เมนู

อรรถกถารุรุชาดก*



พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ตสฺส คามวรํ
ทมฺมิ
ดังนี้.
เล่ากันมาว่า พระเทวทัตนั้น เมื่อพวกภิกษุพากันพูดว่า เทวทัตผู้มีอายุ
พระศาสดาทรงมีอุปการะเป็นอันมากแก่ท่าน ทั้งท่านได้บวชได้เรียนพระไตร-
ปิฎกร่ำรวยลาภสักการะ เพราะอาศัยพระตถาคตเจ้า กลับกล่าวว่า ผู้มีอายุ
ทั้งหลาย พระศาสดามิได้ทรงทำอุปการะแก่ผมแม้มาตรว่า ปลายเส้นหญ้า ผม
บวชเองทีเดียว เรียนพระไตรปิฎกก็ด้วยตนเองแหละ ร่ำรวยลาภสักการะก็ตนเอง.
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภากล่าวโทษของพระเทวทัตนั้น ทีเดียวว่า
ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตเป็นผู้อกตัญญูอกตเวที. พระศาสดาเสด็จมาตรัส
ถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่
ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู แม้ในครั้งก่อนก็เป็นคนอกตัญญู
เหมือนกัน แล้วตรัสว่า แม้ในกาลก่อนพระเทวทัตนี้ แม้เมื่อเราให้ชีวิตแล้ว
ก็ยังไม่รู้แม้เพียงคุณของเราดังนี้แล้ว จึงได้นำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี
เศรษฐีมีสมบัติ 80 โกฏิ ได้บุตรขนานนามเธอว่า มหาชนกะ คิดว่าเมื่อบุตร
เราเรียนศิลปะจักต้องลำบาก จึงไม่ยอมให้เรียนศิลปะอะไร ๆ เลย. เธอไม่รู้
อะไร ๆ นอกจากหากินอันได้มาจากการขับร้องฟ้อนรำและประโคม. เมื่อเธอ
เจริญวัยแล้ว มารดาบิดาก็จัดแจงตบแต่งให้มีภรรยาตามสมควร แล้วก็ล่วงลับ
บาลีเป็น รุรมิคชาดก

ไป. พอท่านทั้งสองล่วงลับไป เขาก็แวดล้อมไปด้วยพวกนักเลงหญิงและนักเลง
เล่นการพนันเป็นต้น ทำลายทรัพย์ทั้งหมดเสียด้วยทางฉิบหายต่าง ๆ ต้องกู้หนี้
ยืมสิน เมื่อไม่อาจใช้หนี้ทั้งหมดนั้นได้ ก็ถูกเจ้าหนี้รุมกันทวง ดำริว่า เราจะอยู่
ไยเล่า เราก็เกิดมาด้วยร่างกายอันหนึ่ง เหมือนคนอื่นๆ ตายเสียดีกว่า เมื่อถูกเจ้า
หนี้ทวงถาม ก็กล่าวว่า ทรัพย์ของตระกูลของเราที่ฝังที่ฝั่งแม่น้ำคงคา ยังมีอยู่
ผมจักใช้ทรัพย์นั้นให้พวกท่าน. เจ้าหนี้เหล่านั้นก็ไปกับเขา. เขาทำเป็นเหมือน
บอกที่คุมทรัพย์ว่า ทรัพย์มีที่นี้ แล้วหนีไปด้วยคิดว่าเราจักโดดลงคงคาตายเสีย
แล้วก็โดดลงแม่น้ำคงคาไป. เขาถูกกระแสน้ำเชี่ยวพัดลอยไป ก็ร้องคร่ำครวญ
ชวนให้สงสาร.
ครั้งนั้น พระมหาสัตว์บังเกิดในกำเนิดรุรุมฤค ทิ้งบริวารเสียพำนักอยู่
ที่ป่ามะม่วงอันมีช่องดงาม ผสมกับดงรังอันน่ารื่นรมย์ตรงวังวนแห่งแม่น้ำคงคา
ลำพังตัวเดียวเท่านั้นเพื่อประสงค์จะกระทำการรักษาอุโบสถ. ผิวแห่งสรีระของ
พญารุรุมฤดูนั้น มีสีเหมือนแผ่นกระดาษทองที่ขัดมัน เท้าทั้งสี่มีสีประดุจดังย้อม
ด้วยน้ำครั่ง หางก็ประหนึ่งหางแห่งจามรี เขาทั้งหลายเช่นเดียวกับช่อเงิน นัยน์ตา
ทั้งคู่ประหนึ่งเม็ดทับทิมที่เจียระไนแล้ว ปากเปรียบดังลูกช่างที่หุ้มด้วยผ้ากัมพล
แดง รูปร่างของพญารุรุมฤคนั้น มีรูปเห็นปานฉะนี้. เวลากลางคืน พญารุรุมฤค
นั้นได้ยินเสียงน่าสงสารของเขา ดำริว่า เราได้ยินเสียงมนุษย์ เมื่อเรายังดำรงอยู่
อย่าตายเสียเลย เราต้องช่วยชีวิตเขาไว้ แล้วลุกจากที่นอนเดินไป ณ ฝั่งแม่น้ำ
ปลอบว่าบุรุษผู้เจริญ อย่ากลัวเลย ข้าจักช่วยชีวิตท่าน พลางว่ายตัดกระแสน้ำไป
รับเขาขึ้นหลัง พาถึงฝั่งนำไปที่อยู่ของตน ทำให้เขาโปร่งใจล่วงมาได้สองสาม
วันก็กล่าวว่า บุรุษผู้เจริญ ข้าจักพาท่านออกจากป่านี้ ส่งให้ถึงทางไปพาราณสี
ท่านจักไปโดยสวัสดี ก็แต่ขอสักอย่างหนึ่ง ท่านจงอย่าบอกเราแก่พระราชาหรือ
มหาอำมาตย์ของพระราชา เพราะเหตุมุ่งทรัพย์ว่า ณ ที่ตรงโน้น กวางทอง

