เมนู

อรรถกถาเตรสนิบาต



1. อัมพชาดก


พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภพระเทวทัต ได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อาหาสิ
เม อมฺพผลานิ ปุพฺเพ
ดังนี้.
ความพิสดารว่า พระเทวทัตบอกคืนอาจารย์ว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้า
พระสมณโคดมมิใช่อาจารย์ มิใช่พระอุปัชฌาย์ของเราเลย เสื่อมจากฌาน ทำลาย
สงฆ์ กำลังมาสู่กรุงสาวัตถีโดยลำดับ เมื่อแผ่นดินให้ช่องเข้าไปอเวจีมหานรก
ภายนอกพระวิหารพระเชตวัน. ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรม
สภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตบอกคืนอาจารย์เสียถึงความพินาศใหญ่
บังเกิดในอเวจีมหานรก. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้
ทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ใน
กาลก่อนพระเทวทัตก็บอกคืนอาจารย์เสีย ถึงความพินาศใหญ่แล้วเหมือนกัน
ดังนี้แล้วจึงทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ กรุง
พาราณสี
ตระกูลแห่งปุโรหิต ของพระเจ้าพรหมทัตพระองค์นั้น พินาศไป

ด้วยอหิวาตกโรค. บุตรชายคนหนึ่งทำลายฝาเรือนหนีไปได้ เขาไปกรุงตักกศิลา
เรียนไตรเพทและศิลปะที่เหลือ ในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ กราบลาอาจารย์
เมื่อจะออกไปคิดว่า เราต้องรู้จักขนบธรรมเนียมของประเทศ จึงเที่ยวไปถึง
เมืองชายแดนเมืองหนึ่ง. หมู่บ้านจัณฑาลหมู่ใหญ่ ได้อาศัยเมืองนั้นอยู่ ใน
กาลนั้น พระโพธิสัตว์อาศัยบ้านนั้นอยู่ เป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาด รู้มนต์ที่จะ
ทำให้มะม่วงมีผลในเวลามิใช่ฤดูกาลได้. ท่านลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ คว้าหาบออกไป
จากบ้านนั้น เข้าไปใกล้ต้นมะม่วงต้นหนึ่งในป่า หยุดยืนอยู่ในระยะที่สุด 7
ก้าวร่ายมนต์นั้น สาดต้นมะม่วงด้วยน้ำซองมือหนึ่ง. ในขณะนั้นนั่นเอง ใบ
แก่ ๆ ก็ร่วงหล่นลงจากต้น แตกใบอ่อน ออกดอกแล้วร่วงลง ผลมะม่วงก็มีขึ้น
โดยครู่เดียวเท่านั้นก็สุก มีโอชาหวานเช่นเดียวกับมะม่วงทิพย์ แล้วก็หล่นจาก
ต้น. พระมหาสัตว์เก็บผลเหล่านั้น เคี้ยวกินจนพอความต้องการ เก็บจนเต็ม
หาบ ไปสู่เรือนขายมะม่วงเหล่านั้นเลี้ยงลูกเมีย. พราหมณ์กุมารนั้นเห็นพระ-
มหาสัตว์ ผู้นำผลมะม่วงมาในเวลามิใช่ฤดูกาลมาขาย จึงคิดว่า ไม่ต้องสงสัยละ
อันผลมะม่วงเหล่านั้นต้องเกิดขึ้นด้วยกำลังของมนต์ อาศัยบุรุษนี้เราจักได้มนต์
อันหาค่ามิได้นี้ คอยกำหนดจับลู่ทางที่พระมหาสัตว์นำผลมะม่วงมา ก็รู้แน่นอน
เมื่อท่านยังไม่มาจากป่า ได้ไปสู่เรือนของท่าน เป็นเหมือนไม่รู้ ถามภรรยา
ของท่านว่า ท่านอาจารย์ไปไหน ครั้นภรรยาท่านตอบว่าไปป่า จึงยืนรอ
ท่านอยู่ พอเห็นท่านมาก็ต้อนรับ รับหาบจากมือนำมาวางไว้ในเรือน.
พระโพธิสัตว์มองดูเขา กล่าวกะภรรยาว่า นางผู้เจริญ มาณพนี้มา
เพื่อต้องการมนต์ แต่มนต์จะไม่ตั้งอยู่ในกำมือเขาได้ เพราะเขาเป็นอสัตบุรุษ
ฝ่ายมาณพคิดว่า เราต้องบำเพ็ญอุปการะแก่อาจารย์จึงจะได้มนต์นี้ ตั้งแต่นั้นมา
กระทำกิจทุกอย่างในเรือนของท่าน หาฟืน ซ้อมข้าว หุงข้าว ให้น้ำล้างหน้า

