เมนู

2. ผันทนชาดก



ว่าด้วยการผูกเวรหมีและไม้ตะคร้อ


[1738] ท่านเป็นบุรุษถือขวาน มาสู่ป่ายืนอยู่
ดูก่อนสหาย เราถามท่าน ท่านจงบอกแก่เรา ท่าน
ต้องการจะตัดไม้หรือ.

[1739] เจ้าเป็นหมี เที่ยวอยู่ทั่วไปทั้งที่ทึบและ
ที่โปร่ง ดูก่อนสหาย เราถามเจ้า ขอเจ้าจงบอกแก่เรา
ไม้อะไรที่จะทำเป็นกงรถได้มั่นคงดี.

[1740] ไม้รังก็ไม่มั่นคง ไม้ตะเคียนก็ไม่มั่นคง
ไม้หูกวางจะมั่นคงที่ไหนเล่า แต่ว่าตัดต้นไม้ชื่อว่าต้น
ตะคร้อนั่นแหละ ทำเป็นกงรถมั่นคงดีนัก.

[1741] ต้นตะคร้อนั้นใบเป็นอย่างไร อนึ่ง
ลำต้นเป็นอย่างไร ดูก่อนสหาย เราถามเจ้า ขอเจ้า
จงบอกแก่เรา เราจะรู้จักไม้ตะคร้อได้อย่างไร.

[1742] กิ่งทั้งหลายแห่งต้นไม้ใด ย่อมห้อยลง
ด้วย ย่อมน้อมลงด้วยแต่ไม่หัก ต้นไม้นั้นชื่อว่าต้น
ตะคร้อ ที่เรายืนอยู่ใกล้โคนต้นนี่.

[1743] ต้นไม้นี้แหละชื่อว่าต้นตะคร้อ เป็น
ต้นไม้ควรแก่การงานของท่านทุกอย่าง คือ ควรแก่กำ
ล้อ ดุม งอนและกงรถ.

[1744] เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นตะคร้อได้กล่าวดัง
นี้ว่า ดูก่อนภารทวาชะ แม้ถ้อยคำของเรามีอยู่ เชิญ
ท่านฟังถ้อยคำของเราบ้าง.

[1745] ท่านจงลอกหนังประมาณ 4 นิ้ว จาก
คอแห้งหมีตัวนี้ แล้วจงเอาหนึ่งนั้นหุ้มกงรถ เมื่อทำ
ได้อย่างนั้น กงรถของท่านก็จะพึงเป็นของมั่นคง.

[1746] เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นตะคร้อ จองเวรได้
สำเร็จ นำความทุกข์มาให้แก่หมีทั้งหลาย ที่เกิดแล้ว
และยังไม่เกิด ด้วยประการนี้.

[1747] ไม้ตะคร้อฆ่าหมี และหมีก็ฆ่าไม้
ตะคร้อ ต่างก็ฆ่ากันและกัน ด้วยการวิวาทกัน ด้วย
ประการฉะนี้.

[1748] ในหมู่มนุษย์ ความวิวาทเกิดขึ้น ณ
ที่ใด มนุษย์ทั้งหลายในที่นั้น ย่อมฟ้อนรำดังนกยูง
รำแพนหาง เหมือนหมีและไม้ตะคร้อ ฉะนั้น.

[1749] เพราะเหตุนั้น อาตมภาพขอถวาย
พระพรแก่บพิตรทั้งหลาย ขอความเจริญจงมีแก่บพิตร
ทั้งหลาย เท่าที่มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ขอบพิตร
ทั้งหลายจงร่วมบันเทิงใจ อย่าวิวาทกัน อย่าเป็นดังหมี
และไม้ตะคร้อเลย.

[1750] ขอบพิตรทั้งหลายจงศึกษาความสามัคคี
ความสามัคคีนั้นแหละ พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรง
สรรเสริญแล้ว บุคคลผู้ยินดีในสามัคคีธรรมตั้งอยู่ใน
ธรรม ย่อมไม่คลาดจากธรรมอันเป็นแดนเกษมจาก
โยคะ.

จบผันทนชาดกที่ 2

อรรถกถาผันทนชาดก


พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำโรหิณิ ทรงพระ-
ปรารภการทะเลาะแห่งพระญาติ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
กุฐาริหตฺโถ ปุริโส ดังนี้.
ก็เนื้อความจักมีแจ้งในกุณาลชาดก.1 แต่ในครั้งนั้น พระศาสดาตรัส
เรียกหมู่ญาติมาตรัสว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตรทั้งหลาย.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ กรุงพาราณสี
ได้มีบ้านช่างไม้อยู่ภายนอกพระนคร. ในบ้านนั้นมีพราหมณ์ช่างไม้ผู้หนึ่ง หา
ไม้มาจากป่า ทำรถเลี้ยงชีวิต ครั้งนั้นในหิมวันตประเทศ มีต้นตะคร้อใหญ่.
มีหมีตัวหนึ่งเที่ยวหากินแล้ว มานอนที่โคนไม้ตะคร้อนั้น. ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง
เมื่อลมระดมพัด กิ่งแห้งกิ่งหนึ่งของต้นตะคร้อหักตกถูกคอหมีนั้น. มันพอกิ่งไม้
ทิ่มคอหน่อยก็สะดุ้งตกใจลุกขึ้นวิ่งไปหวนกลับมาใหม่ มองดูทางที่วิ่งมา ไม่เห็น
อะไรคิดว่าสีหะหรือพยัคฆ์อื่น ๆ ที่จะติดตามมา มิได้มีเลย ก็แต่เทพยดาที่เกิด
ณ ต้นไม้นี้ชะรอยจะไม่ทนดูเราผู้นอน ณ ที่นี้ เอาเถิดคงได้รู้กัน แล้วผูกโกรธ
ในที่มิใช่ฐานะแล้วทุบฉีกต้นไม้ ตะคอกรุกขเทวดาว่า ข้าไม่ได้กินใบต้นไม้ของ
เจ้าเลยทีเดียว ข้าไม่ได้หักกิ่ง ที่มฤคอื่น ๆ พากันนอนที่ตรงนี้ เจ้าทนได้
ทีข้าละก็เจ้าทนไม่ได้ โทษอะไรของข้าเล่า รอสักสองสามวันต่อไปเถิด ข้าจัก
ให้เขาขุดต้นไม้ของเจ้าเสียทั้งรากทั้งโคน แล้วให้ตัดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่
จงได้ เที่ยวสอดส่องหาบุรุษผู้หนึ่งเรื่อยไป. ครั้งนั้น พราหมณ์ช่างไม้ผู้นั้น
พามนุษย์ 2-3 คนไปถึงประเทศตรงนั้น โดยยานน้อยเพื่อต้องการไม้ทำรถ
จอดยานน้อยไว้ ณ ที่แห่งหนึ่งถือพร้าและขวานเลือกเฟ้นต้นไม้ ได้เดินไป
ดูพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก แปล เล่มที่ 4 ภาคที่ 1 หน้า 514