พำนักอยู่ ดังนี้เลยนะ. เขารับคำว่าดีละ พระมหาสัตว์รับปฏิญญาของเขาแล้ว
ก็ให้เขาขึ้นหลังตนพาไปส่งถึงทางไปกรุงพาราณสีแล้วจึงกลับ. ในวันที่เขาเข้า
ไปถึงกรุงพาราณสีนั่นเอง พระอัครมเหสีของพระราชาพระนามว่า เขมาเทวี
ทรงฝันเห็นกวางทองแสดงธรรมกถาถวายพระนางในพระสุบินเมื่อใกล้รุ่ง
ทรงพระดำริว่า ถ้ามฤคเห็นปานนี้ ไม่พึงมีไซร้ เราไม่น่าฝันเห็นเขา
ได้เลย คงจักมีแน่ ต้องกราบทูลแด่พระราชา. พระนางเข้าเฝ้าพระราชา
กราบทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม หม่อมฉันปรารถนาจะเห็นกวางทอง
ประสงค์จะฟังธรรมกถาของกวางทอง ถ้าจักได้ หม่อมฉันจักคงมีชีวิตอยู่
ถ้าไม่ได้ชีวิตของหม่อมฉันจักไม่มี. พระราชาทรงปลอบพระนาง พลางตรัสว่า
ขอให้มีในมนุษยโลกเถอะน่ะ เธอต้องได้แน่ ดังนี้แล้วรับสั่งให้หาพวกพราหมณ์
มาเฝ้า ตรัสถามว่า ธรรมดามฤคที่มีสีเหมือนสีทองยังจะมีอยู่หรือ ทรงสดับว่า
ข้าแต่สมมติเทพ มีอยู่พระเจ้าข้า ก็รับส่งให้บรรจุถุงเงิน 1,000 กระษาปณ์
ลงในผอบทอง วางไว้ ณ คอช้างที่ประดับเสร็จแล้ว มีพระประสงค์จะประทาน
ช้างนั้นกับผอบทองที่ใส่ถุงเงิน 1,000 กระษาปณ์ และสิ่งของที่ยิ่งกว่านี้แก่ผู้ที่
บอกเรื่องกวางทองได้ แล้วรับสั่งให้เขียนคาถาลงในแผ่นทอง ให้หาอำมาตย์
ผู้หนึ่งมาเฝ้า มีดำรัสตรัสว่า มาเถิด เจ้าจงแจ้งคาถานี้ตามคำของเราแก่ชาว
พระนครนะพ่อ แล้วตรัสพระคาถาที่ 1 ในชาดกนี้ว่า
ใครบอกมฤคซึ่งสูงสุดกว่ามฤคทั้งหลายนั้นแก่
เราได้ เราจะให้บ้านส่วยและหญิงที่ประดับประดาแล้ว
แก่ผู้นั้น.