เป็นต้น ล้างเท้า. วันหนึ่งเมื่อพระมหาสัตว์กล่าวว่า พ่อมาณพ เธอจงให้เครื่อง
หนุนเท้าเตียงเถิด เขามองไม่เห็นสิ่งอื่น ก็เลยเอาเท้าเตียงวางบนขานั่งอยู่ตลอด
ราตรี. ครั้นกาลต่อมา ภรรยาของพระมหาสัตว์คลอดบุตร ได้กระทำบริกรรม
ในเวลาคลอดบุตรแก่นาง. วันหนึ่งนางจึงกล่าวแก่พระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่นาย
มาณพนี้แม้จะสมบูรณ์ด้วยชาติ ก็ยังยอมกระทำการช่วยเหลือเรา ด้วยต้องการ
มนต์ ขอมนต์จงตั้งอยู่ในกำมือของเขาหรืออย่าตั้งอยู่ก็ตามเถิด ท่านโปรดให้
มนต์แก่เขาเถิด. ท่านรับคำว่า ดีละ แล้วให้มนต์แก่เขา กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อเอ๋ย
มนต์หาค่ามิได้ ลาภสักการะอันใหญ่หลวงจักมีแก่เจ้าเพราะอาศัยมนต์นี้ ใน
เวลาที่เจ้าถูกพระราชาหรือมหาอำมาตย์ของพระราชาถามว่า ใครเป็นอาจารย์
ของเจ้า เจ้าอย่าข่มเราเสียนะ ถ้าหากเจ้าอดสูว่าคนจัณฑาลเป็นอาจารย์ของเรา
เราเรียนมนต์จากสำนักของคนจัณฑาลนั้น จักกล่าวเสียว่า พราหมณ์ผู้มหาศาล
เป็นอาจารย์ของเราไซร้ ผลของมนต์นี้จักไม่มีเลย เขากล่าวว่า เหตุไรผมจัก
ต้องข่มขี่เล่า ในเวลาที่ใคร ๆ ถาม ผมต้องบอกอ้างท่านเท่านั้น แล้วกราบลา
ท่านออกไปจากบ้านคนจัณฑาล ทดลองมนต์แล้ว บรรลุถึงกรุงพาราณสี
โดยลำดับ ขายมะม่วงได้ทรัพย์มาก.
ครั้นวันหนึ่งนายอุทยานบาลซื้อมะม่วงจากมือของเขาถวายแด่พระราชา.
พระราชาเสวยมะม่วงนั้นแล้ว ตรัสถามว่าน่าอัศจรรย์ อร่อยอย่างยิ่ง เจ้า
ไปได้มะม่วงชนิดนี้มาจากไหนละ เขากราบทูลว่า ขอเดชะ ใต้ฝ่าพระบาท
ปกเกล้าปกกระหม่อม มาณพผู้หนึ่งนำผลมะม่วงทะวายมาขาย ข้าพระพุทธ
เจ้าถือเอาจากมาณพนั้น พระเจ้าข้า. ทรงรับสั่งว่า จงบอกเขาว่า ตั้งแต่
บัดนี้ไป จงนำผลมะม่วงมา ณ ที่นี้. แม้นายอุทยานบาลนั้นก็กระทำตาม
ที่รับสั่งนั้น. ตั้งแต่นั้นมา มาณพก็นำผลมะม่วงทั้งหลายไปสู่ราชสกุล เมื่อ
ได้รับสั่งว่า เจ้าจงบำรุงเราเถิด ก็บำรุงพระราชา ได้รับทรัพย์เป็นอันมาก

