เมนู

9. รุรุมิคชาดก



ว่าด้วยน้ำใจของพญาเนื้อรุรุ


[1839] ใครบอกมฤค ซึ่งสูงสุดกว่ามฤคทั้งหลาย
นั้นแก่เราได้ เราจะให้บ้านส่วยและหญิงที่ประดับ
ประดาแล้วแก่ผู้นั้น.

[1840] ขอได้โปรดพระราชทานบ้านส่วย และ
หญิงที่ประดับประดาแล้วแก่ข้าพระองค์เถิด ข้าพระ-
องค์ จะกราบทูลมฤคซึ่งสูงสุดกว่ามฤคทั้งหลายแก่
พระองค์.

[1841] ณ ไพรสณฑ์นั้น มีต้นมะม่วงและต้น
รังทั้งหลาย ดอกบานสะพรั่ง พื้นที่แห่งไพรสณฑ์นั้น
ดารดาษไปด้วยติณชาติมีสีเหมือนแมลงค่อมทอง มฤค
ตัวนั้นอยู่ที่ไพรสณฑ์นั้น.

[1842] พระเจ้าพาราณสี ทรงโก่งธนูสอดใส่
ลูกศรไว้ เสด็จเข้าไปแล้ว ส่วนมฤคเห็นพระราชาแล้ว
ได้ร้องกราบทูลไปแต่ไกลว่า ข้าแต่พระมหาราชาผู้ประ-
เสริฐ โปรดทรงรอก่อน อย่าเพิ่งทรงยิงข้าพระบาท
เสียเลย ใครหนอได้กราบทูลความเรื่องนี้แก่พระองค์ว่า
มฤคตัวนี้อยู่ ณ ไพรสณฑ์นี้.

[1843] ดูก่อนสหาย บุรุษผู้มีมารยาทอันเลว
ทราม ยืนอยู่ห้าง ๆ นั่น บุรุษคนนั้นแหละ ได้บอก
ความเรื่องนี้แก่เราว่า มฤคตัวนี้อยู่ ณ ไพรสณฑ์นี้.

[1844] ได้ยินว่า คนบางพวกในโลกนี้ กล่าว
ความจริงไว้อย่างนี้ว่า ไม้ลอยน้ำยังดีกว่า คนบางคน
ไม่ดีเลย.

[1845] ดูก่อนพญามฤค เธอติเตียนพวกไหน
แน่ ติเตียนพวกมฤค พวกนก หรือพวกมนุษย์ เรามี
ความกลัวไม่น้อย เพราะได้ฟังเจ้าพูดภาษามนุษย์ได้.

[1846] ข้าพระองค์ช่วยยกขึ้นซึ่งบุรุษคนใด
ผู้ลอยไปในห้วงน้ำคงคา มีน้ำมากไหลเชี่ยว ภัยมาถึง
ข้าพระองค์แล้วเพราะบุรุษผู้นั้นเป็นเหตุ ข้าแต่พระ-
มหาราชา การสมาคมกับอสัตบุรุษทั้งหลาย นำทุกข์
มาให้โดยแท้.

[1847] เรานั้นจะปล่อยลูกศร 4 ปีกนี้แหวกไป
ในอากาศ ให้ไปตัดตรงหัวใจ เราจะฆ่ามันผู้ประทุษร้าย
มิตร ผู้ไม่ทำกิจที่ควรทำ ไม่รู้จักผู้กระทำคุณให้เช่น
ท่าน.

[1848] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งประชาชน
สัตบุรุษทั้งหลายไม่สรรเสริญการฆ่าบัณฑิตและคนพาล
เลย คนผู้มีธรรมอันลามก จงกลับไปสู่เรือนของเขา
ตามปรารถนาเถิด อนึ่ง ขอได้โปรดพระราชทานค่าจ้าง
ตามที่พระองค์ตรัสไว้แก่เขาด้วยเถิด อนึ่ง ข้าพระองค์
ขอทำความปรารถนาของพระองค์.