อำมาตย์ ถือแผ่นทองเที่ยวป่าวร้องไปในพระนครทั่วทุกแห่ง ลำดับนั้น
แลเศรษฐีบุตรก็เข้าไปสู่กรุงพาราณสี ฟ้งถ้อยคำนั้นแล้วไปสู่สำนักอำมาตย์

กล่าวว่า ข้าพเจ้าจักทูลมฤคนั้นแด่พระราชา ได้เชิญแสดงข้าพเจ้าแด่พระราชา
เถิด. อำมาตย์ลงจากช้างพาเขาไปสู่สำนักของพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่
สมมติเทพ ได้ยินว่า ผู้นี้จักกราบทูลถึงมฤคนั้นได้พระเจ้าข้า. พระราชาตรัส
ถามว่า จริงหรือบุรุษผู้เจริญ เมื่อเขากราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช เป็น
ความจริงพระเจ้าข้า ขอพระองค์โปรดประทานยศนั้นแก่ข้าพระองค์เถิดพระ-
เจ้าข้า กล่าวคาถาที่ 2 ว่า
ขอได้โปรดพระราชทานบ้านส่วย และหญิงที่
ประดับประดาแล้วแก่ข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์จะ
กราบทูลมฤคซึ่งสูงสุดกว่ามฤคทั้งหลายแก่พระองค์.

พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว โปรดปรานแก่ผู้ประทุษร้ายมิตรนั้น
จึงตรัสถามว่า พ่อเฮ้ย มฤคนั้นพำนักอยู่ที่ไหน เมื่อเขากราบทูลว่า ณ ที่โน้น
พระเจ้าข้า ก็ทรงกระทำเขาให้เป็นมัคคุเทศก์ เสด็จไปสู่สถานนั้นด้วยราชบริพาร
ขบวนใหญ่. ลำดับนั้น คนประทุษร้ายมิตร กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์โปรดสั่งให้เสนาหยุดได้พระเจ้าข้า เมื่อเสนา
หยุดเรียบร้อยแล้ว ก็กราบทูลเชิญเสด็จ เมื่อจะยกมือชี้ว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้สมมติเทพ สุวรรณมฤคนั้นพำนักอยู่ ณ ที่ตรงนั้น จึงกล่าวคาถาที่ 3 ว่า
ณ ไพรสณฑ์นั้น มีต้นมะม่วงและต้นรังทั้งหลาย
ดอกบานสะพรั่ง พื้นที่แห่งไพรสณฑ์นั้น ดารดาษ
ไปด้วยติณชาติมีสีเหมือนแมลงค่อมทอง มฤคตัวนั้น
อยู่ที่ไพรสณฑ์นั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อินฺทโคปกสญฺฉนฺนา ความว่า คนผู้
ประทุษร้ายต่อมิตรนั้น กราบทูลแสดงว่า ภาคพื้นแห่งไพรสณฑ์ตรงนั้น

