณะ ฐิติขณะ และภังคขณะ
ย่อมพลันล่วงไปเช่นนั้นเหมือนกัน ด้วยบททั้งสองดังว่ามานี้ ท้าวสักกเทวราช
แสดงว่า ขึ้นชื่อว่า อายุสังขารของสัตว์เหล่านี้ เป็นสภาวะแตกสลาย ชื่อว่า
ย่อมล่วงไปโดยพลัน เพราะเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วยิ่งนักประดุจแม่น้ำมีกระแส
อันเชี่ยว ฉะนั้น . บทว่า ฐานํ นตฺถิ ความว่า ขึ้นชื่อว่า ความหยุดอยู่
แห่งวัยและขณะทั้งสองนั้น ไม่มีเลย แม้ด้วยความปรารถนาว่า สังขารทั้งหลาย
ที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่แตกสลาย ดำรงอยู่ดังนี้ ก็ไม่เป็นไปได้ สัตว์แม้ทั้งปวง
ตั้งต้นแต่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ย่อมเคลื่อนไปแน่นอน คือโดยส่วนเดียว
เท่านั้น ท้าวสักกเทวราช ทรงบ่งถึงว่า เธอจงเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า ความ
ตายแน่นอน ความเป็นอยู่ไม่แน่นอนเลย.
บทว่า ปริชียติ ความว่า สรีระ
อันมีพรรณะเพียงดังทองคำนี้ คร่ำคร่าทั้งนั้นแล เธอจงรู้อย่างนี้เถิด. บทว่า

มา ปมาทํ ความว่า ดูก่อนแม่อุทัยภัทรา เหตุนั้น เธออย่าถึงความประมาท
เลย จงเป็นผู้ไม่ประมาท ประพฤติธรรมคือกุศลกรรมบถ 10 ประการเถิด.
บทว่า กสิณา แปลว่า ทั้งสิ้น. บทว่า เอกสฺเสว ความว่า ถ้าว่าเป็นของ
พระราชาพระองค์เดียวเท่านั้น แม้จะเป็นอดีต อนาคต ก็เป็นอยู่ ในพระราชา
พระองค์นั้นพระองค์เดียว. บทว่า ตํ วา วิชหติ อวีตราโค ความว่า
บุคคลผู้ตกอยู่ในอำนาจแห่งตัณหา คงไม่อิ่มด้วยยศแม้เพียงเท่านี้เลย จะต้อง
ทอดทิ้งแผ่นดินนั้นไป ทั้ง ๆ ที่ยังไม่หมดรักเลย ในเวลาตาย ท้าวสักกเทวราช
ระบุถึงว่า เธอจงรู้ว่าตัณหาเป็นธรรมชาติที่ไม่รู้จักเต็ม ด้วยอาการอย่างนี้เถิด.
บทว่า เตวาปิ ความว่า บุคคลแม้เหล่านั้น ย่อมทอดทิ้งกันไป คือ ย่อม
พลัดพรากจากกันไป มารดาบิดาย่อมทิ้งบุตร บุตรทิ้งมารดาบิดา ภริยาทิ้งสามี
สามีทิ้งภริยา ท้าวสักกเทวราชระบุว่า เธอจงทราบว่า หมู่สัตว์ต้องพลัดพราก
จากกัน ด้วยประการฉะนี้. บทว่า ปรโภชนํ ความว่า เธอพึงทราบเถิดว่า
กายเป็นอาหารของหมู่สัตว์เหล่าอื่น ต่างด้วยชนิดมีกาเป็นต้น. บทว่า อิตร-
วาโส
ความว่า เธอพึงทราบเถิดว่า ในสงสารนี้ สุคติคือที่เกิดของมนุษย์
และทุคติคือที่เกิดของสัตว์ดิรัจฉานนี้ใด แม้ทั้งสองนั้น เป็นที่พักชั่วคราว
แล้ว จงไปประพฤติธรรม อย่าประมาทเสียนะ การมาจากที่ต่าง ๆ แล้วพบ
กันในที่แห่งเดียวกันของสัตว์เหล่านั้น เป็นการนิดหน่อย สัตว์เหล่านี้ อยู่ร่วม
กันชั่วกาลมีประมาณเล็กน้อยเท่านั้น เพราะฉะนั้น เธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท
พระมหาสัตว์เจ้า ได้ประทานโอวาทแก่พระนาง ด้วยประการฉะนี้แล.
ฝ่ายพระนางทรงเลื่อมใส ในธรรมกถาของท้าวเธอ เมื่อจะทำการ
ชมเชย จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า
เทพบุตร ช่างพูดดีจริง ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย
น้อยนัก ทั้งลำเค็ญ ทั้งนิดหน่อย ประกอบไปด้วย

