เมนู

4. จุลลนารทกัสสปชาดก



ว่าด้วยพิษเหวเปือกตมและอสรพิษ


[1764] ฟืนเจ้าก็มิได้หัก น้ำเจ้าก็มิได้ตักเอามา
แม้กองไฟเจ้าก็มิได้ก่อให้ลุกโพลง เหตุไรหนอ เจ้าจึง
เป็นเหมือนคนโง่เขลานอนซบเซาอยู่.

[1765] ข้าแต่คุณพ่อกัสสปะ ผมอดทนอยู่ใน
ป่าไม่ได้ ผมจะขอลาคุณพ่อไป การอยู่ในป่าลำบาก
ผมปรารถนาจะไปสู่บ้านเมือง.

[1766] ข้าแต่คุณพ่อผู้เป็นดุจพรหม ผู้ออก
จากป่านี้ไปอยู่ ณ ชนบทใด ๆ จะพึงศึกษาขนบ-
ธรรมเนียมที่ชาวชนบทเขาประพฤติกันอย่างไร ขอ
คุณพ่อจงพร่ำสอนขนบธรรมเนียมนั้นแก่ผมด้วยเถิด.

[1767] ถ้าเจ้าละป่า เหง้ามันและผลไม้ในป่า
พึงพอใจอยู่ในบ้านเมือง เจ้าจงสำเหนียกจารีตของ
ชนบทนั้นของเราไว้.

[1768] เจ้าจงอย่าเสพของมีพิษ จงเว้นเหว
โดยเด็ดขาด อย่าจมอยู่ในเปือกตม ในที่ใกล้อสรพิษ
จงเตรียมตัวให้พร้อม.

[1769] ผมขอถาม คุณพ่อกล่าวอะไรว่าเป็นพิษ
เป็นเหว เป็นเปือกตม เป็นอสรพิษของพรหมจรรย์

ผมถามแล้ว ขอคุณพ่อโปรดบอกความข้อนั้นแก่ผม
เถิด.

[1770] ดูก่อนพ่อนารทะ น้ำดองในโลกเขา
เรียกชื่อว่าสุรา สุรานั้นทำใจให้ฮึกเหิม มีกลิ่นหอม
ทำให้พูดมาก มีรสหวานแหลมปานน้ำผึ้ง พระอริยะ
ทั้งหลายกล่าวสุรานั้น ว่าเป็นพิษของพรหมจรรย์.

[1771] ดูก่อนพ่อนารทะ หญิงในโลกย่อมย่ำยี
บุรุษผู้ประมาทแล้ว หญิงเหล่านั้นย่อมจูงจิตของบุรุษ
ไป เหมือนลมพัดปุยนุ่นที่หล่นจากต้นไป ฉะนั้น นี่
บัณฑิตกล่าวว่าเป็นเหวของพรหมจรรย์.

[1772] ดูก่อนพ่อนารทะ ลาภ สรรเสริญ
สักการะและการบูชาในตระกูลอื่น ๆ นี่บัณฑิตกล่าว
ว่าเป็นเปือกตมของพรหมจรรย์.

[1773] ดูก่อนพ่อนารทะ พระราชาผู้เป็นใหญ่
ครอบครองแผ่นดินนี้ เจ้าอย่าเข้าไปใกล้พระราชาผู้
เป็นใหญ่ เป็นจอมมนุษย์เช่นนั้น.

[1774] ดูก่อนพ่อนารทะ เจ้าอย่าเที่ยวไปใกล้
บาทมูลแห่งพระราชาทั้งหลาย ผู้เป็นอิสระและเป็น
อธิบดีเหล่านั้น พระราชานั้น บัณฑิตกล่าวว่าเป็น
อสรพิษของพรหมจรรย์.

[1775] บุคคลผู้ต้องการอาหารในเวลาอาหาร
พึงเข้าไปใกล้เรือนใด พึงรู้กุศล คือ อโคจร 5 ที่ควร

เว้นในสกุลนั้น แล้วพึงเที่ยวแสวงหาอาหารในเรือน
นั้น บุคคลเข้าไปสู่ตระกูลอื่นเพื่อปานะหรือโภชนะ
แล้ว พึงรู้จักประมาณบริโภคแต่พอควร และไม่พึง
ใส่ใจในรูปหญิง.

[1776] เจ้าจงเว้นให้ห่างไกลซึ่งการตั้งคอกโค
ร้านขายสุรา คนเกเร ที่ประชุมและขุมทรัพย์ทั้งหลาย
เหมือนบุคคลผู้ไปด้วยยาน เว้นหนทางอันไม่ราบเรียบ
ฉะนั้น.

จบจุลลนารทกัสสปชาดกที่ 4

อรรถกถาจุลลนารทกัสสปชาดก


พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภการประเล้าประโลมของสาวเทื้อ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า น เต กฏฺฐานิ ภินฺนานิ ดังนี้.
เล่ากันมาว่า ธิดาของสกุลชาวกรุงสาวัตถีผู้หนึ่ง มีอายุประมาณ
15-16 ปี เป็นหญิงมีรูปเลอโฉม แต่ไม่มีใครสู่ขอนาง. ลำดับนั้น มารดา
ของนางคิดว่า ธิดาของเราเป็นสาวแล้ว แต่ไม่มีใครสู่ขอนางเลย เราต้องใช้
นางล่อประเล้าประโลมภิกษุของพระศากยะรูปหนึ่ง เหมือนล่อปลาด้วยเหยื่อ
ให้สึกเสียจนได้ แล้วจักอาศัยเธอเลี้ยงชีพ. ครั้งนั้น กุลบุตรชาวกรุงสาวัตถี
ผู้หนึ่ง บวชถวายชีวิตในพระศาสนา ตั้งแต่กาลที่อุปสมบทแล้ว ก็ละทิ้ง