เมนู

อรรถกถาธรรมเทวปุตตชาดก



พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ
ปรารภถึงการที่แผ่นดินสูบพระเทวทัต จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า ยโสกโร ปุญฺญกโรหมสฺมิ ดังนี้.
ความย่อว่า ในครั้งนั้นพวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโส
ทั้งหลาย พระเทวทัตกลับเกรี้ยวกราดกับพระตถาคตเจ้า เลยถูกแผ่นดินสูบ
เสียแล้ว. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่ง
สนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ จึง
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตให้การ
ประหารในชินจักรของเรา ถูกแผ่นดินสูบ แม้ในกาลก่อน เธอก็เคยให้ประหาร
ในธรรมจักร ถูกแผ่นดินสูบบ่ายหน้าไปสู่อเวจีมหานรก ดังนี้แล้ว จึงได้นำ
อดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นเทพบุตรนามว่า ธรรม ในกามาวจรเทวโลก. ส่วน
พระเทวทัตเป็นเทพบุตร ชื่อว่า อธรรม. ในเทวบุตรที่ 2 องค์นั้น ธรรม
เทพบุตรประดับด้วยเครื่องอลังการอันเป็นทิพย์ ทรงรถทิพย์อันประเสริฐ
สนทนากันอย่างสบาย ที่ประตูเรือนของตน ๆ ก็สถิตอยู่ในอากาศ ณ คาม
นิคม ชนบทและราชธานี ในวันเพ็ญอันเป็นวันอุโบสถ ชวนหมู่ชนให้ถือมั่น
ซึ่งกุศลกรรมบถ 10 ประการว่า ท่านทั้งหลายจงงดเว้นจากอกุศลกรรมบถ
10 ประการ มีปาณาติบาตเป็นต้น พากันบำเพ็ญธรรม คือการบำรุงมารดา

ิดา ทั้งสุจริตธรรม 3 ประการทั่วกันเถิด เมื่อบำเพ็ญอยู่อย่างนี้ จักมีสวรรค์
เป็นที่ไปในเบื้องหน้า เสวยยศอันยิ่งใหญ่ ดังนี้ จึงกระทำประทักษิณชมพูทวีป.
ฝ่ายอธรรมเทพบุตร ชักชวนให้ถืออกุศลกรรมบถ 10 ประการ โดยนัยมีอาทิว่า
พวกเธอจงฆ่าสัตว์กันเถิด ดังนี้แล้ว จึงกระทำการเวียนซ้ายชมพูทวีป ลำดับนั้น
รถของเทพบุตรเหล่านั้น ได้มาพบกันในอากาศ. ต่อมาพวกบริษัทของเทพบุตร
เหล่านั้น ต่างถามกันว่า พวกท่านเป็นฝ่ายไหน พวกท่านเป็นฝ่ายไหนกัน.
ต่างตอบกันว่า พวกเราเป็นฝ่ายธรรมเทพบุตร พวกเราเป็นฝ่ายอธรรม
เทพบุตร จึงต่างพากันแยกทางหลีกเป็น 2 ฝ่าย. ฝ่ายธรรมเทพบุตร เรียก
อธรรมเทพบุตรมากล่าวว่า สหายเอ๋ย เธอเป็นฝ่ายอธรรม ฉันเป็นฝ่ายธรรม
หนทางสมควรแก่ฉัน เธอจงขับรถของเธอหลีกไป จงให้ทางแก่ฉันเถิด แล้ว
กล่าวคาถาที่ 1 ว่า
ดูก่อนอธรรมเทพบุตร ฉันเป็นผู้สร้างยศเป็น
ผู้สร้างบุญ สมณะและพราหมณ์พากันสรรเสริญ
ทุกเมื่อ อธรรมเอ๋ย ฉันชื่อว่าเป็นฝ่ายธรรม เป็นผู้
สมควรแก่หนทาง เป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์พากัน
บูชา ท่านจงให้หนทางแก่ฉันเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโสกโร ได้แก่ ฉันเป็นผู้สร้างยศให้
แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย แม้ในบทที่ 2 ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า
สทตฺถุโต คือ ได้รับความชื่นชมทุกเมื่อ สรรเสริญอยู่เป็นนิตย์.
ลำดับนั้น อธรรมเทพบุตรกล่าวว่า
ดูก่อนธรรมเทพบุตร เราผู้ชื่อว่าอธรรม ขึ้นสู่
ยานแห่งอธรรม อันมั่นคงไม่เคยกลัวใคร กำลัง