ความทุกข์ หม่อมฉันจักสละสุรุนธนนคร แคว้นกาสี
ออกบวช อยู่โดยลำพังแต่ผู้เดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาธุ แปลว่า งามจริง. บทว่า อปฺปํ
มจฺจานชีวิตํ
ความว่า เทวราชนี้เมื่อจะตรัส ย่อมตรัสว่า ชีวิตของหมู่สัตว์
เป็นของน้อยนิด ช่างตรัสดีจริง ๆ เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า ชีวิตนี้
ลำเค็ญเป็นทุกข์ ปราศจากความยินดี ทั้งเป็นของนิดหน่อย คือ ไม่มาก
เป็นของชั่วคราว ก็ถ้าชีวิตทั้ง ๆ ที่ลำเค็ญ จะพึงเป็นไปได้ตลอดกาลนาน ก็
เป็นอันว่า ทั้ง ๆ ที่เป็นของนิดหน่อย จะพึงมีความสุขได้ ก็แต่ว่า ชีวิตนี้
เป็นทั้งลำเค็ญ ทั้งนิดหน่อยประกอบไว้ คือพร้อมร่วมกันกับด้วยวัฏทุกข์
ทั้งสิ้น. บทว่า สาหํ ตัดเป็น สา อหํ. บทว่า สุรุนฺธนํ ความว่า พระนาง
ตรัสว่า หม่อมฉันนั้น จักทิ้งพระนครสุรุนธนะ และแคว้นกาสีไปผนวชแต่
โดยลำพังผู้เดียว.
พระโพธิสัตว์เจ้า ประทานพระโอวาทแด่พระนางแล้ว เสด็จไปสู่ที่อยู่
ของพระองค์ตามเดิม. ฝ่ายพระนางพอรุ่งขึ้น ก็ทรงมอบราชสมบัติให้พวก
อำมาตย์รับไว้ ทรงผนวชเป็นฤาษิณี ในพระราชอุทยานอันน่ารื่นรมย์ ภายใน
พระนครนั่นเอง ทรงประพฤติธรรม ในที่สุดพระชนมายุ ก็บังเกิดเป็นบาท-
บริจาริกา ของพระโพธิสัตว์เจ้าในดาวดึงส์พิภพ.
พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ
ทั้งหลาย ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้เบื่อหน่ายได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ทรง
ประชุมชาดกว่า พระราชธิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระมารดาของพระ-
ราหุล
ส่วนท้าวสักกเทวราช ก็คือเราตถาคตนั่นแล.
จบอรรถกถาอุทยชาดก

5. ปานียชาดก



ว่าด้วยการทำบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทำ



[1542] อาตมภาพเป็นมิตรของชายคนหนึ่ง
ได้บริโภคน้ำของมิตรที่เขาไม่ได้ให้ เพราะเหตุนั้น
ภายหลังอาตมภาพรังเกียจว่า เราทำบาปนั้นไว้แล้ว
อย่าได้กระทำบาปอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึง
ออกบวช.

[1543] ความพอใจบังเกิดขึ้นแก่อาตมภาพ
เพราะเห็นภรรยาของผู้อื่น เพราะเหตุนั้น ภายหลัง
อาตมภาพรังเกียจว่า เราได้ทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้
กระทำบาปนั้นอีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึง
ออกบวช.

[1544] ขอถวายพระพรมหาบพิตร โจร
ทั้งหลายจับโยมบิดาของอาตมภาพไว้ในป่า อาตมภาพ
ถูกโจรเหล่านั้นถาม รู้อยู่ได้แกล้งพูดถึงโยมบิดานั้น
เป็นอย่างอื่นไป เพราะเหตุนั้น ภายหลังอาตมภาพ
รังเกียจว่า เราได้ทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้ทำบาปนั้น
อีกเลย เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงออกบวช.

[1545] เมื่อพลีกรรมชื่อโสมยาคะปรากฏขึ้น
แล้ว มนุษย์ทั้งหลายก็พากันกระทำปาณาติบาต
อาตมภาพได้ยอมอนุญาตให้แก่พวกเขา เพราะเหตุนั้น