เมนู

อรรถกถาชวนหังสชาดก



พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภพระเทศนาทัฬหธัมมธนุคคหสูตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า อิเธว หํส นิปต ดังนี้.
ความพิสดารว่า จำเดิมแต่วันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระสูตรนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน นายขมังธนูมีธรรมมั่นคง 4 นาย ฝึกฝนดี
แล้วมีมือได้ฝึกปรือแล้ว ยิงแม่นยำ ยืน 4 ทิศ ลำดับนั้น บุรุษคนหนึ่งมา
เราจักจับลูกศรของนายขมังธนูผู้มีธรรมมั่นคง 4 นาย เหล่านี้ ที่ฝึกฝนดีแล้ว
มีมือได้ฝึกปรือแล้วยิงแม่นยำ ยิงไปทั้ง 4 ทิศไม่ทันตกถึงดินเลย แล้วนำมา
ให้ได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นอย่างไร บุรุษผู้วิ่ง
ไปด้วยความเร็ว ต้องประกอบด้วยความเร็วอย่างยอดเยี่ยม เมื่อภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลรับว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเร็ว
ของบุรุษจะเป็นปานใด ความเร็วของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ยังเร็วกว่านั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเร็วของบุรุษนั้นจะเร็วปานใดเล่า อนึ่งเล่า ฝูงเทวดา
ย่อมเหาะไปข้างหน้าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ความเร็วของหมู่เทวดานั้น เร็ว
ยิ่งกว่าความเร็วของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเร็วของ
บุรุษนั้น ความเร็วของหมู่เทวดาเหล่านั้นปานใด อายุสังขารย่อมสิ้นไปเร็วกว่า
นั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกในข้อนั้น
อย่างนี้ว่า พวกเราต้องละความกระหายด้วยอำนาจความกำหนัดในกามทั้งหลาย
ที่บังเกิดแล้วเสียให้ได้ อนึ่ง จิตของพวกเราต้องไม่ตั้งยึดความกระหายด้วย
อำนาจความกำหนัดในกามทั้งหลายไว้เลย พวกเราต้องเป็นผู้ไม่ประมาท
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้องสำเหนียกอย่างนี้ทีเดียว ดังนี้ ในวันที่ 2

พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระศาสดาทรงดำรง
ในพุทธวิสัยของพระองค์ ทรงชี้แจงถ้วนถี่ถึงอายุสังขารของสัตว์เหล่านี้ กระทำ
ให้เป็นของชั่วประเดี๋ยว ทรพล ให้พวกภิกษุที่เป็นปุถุชนพากันถึงความสะดุ้งใจ
อย่างล้นพ้น โอ ธรรมดาพระพุทธพลอัศจรรย์นะ. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุ
เหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่น่าอัศจรรย์
เลย ที่เรานั้นบรรลุสัพพัญญุตญาณแล้วในบัดนี้ ชี้แจงถึงอายุสังขารในหมู่สัตว์
เป็นภาวะชั่วประเดี๋ยว แสดงธรรมให้พวกภิกษุสลดใจได้ เพราะในปางก่อน
ถึงเราจะบังเกิดในกำเนิดหงส์เป็นอเหตุกสัตว์ ก็เคยชี้แจงความที่สังขารทั้งหลาย
เป็นสภาวะชั่วคราว แสดงธรรมให้บริษัททั้งสิ้น ตั้งต้นแต่พระเจ้าพาราณสี
สลดได้แล้ว ทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดชวนหงส์ มีหงส์เก้าหมื่นเป็นบริวาร อาศัยอยู่
ภูเขาจิตตกูฏ วันหนึ่งพระโพธิสัตว์ พร้อมด้วยบริวารเคี้ยวกินข้าวสาลี
เกิดเองในสระแห่งหนึ่ง ณ พื้นชมพูทวีปบินไปสู่เขาจิตตกูฏ ด้วยการบินไปอัน
งดงามระย้าระยับ ทางเบื้องบนแห่งกรุงพาราณสีกับบริวารเป็นอันมาก
ประหนึ่งบุคคลลาดลำแพนทองไว้บนอากาศฉะนั้นทีเดียว. ครั้งนั้น พระเจ้า
พาราณสีทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์นั้น ตรัสแก่พวกอำมาตย์ว่า อันหงส์
แม้นี้คงเป็นพระราชาเหมือนเรา บังเกิดพระสิเนหาในพระโพธิสัตว์นั้น ทรง
ถือดอกไม้ของหอมและเครื่องประเทืองผิว ทอดพระเนตรดูพระโพธิสัตว์นั้น
พลางรับสั่งให้ประโคมดนตรีทุกอย่าง. พระมหาสัตว์เห็นท้าวเธอทรงกระทำ
สักการะแก่ตน จึงถามฝูงหงส์ว่า พระราชาทรงกระทำสักการะเห็นปานนี้แก่เรา