ค่อยคุ้นเคยโดยลำดับ. ครั้นวันหนึ่ง พระราชาตรัสถามเขาว่า มาณพ เจ้านำ
มะม่วงอันสมบูรณ์ด้วยกลิ่นและรสเห็นปานนี้ ในสมัยมิใช่ฤดูกาลมาจากไหน
นาคครุฑหรือเทพเจ้าองค์ใดให้แก่เจ้า หรือไฉน หรือว่าทั้งนี้เป็นกำลังแห่งมนต์
เขากราบทูลว่า ขอเดชะ พระมหาราชเจ้า ใคร ๆ มิได้ให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า
แต่มนต์อันหาค่ามิได้ของข้าพระพุทธเจ้ามีอยู่ นี้เป็นกำลังแห่งมนต์นั้นพระเจ้าข้า
ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะขอดูกำลังมนต์ของเจ้าสักวันหนึ่ง. เขากราบทูลว่า
ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าจักแสดง
ถวายพระเจ้าข้า.
วันรุ่งขึ้นพระราชาเสด็จไปสู่พระอุทยานกับตรัสว่า เจ้าจงแสดงเถิด.
เขารับพระดำรัสว่า สาธุ เดินเข้าไปใกล้ต้นมะม่วง ยืนในระยะ 7 ก้าว
ร่ายมนต์วักน้ำสาดต้น. ทันใดนั้นเอง ต้นมะม่วงก็เผล็ดผลโดยนิยมดังกล่าว
แล้ว ในหนหลังนั่นแหละ ฝนคือผลมะม่วงร่วงพรั่งพรู เป็นดังมหาเมฆ
หลั่งกระแสฝน. มหาชนพากันให้สาธุการ แผ่นผ้าได้ถูกชูขึ้นสลอนไป.
พระราชาทรงเสวยผลมะม่วง ประทานทรัพย์เป็นอันมากแก่เขา แล้วตรัสถาม
ว่า มาณพ มนต์อันเป็นอัศจรรย์ของเจ้าเช่นนี้ เจ้าเรียนในสำนักของใคร.
มาณพคิดว่า ถ้าเราจักทูลว่าในสำนักคนจัณฑาล จักต้องมีความอดสู และคน
ทั้งหลายจักติเตียนได้ อย่ากระนั้นเลย มนต์ของเราคล่องแคล่วแม่นยำ คง
ไม่เสื่อมหายไปในบัดนี้ดอก เราจักอ้างอาจารย์ทิศาปาโมกข์ แล้วกระทำมุสาวาท
กล่าวว่า ข้าพระพุทธเจ้าเรียนในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเมืองตักกศิลา
พระเจ้าข้า เป็นอันบอกคืนอาจารย์เสีย. ทันใดนั่นเองมนต์ก็เสื่อม. พระราชา
ทรงโสมนัส ทรงชวนเขาเข้าสู่พระนคร วันรุ่งขึ้นทรงพระดำริว่า เราจักกิน
มะม่วง จึงเสด็จสู่อุทยาน ประทับนั่งเหนือแผ่นศิลาอันเป็นมงคล ตรัสว่า
มาณพ เจ้าจงนำมะม่วงมาเถิด. เขารับพระดำรัสว่าสาธุ แล้วเข้าไปใกล้ต้นมะม่วง
ยืนในระยะ 7 ก้าว คิดว่า เราจักร่ายมนต์ ครั้นมนต์ไม่ปรากฏ ก็ทราบว่า

