เมนู

อรรถกถามหาปทุมชาดก



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงพระปรารภ
นางจิญจมาณวิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นาทิฏฺฐา ปรโต
โทสํ
ดังนี้.
ความพิสดารว่า ครั้งปฐมโพธิกาล เมื่อพระสาวกของพระทศพลมี
มากขึ้น เทวดาและมนุษย์หยั่งลงสู่อริยภูมิหาประมาณไม่ได้ คุณสมุทัยของ
พระศาสดาได้แผ่ไปทั่ว ลาภสักการะได้เกิดขึ้นมามากมาย พวกเดียรถีย์เสื่อม
ลาภสักการะ เหมือนหิ่งห้อยเวลาพระอาทิตย์ขึ้น จึงพากันเที่ยวยืนในระหว่าง
ถนน ชักชวนคนทั้งหลายอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าผู้เดียว
เมื่อไร แม้พวกเราก็เป็นพระพุทธเจ้า ทานที่ถวายพระสมณโคดมมีผลมาก
แม้ที่ถวายแก่พวกเราก็มีผลมากเหมือนกัน ขอท่านทั้งหลายจงทำทานแก่พวก
เราบ้าง ดังนี้ ก็ไม่ได้ลาภสักการะ จึงประชุมลับหารือกันว่า พวกเราใช้อุบาย
อย่างไรดีหนอ จึงจะสร้างความผิดของพระสมณโคดมขึ้นในหมู่มนุษย์ แล้ว
ทำลาภสักการะให้ฉิบหายได้.
ครั้งนั้น ในพระนครสาวัตถี มีนางปริพาชิกาคนหนึ่ง ชื่อจิญจมาณ-
วิกา
มีรูปร่างงามเลิศดุจเทพอัปสร มีรัศมีซ่านออกจากร่างของนาง เดียรถีย์
คนหนึ่งมีความคิดกล้า ได้กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราพึงอาศัยนางจิญจมาณวิกา
สร้างความผิดขึ้นแก่พระสมณโคดม ทำลาภสักการะให้ฉิบหาย พวกเดียรถีย์
ต่างรับว่าอุบายของท่านเข้าที ครั้งนั้นนางจิญจมาณวิกามาสู่อารามเดียรถีย์ ไหว้
แล้วยืนอยู่ พวกเดียรถีย์มิได้พูดกับนาง นางจึงคิดว่า เรามีความผิดอย่างไรหนอ
แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันไหว้ ดังนี้ถึงสามครั้ง แล้ว