เข้มแข็ง ธรรมเอ๋ย เราจะพึงให้ทางที่ไม่เคยให้ใคร
แก่ท่านในวันนี้ เพราะเหตุอะไรเล่า.
ธรรมแลปรากฏก่อน ภายหลังอธรรมจึงเกิดขึ้น
ในโลก เราเป็นผู้เจริญว่า ประเสริฐกว่า ทั้งเก่ากว่า
ขอจงให้ทางแก่เราเถิด น้องเอ๋ย.
เราจะไม่ให้หนทางแก่ท่าน เพราะการขอร้อง
หรือเพราะความเป็นผู้สมควร ในวันนี้เราทั้งสองจงมา
รบกัน แล้วหนทางจะเป็นของผู้ชนะในการรบ.
เราผู้ชื่อว่า ธรรม เป็นผู้ลือชาปรากฏไปทั่วทุกทิศ
มีกำลังมาก มียศประมาณไม่ได้ ไม่มีผู้เสมอเหมือน
ประกอบด้วยคุณทั้งปวง อบรมเอ๋ย ท่านจะชนะได้
อย่างไร.
เขาเอาค้อนเหล็กตีทองอย่างเดียว หาได้เอาทอง
มาตีเหล็กไม่ ถ้าหากว่าเราผู้ชื่อว่า อธรรม ฆ่าท่าน
ผู้ชื่อว่าธรรม ในวันนี้ได้ เหล็กจะน่าดูน่าชมเหมือน
ทองคำฉะนั้น.
ดูก่อนอธรรมเทพบุตร ถ้าหากว่าท่านเป็นผู้มี
กำลังในการรบไซร้ ผู้หลักผู้ใหญ่และครูของท่าน
มิได้มี เราจะยอมให้ทนทางอันเป็นที่รักด้วยอาการ
อันไม่เป็นที่รักของท่าน ทั้งจะอดทนถ้อยคำชั่ว ๆ
ของท่าน.