ดาดาษไปด้วยติณชาติมีสัมผัสเป็นสุข มีสีแดงเหมือนสีแมลงค่อมทอง อ่อนนุ่ม
ประหนึ่งข้าวกล้าอ่อน ณ ไพรสณฑ์อันน่ารื่นรมย์นี้นั้น กวางทองนั้นพำนักอยู่
พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงสดับคำของเขาแล้ว ตรัสสั่งหมู่อำมาตย์ว่า เธอทั้งหลาย
กับคนที่ถืออาวุธ จงพากันล้อมไพรสณฑ์ไว้โดยเร็ว มิให้มฤคนั้นหนีไปได้.
พวกเหล่านั้นได้กระทำตามพระดำรัสนั้น แล้วพากันร้องขึ้น. พระราชาประทับ
ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งกับคนสองสามคน. บุรุษนั้นก็ยืนอยู่ไม่ห่าง. พระมหาสัตว์
ฟังเสียงนั้นแล้วดำริว่า เสียงของหมู่พลกองหลวง อันภัยของเราต้องเกิดจาก
บุรุษนั้น. พระมหาสัตว์นั้นลุกขึ้นมองทั่วบริษัทเห็นสถานที่ประทับยืน
แห่งพระราชานั้นคิดว่า ความสวัสดียังจักมีแก่เราได้ ควรที่เราจะไป ณ
ที่นั้นที่เดียว แล้วเดินมุ่งหน้าเฉพาะพระราชา. พระราชาทอดพระเนตรเห็น
มฤคนั้นกำลังเดินมา ทรงพระดำริว่า มฤคมีกำลังดังพญาช้าง น่าจะถาโถม
มาได้ ต้องสอดลูกศรไว้คอยขู่ให้มฤคนี้สะดุ้ง ถ้าหนีไป จักยิงทำให้ทรพลแล้ว
ค่อยจับเอา ทรงยกธนูขึ้นเล็งทรงพระโพธิสัตว์.
พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาสองคาถาว่า
พระเจ้าพาราณสี ทรงโก่งธนูสอดใส่ลูกศรไว้
เสด็จเข้าไปแล้ว ส่วนมฤคเห็นพระราชาแล้ว ได้ร้อง
กราบทูลไปแต่ไกลว่า ข้าแต่พระมหาราชผู้ประเสริฐ
โปรดทรงรอก่อน อย่าเพิ่งทรงยิงข้าพระบาทเสียเลย
ใครหนอได้กราบทูลความเรื่องนี้แก่พระองค์ว่า มฤค
ตัวนี้อยู่ ณ ไพรสณฑ์นี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อทชฺฌํ ความว่า ทรงโก่งธนูพร้อมกับ
สายและลูกศรไว้. บทว่า สนฺนยฺห แปลว่า สอดไว้แล้ว. บทว่า อาคเมหิ

ความว่า พญามฤคกล่าวด้วยวาจาอันไพเราะว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์
จงรอก่อน จงอย่ายิงข้าพระบาทเลย จงไว้ชีวิตข้าพระบาทเถิด.
พระราชาทรงคิดพระหฤทัยในมธุรกถาของพระโพธิสัตว์นั้น ทรงลด
ธนูลงประทับยืนด้วยพระอาการอันน่าเคารพ. พระมหาสัตว์ก็เข้าไปใกล้พระราชา
ทรงกระทำมธุรปฏิสันถาร แล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ฝ่ายมหาชนก็พากันวาง
อาวุธทั้งปวงเสีย ต่างมาแวดล้อมพระราชา. ขณะนั้นพระมหาสัตว์กราบทูล
ถามพระราชาด้วยเสียงอันไพเราะ ประหนึ่งคนสั่นกระดิ่งทองว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า โปรดทรงรอก่อน ข้าแต่
พระจอมรถ โปรดอย่าเพิ่งยิงข้าพระบาทเลย ใครหนอ
กราบทูลข้อนี้ แด่พระองค์ว่า พญามฤคนั้นพำนักอยู่
ที่นี้.

ขณะนั้นคนใจบาปถอยไปหน่อยหนึ่ง แล้วยืนอยู่ตรงนั้นเอง. พระราชา
เมื่อจะตรัสบอกว่า ผู้นี้แสดงแก่เรา จึงตรัสพระคาถาที่ 6 ว่า
ดูก่อนสหาย บุรุษผู้มีมารยาทอันเลวทราม ยืนอยู่
ห่าง ๆ นั่น บุรุษคนนั้นแหละ ได้บอกความเรื่องนี้
แก่เราว่า มฤคตัวนี้อยู่ ณ ไพรสณฑ์นี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาปจโร แปลว่า ผู้มีมารยาทเลวทราม.
พระมหาสัตว์ ครั้นติเตียนคนประทุษร้ายมิตรแล้ว เมื่อจะเจรจา
ปราศรัยกับพระราชา จึงกล่าวคาถาที่ 7 ว่า
ได้ยินว่า คนบางพวกในโลกนี้ กล่าวความจริง
ไว้อย่างนี้ว่า ไม้ลอยน้ำยังดีกว่า คนบางคนไม่ดีเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิปาวตํ แปลว่า ถูกช่วยเหลือไว้. บทว่า
เอกจฺจิโย ความว่า แต่บุคคลบางคนสันดานบาป มักประทุษร้ายมิตร แม้