เสื่อมเสียแล้ว ยืนอดสูใจอยู่. พระราชาทรงพระดำริว่า วันก่อนมาณพนี้นำ
ผลมะม่วงมาให้เราในท่ามกลางบริษัททีเดียว ให้ฝนคือผลมะม่วงร่วงหล่น
พรั่งพรูเหมือนฝนลูกเห็บตก บัดนี้ ยืนเหมือนแข็งทื่อ เหตุอะไรกันเล่าหนอ
เมื่อจะทรงถามเขาจึงตรัสพระคาถาว่า
ดูก่อนท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อก่อนท่าน
ได้นำผลมะม่วงทั้งเล็กทั้งใหญ่มาให้เรา ดูก่อนพราหมณ์
บัดนี้ ผลไม้ทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏด้วยมนต์เหล่านั้น
ของท่านเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาหาสิ แปลว่า นำมาแล้ว. บทว่า
ทุมปฺผลานิ แปลว่า ผลแห่งต้นไม้.
มาณพฟังพระดำรัสนั้นแล้ว คิดว่า ถ้าเราจักทูลว่า วันนี้ข้าพระพุทธเจ้า
จักถือเอาผลไม้มาถวายมิได้ พระราชาจักกริ้วเรา เราจักลวงพระองค์ด้วย
มุสาวาทจึงทูลคาถาที่ 2 ว่า
ข้าพระบาทกำลังคำนวณคลองแห่งนักขัตฤกษ์
จนเห็นขณะและครู่ ด้วยมนต์ก่อน ครั้นได้ฤกษ์และ
ยามดีแล้ว จักนำผลมะม่วงเป็นอันมากมาถวายพระองค์
เป็นแน่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อทฺธา หริสฺสํ อมฺพผลํ ความว่า
เราจักนำผลมะม่วงมาแน่แท้.
พระราชา ทรงพระดำริว่า มาณพนี้ในเวลาอื่น ไม่พูดถึงคลองแห่ง
นักขัตฤกษ์เลย นี้มันเรื่องอะไรกันเล่า เมื่อจะตรัสถาม ได้ทรงภาษิตคาถา 2
คาถาว่า

เมื่อก่อน ท่านไม่ได้พูดถึงคลองแห่งนักขัตฤกษ์
ได้เอ่ยถึงขณะแลครู่ ทันใดนั้น ท่านก็นำเอาผลมะม่วง
เป็นอันมาก อันประกอบด้วยสี กลิ่น และรส มาให้
เราได้.
ดูก่อนพราหมณ์ แม้เมื่อก่อนผลไม้ทั้งหลาย ย่อม
ปรากฏด้วยร่ายมนต์ของท่าน วันนี้แม้ท่านจะร่ายมนต์
ไม่อาจให้สำเร็จได้ วันนี้สภาพของท่านเป็นอย่างไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น วาเทสิ แปลว่า ย่อมไม่อาจ. บทว่า
ชปฺปมฺปิ ความว่า ท่านจะท่องบ่นก็ดี จะร่ายมนต์ก็ดี. บทว่า อยํ โส
ความว่า สภาพของท่านนี้นั้น เป็นอย่างไรในวันนี้.
มาณพฟังพระดำรัสนั้นแล้ว คิดว่า เราไม่อาจจะลวงพระราชาด้วย
มุสาวาท แม้ว่าเราสารภาพความจริงแล้ว พระองค์คงไม่ลงพระราชอาญา เรา
ต้องสารภาพความจริงเสียเถอะ ดังนี้แล้ว จึงกราบทูล 2 คาถาว่า
บุตรของคนจัณฑาล ได้บอกมนต์ให้ข้าพระบาท
โดยธรรมและได้สั่งกำชับข้าพระบาทว่า ถ้ามีใครมา
ถามถึงชื่อและโคตรของเราแล้ว เจ้าอย่าปกปิด มนต์
ทั้งหลายก็จะไม่ละเจ้า.
ข้าพระบาทนั้น ครั้นพระองค์ผู้เป็นจอมแห่ง
ประชาชนถามถึงอาจารย์ อันความลบหลู่ครอบงำแล้ว
ได้กราบทูลเท็จว่า มนต์เหล่านี้เป็นของพราหมณ์ ข้า
พระบาทจึงเป็นผู้เสื่อมมนต์ เป็นเหมือนกำพร้าร้องไห้
อยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน ความว่า ได้ให้มนต์โดยธรรม
สม่ำเสมอ โดยเหตุ โดยไม่ปกปิดเลย. บทว่า ปกติญฺจ สํสิ ความว่า
บุตรของคนจัณฑาลได้กำชับถึงความเสื่อมและความปกติแห่งมนต์เหล่านั้นแก่
เราว่า ถ้าใคร ๆ มาถามถึงนามและโคตรของเรา เจ้าอย่าปกปิด ถ้าปกปิด
มนต์ของเจ้าจักเสื่อม. บทว่า พฺราหฺมณสฺส มิจฺฉา ความว่า ข้าพระองค์
ได้บอกผิดไปว่า ข้าพระองค์ได้เรียนมาจากสำนักของพราหมณ์ เพราะฉะนั้น
มนต์ทั้งหลายของข้าพระองค์จึงเสื่อม ข้าพระองค์นั้น มีมนต์อันเสื่อมแล้ว
บัดนี้ย่อมร้องไห้เหมือนคนกำพร้า.
พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงกริ้วว่า เจ้านี่ลามกมองไม่เห็นรัตนะ
เห็นปานนี้ เมื่อได้รัตนะอันสูงสุดเช่นนี้แล้ว เรื่องชาติจักกระทำอะไรให้ได้
เมื่อทรงติเตียนเขา จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
บุรุษต้องการน้ำหวาน จะพึงได้น้ำหวานจาก
ต้นไม้ใด จะเป็นต้นละหุ่งก็ตาม ต้นสะเดาก็ตาม ต้น
ทองหลางก็ตาม ต้นไม้นั่นแล เป็นต้นไม้สูงสุดของ
บุรุษนั้น.
บุรุษพึงรู้แจ้งธรรมจากผู้ใด เป็นกษัตริย์ก็ตาม
เป็นแพทย์ก็ตาม เป็นศูทรก็ตาม เป็นคนจัณฑาลก็ตาม
คนเทหยักเยื่อก็ตาม ผู้นั้นก็จัดเป็นคนสูงสุดของบุรุษ
นั้น.
ท่านทั้งหลายจงลงอาชญาและเฆี่ยนตีมาณพผู้นี้
แล้วจับมาณพลามกผู้นี้ ไสคออกไปเสีย มาณพใด