คาถาทั้ง 6 นี้ ท่านกล่าวไว้ด้วยสามารถเป็นคำโต้ตอบของเทพบุตร
เหล่านั้นนั่นแล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ส กิสฺส เหตุมฺหิ ตวชฺชทชฺชํ ความว่า
ก็แล ข้าพเจ้านั้นชื่อว่า อธรรม ขึ้นรถอันเป็นยานของอธรรมแล้ว ไม่เคย
กลัวต่อใคร มีกำลัง ธรรมเอ๋ย เหตุไรในวันนี้ ข้าพเจ้าจะให้ทางที่ไม่เคยให้
ใคร ๆ แก่เจ้าเล่า. บทว่า ปุพฺเพ ความว่า ธรรมคือกุศลกรรมบถ 10 ประการ
ปรากฏแล้วในโลกนี้ก่อนทีเดียว ในกาลเริ่มปฐมกัป อธรรมเกิดขึ้นภายหลัง.
ด้วยบทว่า เชฏฺโฐ จ นี้ ธรรมกล่าวว่า เพราะความที่ธรรมบังเกิดก่อน
ฉันจึงเจริญกว่า ประเสริฐกว่า เก่ากว่า ส่วนเธอเป็นน้อง เหตุนั้น เธอจง
หลีกทางไป. บทว่า นปิ ปาฏิรูปา ความว่า ข้าพเจ้าจะไม่ขอยอมให้หนทาง
แก่เจ้าเด็ดขาด จะด้วยคำขอร้อง ด้วยคำที่พูดสมควร ด้วยเหตุที่ควรให้หนทาง
ทั้งนั้นแหละ. บทว่า อนุสโฏ ความว่า ฉันมีชื่อเสียงแผ่ไปแล้ว เลื่องลือ
ไปแล้ว ปรากฏเด่นทั่วทุกทิศ คือ ในทิศใหญ่ 4 ทิศ ในทิศน้อย 4 ทิศ.
บทว่า โลเหน ได้แก่ ด้วยค้อนเหล็ก. บทว่า หญฺญติ แปลว่า จักฆ่าเสีย
ให้ได้. บทว่า ยุทฺธหโล อธมฺม ความว่า ถ้าเธอเป็นผู้มีกำลังในการรบ.
บทว่า วุฑฺฒา จ คุรู จ ความว่า ถ้าท่านเหล่านี้ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ท่าน
เหล่านี้เป็นครู เป็นบัณฑิตของท่าน อย่างนี้ย่อมมีไม่ได้. บทว่า ปิยาปฺปิเยน
ความว่า ฉันเมื่อจะให้ทั้งด้วยอาการอันเป็นที่รัก ทั้งด้วยอาการอันไม่เป็นที่รัก
ก็จะให้ทางอันเป็นที่รักแก่เธอ ด้วยอาการอันเป็นที่รัก.
ก็แล ในขณะที่พระโพธิสัตว์ กล่าวคาถานี้จบลงนั่นเอง อธรรมก็ไม่
อาจจะดำรงอยู่บนรถได้ หกคะเมนตกลง ณ เบื้องปฐพี ครั้นปฐพีเปิดช่องให้
ก็ไปบังเกิดในอเวจีมหานรกนั่นแล. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงทราบเนื้อ
ความนี้แล้ว ได้เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ได้ตรัสคาถาที่เหลือ ดังนี้ว่า