กำลังจะตายในน้ำ ได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาได้ ก็ยังหาประเสริฐไม่. เพราะ
ท่อนไม้ยังเป็นไปเพื่ออุปการะโดยประการต่าง ๆ ส่วนคนประทุษร้ายมิตร มีแต่
จะล้างผลาญ เพราะเหตุนั้น ท่อนไม้ประเสริฐกว่าคนนั้นหนักหนา แต่ข้า-
พระบาทมิได้กระทำตามคำของท่านเหล่านั้น.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสพระคาถาต่อไปว่า
ดูก่อนพญามฤค เธอติเตียนพวกไหนแน่ ติเตียน
พวกมฤค พวกนก หรือพวกมนุษย์ เรามีความกลัว
ไม่น้อย เพราะได้ฟังเจ้าพูดภาษามนุษย์ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า มิคานํ พระราชาตรัสถามว่า เธอ
ติเตียนพวกมฤคตัวใดตัวหนึ่ง หรือพวกนก หรือพวกมนุษย์. บทว่า ภยํ หิ
มํ วนฺทติ
ความว่า เธอติเตียนเราผู้กลัวอยู่ เราออกจะครั่นคร้ามอยู่ไม่น้อย.
บทว่า อนปฺปรูปํ ได้แก่ มาก.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เมื่อจะแสดงว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า
ข้าพระบาทมิได้ติเตียนมฤคเป็นต้น แต่ติเตียนพวกมนุษย์กล่าวคาถาที่ 9 ว่า
ข้าพระองค์ช่วยยกขึ้นซึ่งบุรุษคนใด ผู้ลอยไปใน
ห้วงน้ำคงคา มีน้ำมากไหลเชี่ยว ภัยมาถึงข้าพระบาท
แล้ว เพราะบุรุษผู้นั้นเป็นเหตุ ข้าแต่พระมหาราชา
การสมาคมกับอสัตบุรุษทั้งหลาย นำทุกข์มาให้โดยแท้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วหเน ความว่า ในห้วงน้ำแม่น้ำคงคา
อันสามารถที่จะพัดพาผู้ที่ตกแล้ว ๆ ไปได้. บทว่า มโหทเก สลิเล ความว่า
มีน้ำมาก คือมีกระแสเชี่ยว. พระมหาสัตว์ แสดงห้วงน้ำคงคานั่นแหละ ว่ามี
น้ำมากด้วยบททั้งสอง. บทว่า ตโตนิทานํ ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า