ได้ประโยชน์อย่างสูงสุดด้วยความยากเข็ญ ท่านทั้ง-
หลายจงยังมาณพนั้น ให้พินาศเพราะความเย่อหยิ่ง
จองหอง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มธุตฺถิโก ความว่า บุรุษผู้ต้องการด้วย
น้ำหวาน ตรวจดูน้ำหวานในป่า ย่อมได้น้ำหวานของต้นไม้นั้น จากที่ใด
ต้นไม้นั้นแล จัดว่าเป็นต้นไม้สูงสุดสำหรับผู้นั้น นรชนพึงรู้ธรรม คือเหตุ
ประโยชน์ที่ควรจากบุรุษใดในบรรดากษัตริย์เป็นต้น เหมือนอย่างนั้น บุรุนั้น
จัดว่าเป็นผู้สูงสุดของนรชนนั้น. บทว่า อิมสฺส ทณฺฑญฺจ ความว่า ท่าน
ทั้งหลายจงเพิกหนังหลังของบุรุษผู้มีธรรมอันลามกนี้ด้วยชิ้นไม้ไผ่ สำหรับ
เฆี่ยนและลงอาชญาทุกอย่าง แล้วจับคอบุรุษผู้ลามกนี้ขับไสไปเสีย ลงโทษตาม
อำเภอใจแล้วขับไล่ไปเสีย จะประโยชน์อะไรด้วยบุรุษนี้ผู้อยู่ในที่นี้.
พวกราชบุรุษพากันทำตามพระราชบัญชาอย่างนั้น พากันกล่าวว่า
เจ้าไปเถิด เจ้าไปสู่สำนักอาจารย์ของเจ้า ทำให้อาจารย์ของเจ้าชื่นชมได้แล้ว
ถ้าเจ้าจักได้มนต์อีก ค่อยมาในที่นี้ ถ้าไม่ได้ก็อย่ามองดูทิศนี้เลย ได้กระทำ
เขาให้หมดอำนาจทีเดียว. เขาหมดที่พึ่งคิดว่า เว้นอาจารย์แล้ว ที่พึ่งอื่นของเรา
ไม่มี เราต้องไปหาท่าน ทำให้ท่านชื่นชมขอเรียนมนต์นั้นอีกจนได้ ร้องไห้
พลางเดินไปสู่บ้านนั้น ครั้งนั้นพระมหาสัตว์เห็นเขาเดินมา ก็เรียกภรรยามา
กล่าวว่า นางผู้เจริญ เชิญดูซิ เจ้านี่ ชั่วช้า มนต์เสื่อมหมดแล้ว กำลังกลับมา.
เขาไปหาพระมหาสัตว์ ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ถูกท่านถามว่า
เหตุไรเล่าเจ้าจึงมา จึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ผมทำมุสาวาทบอกคืน
ท่านอาจารย์เสีย ถึงความฉิบหายใหญ่โต เมื่อจะแสดงโทษที่ล่วงเกินแล้ว
ขอเรียนมนต์ใหม่ จึงกล่าวคาถาว่า