ทรงพระประสงค์อะไรเล่า. ฝูงหงส์พากันตอบว่า ข้าแต่สมมติเทพ ทรงพระ-
ประสงค์มิตรภาพกับพระองค์พระเจ้าข้า. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น
มิตรภาพของพวกเราจงมีแก่พระราชาเถิด กระทำมิตรภาพแก่พระราชาแล้ว
หลีกไป.
อยู่มาวันหนึ่ง ในเวลาที่พระราชาเสด็จสู่พระอุทยาน พระโพธิสัตว์
บินไปสู่สระอโนดาต ใช้ปีกข้างหนึ่งนำน้ำมา ข้างหนึ่งนำผงจันทน์มา ให้
พระราชาทรงสรงสนานด้วยน้ำนั้น โปรยผงจันทน์ถวาย เมื่อมหาชนกำลังดูอยู่
นั่นแหละ ได้พาบริวารบินไปสู่เขาจิตตกูฏ. จำเดิมแต่นั้น พระราชาปรารถนา
จะเห็นพระมหาสัตว์ ก็ประทับทอดพระเนตรทางที่มา ด้วยทรงพระอาโภคว่า
สหายของเราคงมาวันนี้. ครั้งนั้น ลูกหงส์สองตัวเป็นน้องเล็กของพระมหาสัตว์
ปรึกษากันว่า เราจักบินแข่งกับพระอาทิตย์ บอกแก่พระมหาสัตว์ว่า ฉันจัก
บินแข่งกับดวงอาทิตย์. พระมหาสัตว์กล่าวว่า พ่อเอ๋ย อันความเร็วของดวง
อาทิตย์เร็วพลัน เธอทั้งสองจักไม่สามารถบินแข่งกับดวงอาทิตย์ได้ดอก จัก
ต้องย่อยยับเสียในระหว่างทีเดียว อย่าพากันไปเลยนะ. หงส์เหล่านั้นพากัน
อ้อนวอนถึงสองครั้งสามครั้ง. แม้พระโพธิสัตว์ก็คงห้ามหงส์ทั้งสองนั้นตลอด
สามครั้งเหมือนกัน หงส์ทั้งสองนั้น ดื้อดันด้วยมานะ ไม่รู้กำลังของตน ไม่
บอกแก่พระมหาสัตว์เลย คิดว่า เราจักบินแข่งกับดวงอาทิตย์ เมื่อดวงอาทิตย์
ยังไม่ทันขึ้นไปเลย พากันบินไปจับอยู่ ณ ยอดเขายุคนธร. พระมหาสัตว์
ไม่เห็นหงส์ทั้งสองนั้น ถามว่า หงส์ทั้งสองนั้นไปไหนกันเล่า ได้ฟังเรื่องนั้น
แล้วคิดว่า หงส์ทั้งสองนั้น ไม่อาจแข่งกับดวงอาทิตย์ จักพากันย่อยยับเสีย
ระหว่างทางเป็นแม่นมั่น เราต้องให้ชีวิตทานแก่หงส์ทั้งสองนั้น แม้พระ-
มหาสัตว์ก็บินไปจับอยู่ที่ยอดเขายุคนธรเช่นเดียวกัน ครั้นเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น
แล้ว หงส์ทั้งคู่ก็บินถลาขึ้นไปกับดวงอาทิตย์. ฝ่ายพระมหาสัตว์เล่าก็บินไปกับ