บุคคลใดเล่าที่พระองค์ทรงชี้ให้ข้าพระบาทพูดนั้น กำลังลอยล่องไปในแม่น้ำ
คงคา ร้องไห้คร่ำครวญน่าสงสารอยู่ในเวลาเที่ยงคืน ข้าพระบาทช่วยเขาขึ้น
ไว้ได้ วันนี้ภัยมาถึงข้าพระบาท เพราะเขาเป็นต้นเหตุ ข้าแต่มหาราชเจ้า
ขึ้นชื่อว่า การสมาคมกับคนเลว ๆ ลำบาก พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงกริ้วเขา ทรงพระดำริว่า มันช่าง
ไม่รู้คุณของมหาสัตว์นี้ ชื่อว่ามีอุปการะมากเช่นนี้ ต้องยิงมันเสียให้ตาย แล้ว
ตรัสพระคาถาที่ 10 ว่า
เรานั้นจะปล่อยลูกศร 4 ปีกนี้แหวกไปในอากาศ
ให้ไปตัดตรงหัวใจ เราจักฆ่ามันผู้ประทุษร้ายมิตร
ผู้ไม่ทำกิจที่ควรทำ ไม่รู้จักผู้กระทำคุณให้เช่นท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตุปตฺตํ ความว่า ประกอบด้วยลูกศร
4 ปีก. บทว่า วิหงฺคมํ แปลว่า แหวกไปทางอากาศ. บทว่า คุจฺฉิทํ
แปลว่า เชือดเอาร่างกาย. บทว่า โอสชฺชามิ ความว่า เราจักปล่อยลูกศร
ไปตรงหัวใจเขา.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ดำริว่า ผู้นี้จงอย่าวอดวายเสียเพราะเราเลย
จึงกล่าวคาถาที่ 11 ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งประชาชน สัตบุรุษ
ทั้งหลาย ไม่สรรเสริญการฆ่าบัณฑิตและคนพาลเลย
คนผู้มีธรรมอันลามก จงกลับไปสู่เรือนของเขาตาม
ปรารถนาเถิด อนึ่ง ขอได้โปรดพระราชทานค่าจ้าง
ตามที่พระองค์ตรัสไว้แก่เขาด้วยเถิด อนึ่ง ข้าพระองค์
ขอทำความปรารถนาของพระองค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กามา ความว่า เขาจงไปบ้านเรือน
ของตนตามปรารถนา ตามความพอใจเถิด. บทว่า ยญฺจสฺส ภตฺตํ ตเทตสฺส
เทหิ
ความว่า โปรดจงประทานสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ว่า เราจักให้สิ่งนี้นั้นแก่
เขาด้วยเถิด. บทว่า กามกโร ความว่า ข้าพระองค์ขอเป็นผู้ทำตามประสงค์
คือพระองค์ทรงปรารถนาสิ่งใด ก็จงกระทำสิ่งนั้นเถิด หมายความว่า จะเสวย
เนื้อข้าพระองค์ก็ได้ จะกระทำข้าพระองค์ให้เป็นมฤคสำหรับกีฬาก็ได้ ข้า-
พระองค์จะปฏิบัติตามประสงค์ของพระองค์ทุกประการ.
พระราชาครั้นทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงพอพระหฤทัย เมื่อจะทรง
ชมเชยพระมหาสัตว์ จึงตรัสพระคาถาต่อไปว่า
ดูก่อนพญามฤค ท่านผู้ไม่ประทุษร้ายต่อมนุษย์
ผู้ประทุษร้าย นับเป็นผู้หนึ่งในจำนวนสัตบุรุษทั้งหลาย
เป็นแน่ คนผู้มีธรรมอันลามก จงกลับไปสู่เรือนของ
ตนตามความปรารถนา อนึ่ง เราจะให้ค่าจ้างที่เราพูด
ไว้แก่เขา และเราขอให้บ้านส่วยแก่ท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตํ โส ความว่า เธอต้องเป็นผู้หนึ่ง
ในบรรดาบัณฑิตทั้งหลายแน่นอน. บทว่า คามวรํ ความว่า พระราชาทรง
ประทานพรแก่พระมหาสัตว์ว่า เราเลื่อมใสในธรรมกถาของเธอ จะให้บ้านส่วย
ให้อภัยแก่ท่าน ตั้งแต่นี้ไป ขอท่านจงปลอดภัยเที่ยวไปตามความชอบใจ.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เมื่อจะลองหยั่งท้าวเธอดูว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
ธรรมดามนุษย์ ปากพูดไปอย่างหนึ่ง กระทำไปอย่างหนึ่งได้กล่าวคาถาสองคาถาว่า
ข้าแต่พระราชา เสียงของสุนัขจิ้งจอกก็ดี ของ
นกก็ดี รู้ได้ง่าย เสียงของมนุษย์รู้ได้ยาก ยิ่งกว่านั้น

อนึ่ง ผู้ใดเมื่อก่อนเป็นคนใจดี คนทั้งหลายนับถือว่า
เป็นญาติ เป็นมิตรหรือเป็นสหาย ภายหลังผู้นั้นกลับ
กลายเป็นศัตรูไปก็ได้ ใจของมนุษย์รู้ได้ยากอย่างนี้.

พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว ตรัสว่า พญามฤคอย่าได้หมิ่นฉันอย่างนี้
ฉันน่ะแม้จะละทิ้งราชสมบัติ ก็จักไม่ขอละทิ้งพรที่ให้แก่เธอเลย เชื่อเถิด
จงรับพรของฉันเถิด. พระมหาสัตว์เมื่อรับพรจากสำนักของท้าวเธอ ขอรับพร
คืออภัยทานแก่สรรพสัตว์ตั้งต้นแต่ตนไป. ฝ่ายพระราชาก็โปรดประทานพร
แล้วพาพระมหาสัตว์สู่พระนคร ตรัสสั่งให้ประดับพระนครและพระมหาสัตว์
เชิญให้แสดงธรรมแก่พระเทวี. พระมหาสัตว์แสดงธรรมแก่พระราชาและราช-
บริษัทตั้งต้นแต่พระเทวี ด้วยภาษามนุษย์อย่างไพเราะ ตักเตือนพระราชา
ด้วยทศพิธราชธรรมสั่งสอนมหาชนแล้วเข้าป่า แวดล้อมไปด้วยหมู่มฤค พำนัก
อาศัยอยู่. พระราชาทรงสั่งคนให้เที่ยวตีกลองร้องประกาศไปในพระนครว่า
เราให้อภัยแก่สรรพสัตว์ ฝูงเนื้อกินข้าวกล้าของหมู่คน ใคร ๆ ก็ไม่อาจห้าม
ได้. มหาชนพากันไปสู่ท้องพระลานหลวงร้องทุกข์ขึ้น.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
ชาวชนบทและชาวนิคมทั้งหลาย มาประชุม
พร้อมกันร้องทุกข์ว่า ฝูงเนื้อพากันมากินข้าว ขอ
พระองค์จงตรัสห้ามฝูงเนื้อนั้นเสียบ้าง พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เทโว ความว่า ขอพระองค์จงตรัสห้าม
หมู่เนื้อนั้น.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสสองพระคาถาว่า