อธรรมเทพบุตรได้ฟังคำนี้แล้ว ก็เป็นผู้มีศีรษะ
ลงเบื้องต่ำ มีเท้าขึ้นเบื้องสุดตกลงจากรถ รำพันเพ้อว่า
เราปรารถนาจะรบก็ไม่ได้รบ อธรรมเทพบุตรถูก
ตัดรอนเสียแล้ว ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้.
ธรรมเทพบุตร ผู้มีขันติเป็นกำลัง มีจิตเที่ยงตรง
มีกำลังมาก มีความบากบั่นอย่างแท้จริง ชำนะกำลังรบ
ได้ฆ่าอธรรมเทพบุตร ฝังเสียในแผ่นดินแล้ว ขึ้นสู่รถ
ของตน ไปโดยหนทางนั่นแล.
มารดาบิดาและสมณพราหมณ์ ไม่ได้รับความ
นับถือในเรือน ของชนเหล่าใด ชนเหล่านั้น ครั้น
ทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลกนี้ ตายไปแล้วย่อมต้องพา
กันไปสู่นรก เหมือนอธรรมเทพบุตร มีศีรษะลงใน
เบื้องต่ำ ตกไปแล้ว ฉะนั้น.
มารดาบิดาและสมณพราหมณ์ ได้รับความนับถือ
เป็นอย่างดีในเรือนของชนเหล่าใด ชนเหล่านั้น ครั้น
ทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลกนี้ตายไปแล้ว ย่อมพากันไป
สู่สุคติ เหมือนธรรมเทพบุตรขึ้นสู่รถของตนไปสู่
เทวโลก ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยุทฺธตฺถิโก เว ได้แก่ เขามีความบ่นเพ้อ
ดังนี้. ได้ยินว่า เขากำลังบ่นเพ้ออยู่นั่นแล ตกจมแผ่นดินไปแล้ว. บทว่า
เอตฺตาวตา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อธรรมจมแผ่นดินไปเพียงใด
อธรรมชื่อว่าถูกกำจัดแล้วเพียงนั้น. บทว่า ขนฺติพโล ความว่า ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย อธรรมเทพบุตรจมแผ่นดินไปอย่างนี้แล้ว ธรรมเทพบุตรเป็นผู้มี
กำลังคืออธิวาสนขันติ ชำนะพลรบฆ่าแล้วฝังไว้ในแผ่นดิน ให้ตกไป มีจิต
แน่นอน เพราะเกิดความคิดขึ้น จึงขึ้นสู่รถของตน มีความบากบั่นอย่างแท้จริง
ได้ไปตามหนทางนั่นแล. บทว่า อสมฺมานิตา แปลว่า อันเขาไม่สักการะ.
บทว่า สรีรเทหํ ความว่า ได้ทอดทิ้งกายกล่าวคือสรีระในโลกนี้เอง. บทว่า
นิรยํ วชนฺติ ความว่า ชนเหล่านั้น ผู้สมควรแก่สักการะ อันคนชั่วใดไม่
สักการะในเรือน เหล่าคนชั่วเห็นปานนั้น ย่อมหกคะเมนลงสู่นรก เหมือน
อธรรมเทพบุตร เอาศีรษะตกลงไปเบื้องต่ำ ฉะนั้น. บทว่า สุคตึ วชนฺติ
ความว่า เหล่าบัณฑิตผู้เป็นเช่นนั้น อันผู้ใดสักการะแล้ว ผู้นั้นย่อมไปสู่สุคติ
เหมือนธรรมเทพบุตรขึ้นสู่รถรบไปเทวโลก ฉะนั้น.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่ในบัดนี้อย่างเดียวเท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระเทวทัต
ก็กราดเกรี้ยวโต้กับเรา ถูกแผ่นดินสูบไปแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า อธรรม
เทพบุตร
ในกาลนั้น ได้เป็นพระเทวทัต แม้บริษัทของอธรรมเทพบุตรนั้น
ก็ได้เป็นบริษัทของพระเทวทัต ส่วนธรรมเทพบุตร ก็คือเราตถาคตนั่นเอง
ส่วนบริษัท ได้มาเป็นพุทธบริษัทนี้นั่นแล.
จบอรรถกถาธรรมเทวปุตตชาดก

4. อุทยชาดก



ว่าด้วยบารมี 10 ทัศ



[1526] ดูก่อนพระนาง ผู้มีพระวรกายงามหาที่
ติมิได้ มีช่วงพระเพลากลมกลึงผึ่งผาย ทรงวัตถาภรณ์
อันสะอาด เสด็จขึ้นสู่ปราสาทประทับนั่งอยู่พระองค์
เดียว ดูก่อนพระนางผู้มีพระเนตรงามดังเนตรกินนร
หม่อมฉันขอวิงวอนพระนาง เราทั้งสองควรอยู่ร่วมกัน
ตลอดคืนหนึ่งนี้.

[1527] นครนี้มีคูรายรอบ มีป้อมแลซุ้มประตู
มั่นคง มีหมู่ทหารถือกระบี่รักษา ยากที่ใครๆ จะเข้าได้
ทหารนักรบหนุ่มก็ไม่มีเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่าน
ปรารถนามาพบข้าพเจ้าด้วยเหตุอะไรหนอ.

[1528] ดูก่อนพระนางผู้เลอโฉม หม่อมฉัน
เป็นเทพบุตรมาในตำหนักของพระนาง ดูก่อนพระนาง
ผู้เจริญ เชิญพระนางชื่นชมกับหม่อมฉันเถิด หม่อมฉัน
จะถวายถาดทอง อันเต็มด้วยเหรียญทองแก่นาง.

[1529] นอกจากเจ้าชายอุทัยแล้ว ข้าพเจ้าไม่
พึงปรารถนาเทวดา ยักษ์ หรือมนุษย์ผู้อื่นเลย ดูก่อน
เทพบุตรผู้มีอานุภาพมาก ท่านจงไปเสียเถิด อย่ากลับ
มาอีกเลย.