บุคคลผู้สำคัญว่าที่เสมอ พึงตกบ่อ ถ้ำ เหว
หรือหลุม ที่มีรากไม้ผุฉันใด อนึ่ง บุคคลตาบอด
เมื่อสำคัญว่าเชือก พึงเหยียบงูเห่า พึงเหยียบไฟฉันใด
ข้าแต่ท่านผู้มีปัญญา ท่านทราบว่าข้าพเจ้าพลาดไปแล้ว
ฉันนั้น ขอจงให้มนต์แก่ข้าพเจ้า ผู้มีมนต์อันเสื่อม
แล้ว อีกสักครั้งหนึ่งเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถา สมํ ความว่า บุรุษสำคัญว่า ที่นี้เป็น
ที่สม่ำเสมอ พึงตกไปสู่บ่อ ถ้ำ เหว กล่าวคือที่พลาดจากพื้น หรือรากไม้ผุ.
บทว่า ปูติปาทํ ความว่า ต้นไม้ใหญ่ในหิมวันตประเทศแห้งตาย เมื่อราก
ทั้งหลายของต้นไม้ใหญ่นั้น เกิดเปื่อยเน่า ในที่นั้นย่อมเป็นบ่อใหญ่ นี้เป็น
สถานที่ชื่อของบ่อใหญ่นั้น. บทว่า โชติมธิฏฺฐเหยฺย ความว่า พึงเหยียบไฟ.
บทว่า เอวํปิ ความว่า แม้เราก็ฉันนั้น เป็นผู้บอดเพราะไม่มีจักษุคือปัญญา
ไม่รู้คุณวิเศษของท่าน พลั้งพลาดในท่าน ท่านรู้เรานั้นว่าเป็นผู้พลั้งพลาด.
บทว่า สปญฺญา ความว่า ดูก่อนท่านผู้สมบูรณ์ด้วยญาณ จงให้มนต์แก่ข้าพเจ้า
ผู้เสื่อมมนต์อีก.
ลำดับนั้น อาจารย์กล่าวกะเขาว่า ดูก่อนพ่อ เจ้าพูดอะไร ธรรมดาว่า
คนบอด เมื่อมีผู้ให้สัญญาแล้ว ย่อมหลบหลีกบ่อเป็นต้นได้ เราเล่าก็บอกเจ้า
แล้วแต่แรกทีเดียว คราวนี้เจ้าจะมาหาเราเพื่อประโยชน์อะไรเล่า แล้วกล่าว
คาถาเหล่านี้ว่า
เราได้ให้มนต์แก่ท่านโดยธรรม ฝ่ายท่านก็ได้
เรียนมนต์โดยธรรม หากว่าท่านมีใจดีรักษาปกติไว้
มนต์ก็จะไม่พึงละทิ้งท่านผู้ตั้งอยู่ในธรรม.