หงส์ทั้งสองนั้น. น้องเล็กแข่งไปได้เพียงเวลาสายก็อิดโรย ได้เป็นดุจเวลาที่
จุดไฟขึ้นที่ข้อต่อแห่งปีกทั้งหลาย. น้องเล็กนั้นจึงให้สัญญาแก่พระโพธิสัตว์ให้
ทราบว่า พี่จ๋า ฉันบินไม่ไหวแล้ว.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ปลอบเธอว่าอย่ากลัวเลยนะ ฉันจักให้ชีวิต
แก่เธอ ประคองไว้ด้วยอ้อมปีก ให้เบาใจไปสู่เขาจิตตกูฏ มอบไว้ท่าม
กลางฝูงหงส์ บินไปอีกทันดวงอาทิตย์ แล้วบินชลอไปกับน้องกลาง. บิน
แข่งกับดวงอาทิตย์ไปจนถึงเวลาจวนเที่ยง ก็อิดโรย. ได้เป็นดุจเวลาที่
จุดไฟขึ้นที่ข้อต่อแห่งปีกทั้งหลาย ลำดับนั้น ก็ให้สัญญาแก่พระโพธิสัตว์
ให้ทราบว่า พี่จ๋า ฉันไปไม่ไหวละ. พระมหาสัตว์ปลอบโยนหงส์แม้นั้นโดย
ทำนองเดียวกัน ประคองด้วยอ้อมปีก ไปสู่เขาจิตตกูฏ. ขณะนั้นดวงอาทิตย์
ถึงท่ามกลางฟ้าพอดี ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ดำริว่า วันนี้เราจักทดลองกำลัง
แห่งสรีระของเราดู แล้วบินไปด้วยความเร็วรวดเดียวเท่านั้น จับยอดเขายุคนธร
ถลาขึ้นจากนั้น ใช้กำลังรวดเดียวเหมือนกันทันดวงอาทิตย์ บางคราวก็แข่งไป
ข้างหน้า บางคราวก็ไล่หลัง ได้คิดว่า อันการบินแข่งกับดวงอาทิตย์ของเรา
ไร้ประโยชน์ เกิดประดังจากการทำในใจโดยไม่แยบคาย เราจะต้องการอะไร
ด้วยประการนี้ เราจักไปสู่พระนครพาราณสี กล่าวถ้อยคำประกอบด้วยอรรถ
ประกอบด้วยธรรม แก่พระราชาสหายของเรา. พระมหาสัตว์นั้นหันกลับ เมื่อ
ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันโคจรผ่านท่านกลางฟ้าไปเลย บินเลียบตามท้องจักรวาล
ทั้งสิ้น โดยที่สุดถึงที่สุดลดความเร็วลง บินเลียบชมพูทวีปทั้งสิ้น โดยที่สุด
ถึงที่สุด ถึงกรุงพาราณสี. พระนครทั้งสิ้นอันมีบริเวณได้ 12 โยชน์ ได้เป็น
ดุจหงส์กำบังไว้ ชื่อว่าระยะทางไม่ปรากฏเลย ครั้นความเร็วลดลงโดยลำดับ
ช่องในอากาศจึงปรากฏได้. พระมหาสัตว์ผ่อนความเร็วลง ร่อนลงจากอากาศ

