เมนู

[1724] บัณฑิตได้เห็นแล้ว ได้ฟังแล้ว พึงรู้
ว่าเป็นมิตรด้วยอาการเหล่าใด อาการดังกล่าวมา 16
ประการนี้ มีอยู่ในบุคคลผู้เป็นมิตร.

จบมิตตามิตตชาดกที่ 10
จบทวาทสนิบาต

อรรถกถามิตตามิตตชาดก


พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภอำมาตย์ผู้ประพฤติประโยชน์ของพระเจ้าโกศล ตรัสพระ-
ธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กานิ กมฺมานิ กุพฺพานํ ดังนี้.
ได้ยินว่า อำมาตย์ผู้นั้นได้มีอุปการะแด่พระราชาเป็นอันมาก พระราชา
ก็ได้ประทานสักการสัมมานะแก่เขาอย่างเหลือเฟือ พวกอำมาตย์ที่เหลือทนดู
อยู่ไม่ได้ จึงพากันทูลยุยงว่า ข้าแต่พระองค์ อำมาตย์คนโน้นจะทำความพินาศ
แก่พระองค์ พระราชาทรงกำหนดพิจารณาดูอำมาตย์นั้น ก็ไม่เห็นโทษอะไร ๆ
ทรงพระดำริว่า เราไม่เห็นโทษอะไร ๆ ของอำมาตย์นี้ ทำอย่างไรหนอ เราจึง
จะสามารถรู้ว่า อำมาตย์นี้เป็นมิตรหรือมิใช่มิตร ทรงคิดได้ว่า เว้นพระตถาคต
เสียแล้ว คนอื่นไม่สามารถรู้ปัญหานี้ได้ เราจักไปทูลถาม พอเสวยพระกระ-
ยาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ทำอย่างไรหนอ คนเราจึงจะสามารถรู้ว่า ใครเป็นมิตรหรือมิใช่มิตรของตน.

ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะพระราชาว่า ดูก่อนมหาบพิตร แม้
บัณฑิตในครั้งก่อน ก็คิดปัญหานี้แล้วถามพวกบัณฑิตรู้ได้โดยที่บัณฑิตเหล่า
นั้นบอก เว้นพวกที่มิใช่มิตรเสีย คบแต่มิตรเท่านั้น พระราชาทูลอาราธนา
ให้ตรัสเรื่องราว พระองค์ทรงนำอดีตนิทานมา ตรัสเล่า ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนคร
พาราณสี
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอำมาตย์สอนอรรถธรรมแด่พระราชา
ครั้งนั้นในพระนครพาราณสี มีอำมาตย์คนหนึ่งประพฤติประโยชน์แด่พระราชา
พวกอำมาตย์ที่เหลือพากันทูลยุยงพระราชา พระราชาไม่ทรงเห็นโทษของ
อำมาตย์นั้น ทรงพระดำริว่า ทำอย่างไรหนอ เราจึงจะสามารถรู้ว่าอำมาตย์นี้
เป็นมิตรหรือมิใช่มิตร เมื่อจะตรัสถามพระมหาสัตว์ ได้ตรัสพระคาถาที่ 1 ว่า
บุรุษผู้เป็นบัณฑิตผู้มีปัญญา ได้เห็นและได้ฟัง
ซึ่งบุคคลผู้ทำกรรมอย่างไร จึงจะรู้ได้ว่าผู้นี้มิใช่มิตร
วิญญูชนจะพึงพยายามอย่างไร จึงจะรู้ได้ว่าผู้นี้มิใช่
มิตร.

คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญา เห็นคน
ผู้กระทำการงานเช่นไร ด้วยจักษุ ได้ฟังเรื่องนั้นด้วยหู พึงรู้ว่าผู้นี้ไม่ใช่มิตร
ของเรา วิญญูชนพึงพยายามอย่างไร เพื่อรู้จักผู้นั้น.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะตรัสบอกลักษณะของผู้ที่มิใช่มิตรแก่
พระราชา ได้ตรัสพระคาถาว่า
บุคคลผู้มิใช่มิตรเห็นเพื่อน ๆ แล้ว ไม่ยิ้มแย้ม
แจ่มใส ไม่ร่าเริงต้อนรับเพื่อนไม่ดูแลเพื่อน กล่าวคำ
ย้อนเพื่อน.

บุคคลมิใช่มิตร คบหาศัตรูของเพื่อนไม่คบหา
มิตรของเพื่อน ห้ามผู้ที่กล่าวสรรเสริฐเพื่อน สรรเสริญ
ผู้ที่ด่าเพื่อน.
บุคคลผู้มิใช่มิตร ไม่บอกความลับแก่เพื่อน ไม่
ช่วยปกปิดความลับของเพื่อน ไม่สรรเสริญการงาน
ของเพื่อน ไม่สรรเสริญปัญญาของเพื่อน.
บุคคลผู้มิใช่มิตร ยินดีในความฉิบหายของเพื่อน
ไม่ยินดีในความฉิบหายของเพื่อน ได้อาหารที่ดีมีรส
อร่อยมาแล้ว ก็มิได้นึกถึงเพื่อน ไม่ยินดีอนุเคราะห์
เพื่อนว่า อย่างไรหนอ เพื่อนของเราพึงได้ลาภจากที่นี้
บ้าง.
บัณฑิตได้เห็นและได้ฟังแล้ว พึงรู้ว่ามิใช่มิตร
ด้วยอาการเหล่าใด อาการดังกล่าวมา 16 ประการนี้
มีอยู่ในบุคคลผู้มิใช่มิตร.

พระมหาสัตว์ตรัสพระคาถา 5 คาถาเหล่านี้แล้ว อันพระราชา
ตรัสถามถึงลักษณะของมิตรด้วยพระคาถานี้อีกว่า
บัณฑิตมีปัญญา ได้เห็นและได้ฟังผู้กระทำกรรม
อย่างไรจึงจะรู้ไว้ว่าผู้นี้เป็นมิตร วิญญูชนจะพึงพยายาม
อย่างไร จึงจะรู้ได้ว่าผู้นี้เป็นมิตร

จึงตรัสคาถาที่เหลือว่า
บุคคลผู้เป็นมิตรนั้น ย่อมระลึกถึงเพื่อนผู้อยู่
ห่างไกล ย่อมยินดีต้อนรับเพื่อนผู้มาหา ถือว่าเป็น
เพื่อนของเราจริง รักใคร่จริงทักทายปราศรัยด้วยวาจา
อันไพเราะ.