ดูก่อนคนพาล มนต์อันใดที่จะพึงได้ในมนุษย-
โลก มนต์อันนั้นท่านก็จะได้ในวันนี้โดยลำบาก ท่าน
ผู้ไม่มีปัญญา กล่าวคำเท็จ ทำมนต์อันมีค่าเสมอด้วย
ชีวิต ที่ได้มาโดยยากให้เสื่อมเสียแล้ว.
เราจะไม่ให้มนต์เช่นนั้นแก่เจ้าผู้เป็นพาล หลง-
งมงาย อกตัญญู พูดเท็จ ไม่มีความสำรวม มนต์ที่ไหน
ไปเสียเถิด เราไม่พอใจ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน ความว่า แม้เราก็ไม่รับเงิน
หรือทองอันเป็นส่วนของอาจารย์ ยินยอมมอบให้แก่ท่านโดยธรรมแท้ทีเดียว
เเม้เจ้าเล่าก็มิได้ให้อะไร ย่อมรับเอาโดยธรรม โดยเสมอดุจกัน. บทว่า ธมฺเม
ฐิตํ
ได้แก่ ตั้งอยู่ในธรรมของบุคคลผู้บูชาอาจารย์. บทว่า ตาทิสเก ความว่า
เราไม่ยอมให้มนต์เห็นปานนั้น คือที่จะให้มะม่วงมีผลในเวลามิใช่ฤดูกาล เจ้า
จงไป เจ้าไม่ถูกใจข้าเลย. เขาถูกอาจารย์ตะเพิดอย่างนี้ คิดว่าเราจะอยู่ไปทำไม
ดังนี้เข้าไปสู่ป่า ตายอย่างน่าอนาถ.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่
แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตก็บอกคืนอาจารย์เสีย ถึงความ
พินาศอย่างใหญ่หลวงแล้ว ดังนี้แล้วจึงทรงประชุมชาดกว่า มาณพอกตัญญู
ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัต พระราชาได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วน
บุตรคนจัณฑาล คือเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาอัมพชาดก

2. ผันทนชาดก



ว่าด้วยการผูกเวรหมีและไม้ตะคร้อ


[1738] ท่านเป็นบุรุษถือขวาน มาสู่ป่ายืนอยู่
ดูก่อนสหาย เราถามท่าน ท่านจงบอกแก่เรา ท่าน
ต้องการจะตัดไม้หรือ.

[1739] เจ้าเป็นหมี เที่ยวอยู่ทั่วไปทั้งที่ทึบและ
ที่โปร่ง ดูก่อนสหาย เราถามเจ้า ขอเจ้าจงบอกแก่เรา
ไม้อะไรที่จะทำเป็นกงรถได้มั่นคงดี.

[1740] ไม้รังก็ไม่มั่นคง ไม้ตะเคียนก็ไม่มั่นคง
ไม้หูกวางจะมั่นคงที่ไหนเล่า แต่ว่าตัดต้นไม้ชื่อว่าต้น
ตะคร้อนั่นแหละ ทำเป็นกงรถมั่นคงดีนัก.

[1741] ต้นตะคร้อนั้นใบเป็นอย่างไร อนึ่ง
ลำต้นเป็นอย่างไร ดูก่อนสหาย เราถามเจ้า ขอเจ้า
จงบอกแก่เรา เราจะรู้จักไม้ตะคร้อได้อย่างไร.

[1742] กิ่งทั้งหลายแห่งต้นไม้ใด ย่อมห้อยลง
ด้วย ย่อมน้อมลงด้วยแต่ไม่หัก ต้นไม้นั้นชื่อว่าต้น
ตะคร้อ ที่เรายืนอยู่ใกล้โคนต้นนี่.

[1743] ต้นไม้นี้แหละชื่อว่าต้นตะคร้อ เป็น
ต้นไม้ควรแก่การงานของท่านทุกอย่าง คือ ควรแก่กำ
ล้อ ดุม งอนและกงรถ.

[1744] เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นตะคร้อได้กล่าวดัง
นี้ว่า ดูก่อนภารทวาชะ แม้ถ้อยคำของเรามีอยู่ เชิญ
ท่านฟังถ้อยคำของเราบ้าง.