ได้จับอยู่ ณ ที่เฉพาะช่องพระสีหบัญชร. พระราชาตรัสว่า สหายของเรามา
ตรัสสั่งให้จัดตั้งตั่งทอง เพื่อให้พระโพธิสัตว์เกาะ ตรัสว่า สหายเอ๋ย เชิญ
ท่านเข้ามาเถิด เกาะที่ตรงนี้เถิด ดังนี้ตรัสพระคาถาที่ 1 ว่า
ดูก่อนหงส์ เชิญเกาะที่ตั่งทองนี้เถิด การได้เห็น
ท่านชื่นใจฉันจริง ท่านเป็นอิสระในสถานที่นี้ ท่าน
มาถึงแล้ว รังเกียจสิ่งใดที่มีอยู่ในนิเวศน์นี้ จงบอก
สิ่งนั้นให้ทราบเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิธ แปลว่า ที่ตรงนี้พระราชาตรัสหมายเอา
ตั่งทอง. บทว่า นิปต แปลว่า เชิญจับอยู่. ด้วยบทว่า อิสฺสโรสิ นี้
พระราชาตรัสว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่ เป็นเจ้าของที่นี้มาแล้ว. บทว่า ยํ อิธตฺถิ
ความว่า สิ่งใดมีอยู่ในนิเวศน์นี้ ท่านไม่ต้องเกรงใจ จงบอกแก่ฉันถึงสิ่งนั้น
พระมหาสัตว์จับอยู่ที่ตั่งทอง. พระราชารับสั่งให้คนทาช่องปีกของ
พระมหาสัตว์นั้น ด้วยน้ำมันที่หุงซ้ำ ๆ ได้แสนครั้ง รับสั่งให้เอาข้าวตอกคลุก
ด้วยน้ำผึ้งและน้ำตาลกรวด ใส่จานทองพระราชทาน ทรงกระทำปฏิสันถาร
อันอ่อนหวาน ตรัสถามว่า สหายเอ๋ย ท่านมาลำพังผู้เดียวไปไหนมาเล่า.
พระมหาสัตว์นั้นเล่าเรื่องนั้นโดยพิสดาร. ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะพระ-
มหาสัตว์นั้นว่า สหายเอ๋ย เชิญท่านแสดงความเร็วชนิดที่แข่งกับดวงอาทิตย์
ให้ฉันดูบ้างเถิด. พระมหาสัตว์จึงทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชหม่อมฉันไม่สามารถ
ที่จะแสดงความเร็วชนิดนั้นได้. พระราชาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นเชิญเธอแสดง
เพียงขนาดที่พอเห็นสมกันแก่ฉันเถิด. พระมหาสัตว์ทูลว่า ได้ซิ มหาราช

หม่อมฉันจักแสดงความเร็วขนาดที่พอเห็นสมถวาย พระองค์โปรดดำรัสสั่งให้
นายขมังธนูผู้ยิงรวดเร็วประชุมกันเถิด. พระราชาทรงให้นายขมังธนูประชุม
กันแล้ว. พระมหาสัตว์คัดนายขมังธนูได้ 4 นาย ซึ่งเป็นเยี่ยมกว่าทุก ๆ คน
ลงจากพระราชนิเวศน์ ให้ฝังเสาศิลา ณ ท้องพระลานหลวง ให้ผูกลูกศรที่คอ
ของตนจับอยู่ที่ยอดเสา ส่วนนายขมังธนูทั้ง 4 นาย ให้ยืนพิงเสาศิลาผินหน้าไป
4 ทิศ ทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช คน 4 คนเหล่านี้ จงยิงลูกศร 4 ลูก
ตรงไปทางทิศทั้ง 4 โดยประดังพร้อมกัน หม่อมฉันจะเก็บลูกศรเหล่านั้นมา
มิให้ทันตกดินเลย แล้วทิ้งลงแทบเท้าของคนเหล่านั้น พระองค์พึงทรงทราบ
การที่หม่อมฉันไปเก็บลูกศรด้วยสัญญาแห่งเสียงลูกศร แต่หม่อมฉันจักไม่
ปรากฏเลย แล้วเก็บลูกศรที่นายขมังธนูทั้ง 4 ยิงไปพร้อมกันทันทีหลุดพ้นไป
จากสายแล้ว มาทิ้งลงตรงใกล้ ๆ เท้าของนายขมังธนูเหล่านั้น แสดงตนจับอยู่
ณ ยอดแห่งเสาศิลานั้นเอง กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ความเร็วของ
หม่อมฉันนี้ มิใช่ความเร็วอย่างสูงสุดดอก มิใช่ความเร็วปานกลาง เป็นความ
ขนาดเลวชั้นโหล่ ข้าแต่มหาราช ความเร็วของหม่อมฉันพึงเป็นเช่นนี้นะ
พระเจ้าข้า.
ลำดับนั้น พระราชาทรงถามว่า สหายเอ๋ย ก็และความเร็วอย่างอื่น
ที่เร็วกว่าความเร็วของท่านน่ะ ยังมีหรือ. พระมหาสัตว์ กราบทูลว่า พระเจ้าข้า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า อายุสังขารของสัตว์เหล่านี้ ย่อมสิ้น ย่อมสลาย ย่อมถึง
ความสิ้น เร็วพลันกว่าแม้แต่ความเร็วขนาดสูงสุดของหม่อมฉัน ตั้งร้อยเท่า
พันทวีแสนทวี พระมหาสัตว์แสดงความสลายแห่งอรูปธรรมทั้งหลาย ด้วย
สามารถความดับอันเป็นไปทุก ๆ ขณะด้วยประการฉะนี้. พระราชาทรงสดับ
คำของพระมหาสัตว์ทรงกลัวต่อมรณภัย ไม่สามารถดำรงพระสติไว้ได้ ชวน