คนที่เป็นมิตรย่อมคบหาผู้ที่เป็นมิตรของเพื่อน
ไม่คบหาผู้ที่ไม่ใช่มิตรของเพื่อน ห้ามปรามผู้ที่ด่า
ติเตียนเพื่อน สรรเสริญผู้ที่พรรณนาคุณความดีของ
เพื่อน.
คนที่เป็นมิตร ย่อมบอกความลับแก่เพื่อน ปิด
ความลับของเพื่อน สรรเสริญการงานของเพื่อน
สรรเสริญปัญญาของเพื่อน.
คนที่เป็นมิตรย่อมยินดีในความเจริญของเพื่อน
ไม่ยินดีในความเสื่อมของเพื่อน ได้อาหารมีรสอร่อย
ย่อมระลึกถึงเพื่อน ยินดีอนุเคราะห์เพื่อนว่า อย่างไร
หนอ เพื่อนของเราพึงจะได้ลาภจากที่นี้บ้าง.
บัณฑิตเห็นแล้ว ได้ฟังแล้ว พึงรู้ว่ามิตรด้วย
อาการเหล่าใด อาการดังกล่าวมา 16 ประการนี้ มีอยู่
ในบุคคลผู้เป็นมิตร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น นํ อุมฺหยเต ความว่า คนที่มิใช่
มิตร เห็นมิตรปฏิรูป ไม่กระทำความยิ้มแย้ม ไม่แสดงอาหารร่าเริง. บทว่า
น จ นํ ปฏินนฺทติ ความว่า เมื่อรับถ้อยคำของเขาแล้ว ไม่ชื่นชม
ไม่ยินดี. บทว่า จกฺขูนิ จสฺส ททา ความว่า เมื่อเพื่อนแลดูตัว ๆ ก็ไม่
แลดูเสีย. บทว่า ปฏิโลมญฺจ ความว่า กล่าวย้อนถ้อยคำเพื่อน คือเป็นศัตรู.
บทว่า วณฺณกาเม ความว่า เมื่อกล่าวสรรเสริญคุณเพื่อน. บทว่า
นกฺขาติ ความว่า คนมิใช่มิตร ย่อมไม่บอกความลับของตนแก่เพื่อน. บทว่า
กมฺมนฺตสฺส ความว่า ย่อมพรรณนากรรมที่เพื่อนนั้นทำ. บทว่า ปญฺญสฺส
ความว่าไม่สรรเสริญปัญญาของเพื่อน ไม่สรรเสริญเพื่อนผู้ที่สมบูรณ์ด้วยญาณ.

บทว่า อภเว แปลว่า ไม่เจริญ. บทว่า ตสฺส นุปฺปชฺชเต ความว่า มิตรปฏิรูป
ย่อมไม่เกิดสติขึ้นว่า เราจักให้แม้แก่มิตรของเราแต่ที่นี้. บทว่า นานุกมฺปติ
ความว่า ย่อมไม่คิดด้วยจิตอ่อนโยน. บทว่า ลเภยฺยิโต ความว่า เพื่อนพึง
ได้ลาภแต่ที่นี้. บทว่า อาการา ได้แก่ เหตุการณ์. บทว่า ปวุตฺถํ แปลว่า
ไปต่างถิ่น. บทว่า เกลายิโก ความว่า คนที่เป็นมิตร ย่อมรักใคร่ นับถือ
ว่าเป็นเพื่อนเรา เริ่มตั้งรักใคร่ปรารถนา. บทว่า วาจาย ความว่า เมื่อจะ
เปล่งถ้อยคำกะเพื่อนด้วยถ้อยคำอันไพเราะย่อมยินดี. คำที่เหลือพึงทราบโดยนัย
เป็นปฏิปักษ์ต่อคำที่กล่าวแล้วนั่นแล.
พระราชามีพระทัยชื่นชมถ้อยคำของพระมหาสัตว์ ได้พระราชทาน
ยศอันยิ่งใหญ่แก่พระมหาสัตว์แล้ว.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วตรัสว่า ดูก่อน
มหาบพิตร ปัญหานี้ได้ตั้งขึ้นแม้ในกาลก่อนอย่างนี้ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวถึง
ปัญหานี้ว่า คนที่มิใช่มิตร และคนที่เป็นมิตร จะพึงรู้ได้ด้วยอาการสามสิบสอง
เหล่านี้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในกาลนั้น ได้มาเป็นพระ-
อานนท์ ส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิต ได้มาเป็นเราตถาคตแล.

จบอรรถกถามิตตามิตตชาดก
จบอรรถกถาทวาทสนิบาต ประดับด้วยชาดก 10 ชาดกในชาตกัฏฐกถา
ด้วยประการฉะนี้


รวมชาดกที่มีในทวาทสนิบาตนี้ คือ


1. จุลลกุณาลชาดก 2. ภัททสาลชาดก 3. สมุททวาณิชชาดก
4. กามชาดก 5. ชนสันธชาดก 6. มหากัณหชาดก 7. โกสิยชาดก
8. เมณฑกปัญหาชาดก 9. มหาปทุมชาดก 10. มิตตามิตตชาดก และ
อรรถกถา.