[1849] ดูก่อนพญามฤค ท่านผู้ไม่ประทุษร้าย
ต่อมนุษย์ผู้ประทุษร้ายนับเป็นผู้หนึ่งในจำนวนสัตบุรุษ
ทั้งหลายเป็นแน่ คนผู้มีธรรมอันลามก จงกลับไปสู่
เรือนของตนตามความปรารถนา อนึ่ง เราจะให้ค่าจ้าง
ที่เราพูดไว้แก่เขา และเราขอให้บ้านส่วยแก่ท่าน.

[1850] ข้าแต่พระราชา เสียงของสุนัขจิ้งจอก
ก็ดี ของนกก็ดี รู้ได้ง่าย เสียงของมนุษย์รู้ได้ยาก
ยิ่งกว่านั้น อนึ่ง ผู้ใดเมื่อก่อนเป็นคนใจดี คนทั้งหลาย
นับถือว่าเป็นญาติเป็นมิตร หรือเป็นสหาย ภายหลัง
ผู้นั้นกลับกลายเป็นศัตรูไปก็ได้ ใจของมนุษย์รู้ได้ยาก
อย่างนี้.

[1881] ชาวชนบทและชาวนิคมทั้งหลาย มา
ประชุมพร้อมกันร้องทุกข์ว่า ฝูงเนื้อพากันมากินข้าว
ขอพระองค์จงตรัสห้ามฝูงเนื้อนั้นเสียบ้าง พระเจ้าข้า.

[1882] ชนบทอย่าได้มี แม้แว่นแคว้นจะ
พินาศไป ก็ตามทีเถิด เราให้อภัยเเก่ฝูงเนื้อและนกยูง
แล้ว ไม่ขอประทุษร้ายพญาเนื้อรุรุเป็นอันขาด.

[1883] ชาวชนบทของเราจะไม่มีก็ตาม ชาว
ชนบทจะไม่พูดกะเราก็ตาม เราได้ให้พรแก่พญาเนื้อ
ไว้แล้ว จะไม่พูดเท็จเป็นอันขาด.

จบรุรุมิคชาดกที่ 9

อรรถกถารุรุชาดก*



พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ตสฺส คามวรํ
ทมฺมิ
ดังนี้.
เล่ากันมาว่า พระเทวทัตนั้น เมื่อพวกภิกษุพากันพูดว่า เทวทัตผู้มีอายุ
พระศาสดาทรงมีอุปการะเป็นอันมากแก่ท่าน ทั้งท่านได้บวชได้เรียนพระไตร-
ปิฎกร่ำรวยลาภสักการะ เพราะอาศัยพระตถาคตเจ้า กลับกล่าวว่า ผู้มีอายุ
ทั้งหลาย พระศาสดามิได้ทรงทำอุปการะแก่ผมแม้มาตรว่า ปลายเส้นหญ้า ผม
บวชเองทีเดียว เรียนพระไตรปิฎกก็ด้วยตนเองแหละ ร่ำรวยลาภสักการะก็ตนเอง.
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภากล่าวโทษของพระเทวทัตนั้น ทีเดียวว่า
ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตเป็นผู้อกตัญญูอกตเวที. พระศาสดาเสด็จมาตรัส
ถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่
ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู แม้ในครั้งก่อนก็เป็นคนอกตัญญู
เหมือนกัน แล้วตรัสว่า แม้ในกาลก่อนพระเทวทัตนี้ แม้เมื่อเราให้ชีวิตแล้ว
ก็ยังไม่รู้แม้เพียงคุณของเราดังนี้แล้ว จึงได้นำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี
เศรษฐีมีสมบัติ 80 โกฏิ ได้บุตรขนานนามเธอว่า มหาชนกะ คิดว่าเมื่อบุตร
เราเรียนศิลปะจักต้องลำบาก จึงไม่ยอมให้เรียนศิลปะอะไร ๆ เลย. เธอไม่รู้
อะไร ๆ นอกจากหากินอันได้มาจากการขับร้องฟ้อนรำและประโคม. เมื่อเธอ
เจริญวัยแล้ว มารดาบิดาก็จัดแจงตบแต่งให้มีภรรยาตามสมควร แล้วก็ล่วงลับ
บาลีเป็น รุรมิคชาดก