พระกายล้มเหนือแผ่นดิน. มหาชนพากันถึงความสยดสยอง. พวกอำมาตย์
ต้องเอาน้ำสรงพระพักตร์พระราชา ช่วยให้พระองค์ทรงกลับฟื้นคืนพระสติ.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์กราบทูลเตือนว่า ข้าแต่พระมหาราช พระองค์อย่า
ได้ทรงหวาดเกรงเลย เชิญทรงเจริญมรณสติไว้เถิด ทรงประพฤติธรรมไว้เถิด
ทรงกระทำบุญมีให้ทานเป็นต้นไว้เถิด พระองค์อย่าประมาทเถิด พระเจ้าข้า.
ลำดับนั้น พระราชาเมื่อทรงอ้อนวอนว่า ฉันจักไม่สามารถที่จะอยู่แยกกับ
อาจารย์ผู้สมบูรณ์ด้วยญาณเช่นท่าน ชั่วระยะกาลอันใกล้ได้ ท่านไปต้องไปสู่
เขาจิตตกูฎ ชี้แจงธรรมแก่ฉัน เป็นอาจารย์ให้โอวาทอยู่ ณ ที่นี้เลยเถิดนะ
จึงตรัสพระคาถา 2 คาถาว่า
คนบางพวก ย่อมเป็นที่รักของบุคคลบางคน
เพราะได้ฟัง อนึ่ง ความรักของบุคคลบางคน ย่อม
หมดสิ้นไปเพราะได้เห็น คนบางพวกย่อมเป็นที่รัก
เพราะได้เห็นและเพราะได้ฟัง ท่านรักใคร่ฉันเพราะได้
เห็นบ้างไหม.
ท่านเป็นที่รักของฉันเพราะได้ฟัง และเป็นที่รัก
ของฉันยิ่งนัก เพราะอาศัยการเห็น ดูก่อนพญาหงส์
ท่านน่ารักน่าดูอย่างนี้ เชิญอยู่ในสำนักของฉันเถิด.

คาถาเหล่านั้นมีอธิบายว่า ดูก่อนสหายพญาหงส์ บุคคลจำพวกหนึ่ง
ย่อมน่ารักด้วยการฟัง คือดูดดื่มใจด้วยได้ฟัง เพราะได้ยินว่า มีคุณอย่างนี้
แต่จำพวกหนึ่งพอเห็นเท่านั้น ความพอใจหมดไปเลย คือความรักหายไปหมด
ปรากฏเหมือนพวกยักษ์ที่มากันมาเพื่อกัดกิน จำพวกหนึ่งเล่า เป็นผู้น่ารักได้