ชนบทอย่าได้มี แม้แว่นแคว้นจะพินาศไป
ก็ตามทีเถิด เราให้อภัยแก่ฝูงเนื้อและนกยูงแล้ว ไม่
ขอประทุษร้ายพญาเนื้อรุรุเป็นอันขาด.
ชาวชนบทของเราจะไม่มีก็ตาม ชาวชนบทจะไม่
พูดกะเราก็ตาม เราได้ให้พรแก่พญาเนื้อไว้แล้ว จะไม่
พูดเท็จเป็นอันขาด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาสิ ความว่า ชาวชนบทของเราจะ
ไม่มีก็ตามที. บทว่า รุรุํ ความว่า เราได้ให้พรแก่พญาเนื้อชื่อว่ารุรุ ตัวมีสีดัง
ทองคำจักไม่ประทุษร้ายต่อนกทั้งหลายเลย.
มหาชนได้ฟังพระดำรัสของพระราชาแล้ว เมื่อไม่อาจจะกล่าวคำอะไรๆ
ได้จึงพากันหลีกไป. ถ้อยคำนั้นได้แพร่กระจายไปแล้ว. พระมหาสัตว์ได้ฟังเรื่อง
นั้นแล้ว จึงเรียกให้ฝูงเนื้อมาประชุมกัน กล่าวสอนว่า ตั้งแต่นั้นไปเจ้าทั้งหลาย
อย่าพากันกินข้าวกล้าของพวกมนุษย์เลย แล้วบอกแก่พวกมนุษย์ว่า จงพากัน
ผูกหุ่นหญ้าไว้ในไร่นาของตน ๆ เถิด. มนุษย์เหล่านั้นพากันทำตามนั้น ด้วย
เครื่องหมายนั้น ฝูงเนื้อไม่กินข้าวกล้า จนถึงทุกวันนี้.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนเทวทัตก็อกตัญญูเหมือนกัน
ทรงประชุมชาดกว่า เศรษฐีบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็นเทวทัต พระราชา
ได้มาเป็นอานนท์ ส่วนเนื้อรุรุคือเราตถาคตแล.
จบอรรถกถารุรุชาดก

10. สรภชาดก



ว่าด้วยละมั่งทำคุณแก่พระราชา


[1854] บุรุษพึงหวังไว้ทีเดียว บัณฑิตไม่พึง
เบื่อหน่าย เราเห็นตนอยู่ว่า ปรารถนาอย่างใด ได้เป็น
อย่างนั้น.

[1855] บุรุษพึงหวังไว้ทีเดียว บัณฑิตไม่พึง
เบื่อหน่าย เราเห็นตนอยู่ว่า ได้รับความช่วยเหลือให้
ขึ้นจากน้ำสู่บกได้.

[1856] บุรุษพึงพยายามไว้ทีเดียว บัณฑิตไม่
พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนอยู่ว่า ปรารถนาอย่างใด
ได้เป็นอย่างนั้น.

[1857] บุรุษพึงพยายามร่ำไป บัณฑิตไม่พึง
เบื่อหน่าย เราเห็นตนอยู่ว่า ได้รับความช่วยเหลือให้
ขึ้นจากน้ำสู่บกได้.

[1858] นรชนผู้มีปัญญา แม้ตกอยู่ในกองทุกข์
ก็ไม่ควรตัดความหวังในอันจะมาสู่ความสุข เพราะว่า
ผัสสะอันไม่เกื้อกูลและเกื้อกูลมีมาก คนที่ไม่ใฝ่ฝันถึง
เลยก็ต้องเข้าถึงความตาย.

[1859] สิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ย่อมมีได้บ้าง สิ่งที่คิด
ไว้ย่อมพินาศไปบ้าง โภคะทั้งหลายของสตรีหรือบุรุษ
จะสำเร็จได้ด้วยความคิดนึกไม่มีเสีย.