ทั้งสถาน คือทั้งได้เห็น ทั้งได้ฟัง เหตุนั้นฉันขอถามท่าน เพราะเห็นฉัน
ท่านจึงรักฉันบ้างหรือไร คือท่านยังจะพึงใจฉันบ้างหรือไม่ แต่สำหรับฉัน
ท่านเป็นที่รักด้วยได้ยิน แน่ละ ยิ่งมาเห็นยิ่งรักนักเทียว ท่านเป็นที่รักน่าดูของ
ฉันเช่นนี้ อย่าไปสู่เขาจิตตกูฏ จงอยู่ในสำนักของฉันนี้เถิด.
พระโพธิสัตว์กราบทูลด้วยคาถาว่า
ข้าพระองค์ทั้งหลายได้รับการสักการบูชาแล้ว
เป็นนิตย์ พึงอยู่ในพระราชนิเวศน์ของพระองค์ แต่
บางครั้งพระองค์ทรงเมาน้ำจัณฑ์แล้ว จะพึงตรัสสั่งว่า
จงย่างพญาหงส์ให้ฉันที.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มตฺโต จ เอกทา ความว่า ข้าแต่
พระมหาราช พวกหม่อมฉันได้รับบูชาเป็นนิตย์ ก็น่าจะอยู่ในพระราชวัง
ของพระองค์ แต่บางครั้งพระองค์ทรงเมาสุราแล้ว พึงตรัสได้ว่า จงย่าง
พญาหงส์ให้ข้าเถิด ดังนี้ เพื่อจะได้เสวยมังสะ ทีนั้นพวกข้าเฝ้าของพระองค์
ก็จะพึงฆ่าหม่อมฉันย่างเสียด้วยประการฉะนั้น ครั้งนั้นหม่อมฉันจักกระทำ
อย่างไรได้.
ลำดับนั้น พระราชาเพื่อจะประทานพระปฏิญญาแก่พระโพธิสัตว์นั้นว่า
ถ้าเช่นนั้น ฉันจักไม่ดื่มน้ำเมาเป็นเด็ดขาด จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
การดื่มน้ำเมา ซึ่งเป็นที่รักของฉันยิ่งกว่าท่าน
ฉันติเตียนการดื่มน้ำเมานั้น เอาเถอะ ตลอดเวลาที่
ท่านยังอยู่ในนิเวศน์ของฉัน ฉันจักไม่ดื่มน้ำเมาเลย.

ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์ กล่าวคาถา 6 คาถาว่า

ข้าแต่พระราชา เสียงของสุนัขจิ้งจอกทั้งหลาย
ก็ดี ของนกทั้งหลายก็ดี รู้ได้ง่าย แต่เสียงของมนุษย์
รู้ได้ยากกว่านั้น.
อนึ่ง ผู้ใดเมื่อก่อนเป็นผู้ใจดี คนทั้งหลายนับถือ
ว่าเป็นญาติ เป็นมิตร หรือเป็นสหาย ภายหลังผู้นั้น
กลับกลายเป็นศัตรูไปก็ได้ ใจของมนุษย์รู้ได้ยาก
อย่างนี้.
ใจจดจ่ออยู่ในบุคคลใด แม้บุคคลนั้นจะอยู่ไกล
ก็เหมือนกับอยู่ใกล้ ใจเหินห่างจากบุคคลใด แม้บุคคล
นั้นจะอยู่ใกล้ก็เหมือนกับอยู่ไกล.
ถ้ามีจิตเลื่อมใสรักใคร่กัน ถึงแม้จะอยู่กันคนละ
ฝั่งสมุทร ก็เหมือนอยู่ใกล้ชิดกัน ถ้ามีจิตประทุษร้ายกัน
ถึงแม้จะอยู่ใกล้ชิดกัน ก็เหมือนกับอยู่คนละฝั่งสมุทร.
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ คนที่เป็นศัตรูกันถึงจะ
อยู่ร่วมกัน ก็เหมือนกับอยู่ห่างไกลกัน ข้าแต่พระองค์
ผู้เป็นมิ่งขวัญแห่งรัฐ คนที่รักกันถึงแม้จะอยู่ห่างไกล
กัน ก็เหมือนกับอยู่ร่วมกันด้วยหัวใจ.
ด้วยการอยู่ร่วมกันนานเกินควร คนรักกันย่อม
กลายเป็นคนไม่รักกันก็ได้ ข้าพระองค์ขอทูลลาพระ-
องค์ไป ก่อนที่ข้าพระองค์จะกลายเป็นผู้ไม่เป็นที่รัก
ของพระองค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วสฺสิตํ ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
เป็นความจริง ฝูงสัตว์เดียรัจฉานมีหัวใจตรง เพราะเหตุนั้นเสียงร้องของฝูงสัตว์

เดียรัจฉานนั้น จึงเข้าใจได้ง่าย แต่ฝูงคนกักขฬะ เหตุนั้นคำพูดของฝูงคนนั้น
จึงเข้าใจได้ยากกว่า. บทว่า โย ปุพฺเพ ความว่า บุคคลใด มีใจดีกันก่อน
ทีเดียว ก็พอจะนับถือกันอย่างนี้ว่า เธอเป็นญาติของฉัน เป็นมิตรของฉัน
เป็นสหายคู่ชีวิตของฉัน ภายหลังคนนั้นเองกลายเป็นผู้เกลียดชัง เป็นไพรีไป
ก็ได้ หัวใจมนุษย์เข้าใจยากเช่นนี้. บทว่า นิวิสติ ความว่า ข้าแต่พระมหาราช
ใจจอดจ่อด้วยอำนาจความรักในบุคคลใด บุคคลนั้นถึงจะอยู่ไกลสุดไกล ก็แม้น
กับอยู่ในที่ไม่ไกลเลยทีเดียว แต่ใจเหินห่างออกไปในบุคคลใด บุคคลนั้นถึงอยู่
ใกล้ ๆ ก็เหมือนอยู่ไกล. บทว่า อนฺโตปิ โส โหติ ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
ผู้ใดเป็นสหาย มีจิตเลื่อมใส ผู้นั้นถึงจะอยู่คนละฝั่งทะเล ก็ย่อมเป็นเหมือน
อยู่ใกล้ชิด เพราะมีจิตประสานกัน ผู้ใดมีจิตคิดประทุษร้าย ผู้นั้นก็ชื่อว่า
อยู่คนละฝั่งทะเล เพราะจิตไม่ประสานกัน. บทว่า เย ทิสา เต ความว่า
คนเหล่าใดเป็นผู้มีเวรเป็นข้าศึกกัน ถึงจะอยู่ร่วมกัน คนเหล่านั้นก็เหมือนอยู่
ไกลกัน แต่ปวงบัณฑิตผู้สงบระงับ แม้สถิต ณ ที่ห่างไกล คำนึงถึงกันอยู่
ด้วยใจอันอบรมด้วยเมตตาก็ชื่อว่าเหมือนอยู่ ณ ที่ใกล้. บทว่า ปุรา เต คจฺฉามิ
ความว่า หม่อมฉันยังเป็นผู้น่ารักของพระองค์ตราบใด ก็จะขอบังคมลา
พระองค์ไปตราบนั้นทีเดียว.
ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะพระโพธิสัตว์นั้นว่า
เมื่อเราวิงวอนอยู่อย่างนี้ ถ้าท่านมิได้รู้ถึงความ
นับถือของเรา ท่านก็มิได้ทำตามคำวิงวอนของเรา ซึ่ง
จะเป็นผู้ปรนนิบัติท่าน เมื่อเป็นอย่างนี้ เราขอวิงวอน
ท่านว่า ท่านพึงหมั่นมาที่นี้บ่อย ๆ นะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ เจ ความว่า ดูก่อนพญาหงส์ ถ้าท่าน
จะไม่ยินยอมตามคำวิงวอน ของพวกเราผู้ประคองอัญชลีขออยู่เช่นนี้ มิได้กระทำ

ตามถ้อยคำพองพวกเรา ผู้จะปรนนิบัติท่าน เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราจึง
ขอร้องท่านอย่างนี้. บทว่า ปุน กยิราสิ ปริยายํ ความว่า ท่านพึงกำหนด
วาระแห่งการมา ณ ที่นี้ ตามกาลอันสมควร.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงกราบทูลว่า
ข้าแต่พระมหาราชาเจ้าผู้เป็นมิ่งขวัญแห่งรัฐ ถ้า
เราอยู่กันเป็นปกติอย่างนี้ อันตรายจักยังไม่มีทั้งแก่
พระองค์และแก่ข้าพระองค์ เป็นอันแน่นอนว่า เรา
ทั้งสองคงได้พบเห็นกันในเมื่อวันคืนผ่านไปเป็นแน่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ เจ โน ความว่า ข้าแต่พระมหาราช
ผู้เป็นมิ่งขวัญแห่งแคว้น พระองค์อย่าทรงเสียพระหทัยเลย เมื่อเราคงอยู่เป็น
ปกติ อันตรายแห่งชีวิตจักไม่มี อันเชื่อได้แน่นอนว่า เราทั้งสองคงต้องพบ
กันแน่ อีกนัยหนึ่ง พระองค์ทรงตั้งพระโอวาทที่หม่อมฉันถวายทั้งหมดนั้น ไว้
ในฐานะแห่งหม่อมฉัน มิได้ทรงประมาท ในโลกสันนิวาส อันมีความเป็นอยู่
ชั่วครู่เช่นนี้ ทรงกระทำบุญมีให้ทานเป็นอาทิ มิได้ทรงละเมิดทศพิธราชธรรม
ดำรงราชย์โดยธรรม เป็นอันแน่นอนว่า เมื่อพระองค์ทรงกระทำตามโอวาท
ของหม่อมฉันเช่นนี้ ก็จักเห็นหม่อมฉันเรื่อยทีเดียว.
พระมหาสัตว์ถวายโอวาทพระราชาอย่างนี้แล้ว ก็บินไปเขาจิตตกูฏแล.
พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย แม้ในปางก่อน ถึงเราจะเกิดในกำเนิดดิรัจฉาน ก็เคยชี้แจงความ
ทรพลของอายุสังขาร แสดงธรรมได้เหมือนกันด้วยประการฉะนี้ ประชุม
ชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็นอานนท์ น้องเล็ก ได้มาเป็น
โมคคัลลานะ น้องกลางได้มาเป็นสารีบุตร ฝูงหงส์ที่เหลือได้มาเป็น
พุทธบริษัท ส่วนชวนหงส์ คือเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาชวนหังสชาดก

4. จุลลนารทกัสสปชาดก



ว่าด้วยพิษเหวเปือกตมและอสรพิษ


[1764] ฟืนเจ้าก็มิได้หัก น้ำเจ้าก็มิได้ตักเอามา
แม้กองไฟเจ้าก็มิได้ก่อให้ลุกโพลง เหตุไรหนอ เจ้าจึง
เป็นเหมือนคนโง่เขลานอนซบเซาอยู่.

[1765] ข้าแต่คุณพ่อกัสสปะ ผมอดทนอยู่ใน
ป่าไม่ได้ ผมจะขอลาคุณพ่อไป การอยู่ในป่าลำบาก
ผมปรารถนาจะไปสู่บ้านเมือง.

[1766] ข้าแต่คุณพ่อผู้เป็นดุจพรหม ผู้ออก
จากป่านี้ไปอยู่ ณ ชนบทใด ๆ จะพึงศึกษาขนบ-
ธรรมเนียมที่ชาวชนบทเขาประพฤติกันอย่างไร ขอ
คุณพ่อจงพร่ำสอนขนบธรรมเนียมนั้นแก่ผมด้วยเถิด.

[1767] ถ้าเจ้าละป่า เหง้ามันและผลไม้ในป่า
พึงพอใจอยู่ในบ้านเมือง เจ้าจงสำเหนียกจารีตของ
ชนบทนั้นของเราไว้.

[1768] เจ้าจงอย่าเสพของมีพิษ จงเว้นเหว
โดยเด็ดขาด อย่าจมอยู่ในเปือกตม ในที่ใกล้อสรพิษ
จงเตรียมตัวให้พร้อม.

[1769] ผมขอถาม คุณพ่อกล่าวอะไรว่าเป็นพิษ
เป็นเหว เป็นเปือกตม เป็นอสรพิษของพรหมจรรย์