กล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันมีความผิดอย่างไรหนอ เหตุไร
ท่านทั้งหลายจึงไม่พูดกับดิฉัน พวกเดียรถีย์กล่าวว่า ดูก่อนน้องหญิง เจ้าไม่รู้
ดอกหรือว่าพระสมณโคดมเบียดเบียนพวกเรา เที่ยวทำให้พวกเราเสื่อมลาภสักกา-
ระ ดิฉันไม่รู้ เจ้าข้า ก็ดิฉันควรจะทำอย่างไรในเรื่องนี้ ดูก่อนน้องหญิง ถ้าเจ้า
ปรารถนาหาความสุขแก่พวกเรา จงใช้ตัวของเจ้าสร้างความไม่ดีขึ้นแก่พระ-
สมณโคดม ทำลาภสักการะให้ฉิบหาย นางรับว่า ดีละเจ้าข้า เรื่องนี้เป็นภาระ
ของดิฉัน ขอท่านทั้งหลายอย่าวิตกไปเลยแล้วหลีกไป โดยที่นางเป็นผู้ฉลาด
ในมายาหญิง ตั้งแต่นั้นมา เวลาชาวพระนครสาวัตถีฟังธรรมกถาแล้วออกจาก
พระเชตวัน นางห่มผ้าสีดังแมลงค่อมทอง ถือของหอมแลดอกไม้เป็นต้น
เดินตรงไปพระเชตวัน เมื่อมีคน ถามว่า จะไปไหนเวลานี้ ก็กล่าวว่า
ประโยชน์อะไรด้วยที่เป็นที่ไปของฉันสำหรับท่าน แล้วก็เข้าอารามเดียรถีย์ซึ่ง
อยู่ใกล้ ๆ พระเชตวัน ครั้นเวลาเช้า เมื่อพวกอุบาสกออกจากพระนครเพื่อ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นางก็ทำเป็นอยู่ในพระเชตวันแล้วเข้าพระนคร
เมื่อมีใครถามว่า ท่านอยู่ที่ไหน นางก็กล่าวว่า ประโยชน์อะไรด้วยการอยู่
ของเราสำหรับท่าน ครั้นล่วงไปเดือนสองเดือน ถูกถามอีก นางก็กล่าวว่า
ฉันอยู่ร่วมคันกุฎีกับพระสมณโคดมในพระเชตวัน ได้ทำความสงสัยแก่พวก
ปุถุชนว่า นางจิญจมาณวิกาพูดนี้ จริงหรือไม่หนอ ครั้นล่วงไปสามสี่เดือน
นางก็เอาผ้าขี้ริ้วมาพันท้อง ทำเป็นหญิงมีท้อง เอาผ้าแดงคลุมข้างบน ทำให้
พวกอันธพาลเชื่อว่า มีท้องกับพระสมณโคดม ครั้นล่วงไปแปดเก้าเดือน
นางก็เอาไม้วงกลมผูกไว้ที่ท้อง เอาผ้าคลุมข้างบน ให้พวกเดียรถีย์เอาไม้คางโค
ทุบหลังมือ หลังเท้าให้บวมมีอินทรีย์ลำบาก ครั้นเวลาเย็น เมื่อพระตถาคต

นั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ที่ตกแต่งไว้ นางไปธรรมสภา ยืนตรงพระพักตร์
พระตถาคต เหมือนหญิงที่พยายามเอาก้อนคูถขว้างดวงจันทร์ ด่าพระตถาคต
ในท่ามกลางบริษัททีเดียวว่า แน่ะมหาสมณะ ท่านแสดงธรรมแก่มหาชน เสียง
ของท่านไพเราะ ริมฝีปากสนิทดี แต่ฉันมีท้องเพราะท่าน เวลานี้ก็ครบกำหนด
แล้ว ท่านยังไม่เตรียมเรือนคลอดแก่ฉัน เนยใสและน้ำมันเป็นต้นก็ยังไม่มี
เมื่อท่านไม่ทำเอง ก็ไม่บอกแก่อุปัฏฐากของตนคนใดคนหนึ่งเช่นพระเจ้าโกศล
อนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาอุบาสิกาวิสาขา ว่าจงช่วยทำสิ่งที่ควรทำแก่นาง
จิญจมาณวิกานี้ ท่านรู้จักแต่อภิรมย์เท่านั้น ไม่รู้จักบริหารครรภ์ พระตถาคต
ได้ทรงสดับดังนั้น จึงหยุดธรรมกถามีอาการดุจพระยาสีหะ ทรงบันลือพระ-
สุรสิงหนาทว่า น้องหญิง ฉันกับเธอสองคนเท่านั้น รู้คำที่เธอกล่าวว่า จริง
หรือไม่จริง นางจิญจมาณวิกากล่าวว่า ถูกแล้ว พระสมณะ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะ
ท่านกับฉันรู้กัน.
ขณะนั้น ภพของท้าวสักกะได้แลดูอาการเร่าร้อน ท้าวสักกะพิจารณาดู
ก็ทรงทราบว่า นางจิญจมาณวิกาด่าพระตถาคต ด้วยเรื่องไม่เป็นจริง จึงทรง
ดำริว่า จักชำระเรื่องนี้ แล้วเสด็จมากับเทพบุตรสี่องค์ เทพบุตรเหล่านั้น
แปลงเพศเป็นลูกหนู เข้าไปกัดเชือกผูกไม้วงกลมพร้อมกัน ได้มีลมพัดเปิดผ้า
คลุมขึ้น ไม้วงกลมตกลงถูกหลังเท้านางจิญจมาณวิกา ปลายเท้าทั้งสองแตก
พวกมนุษย์เห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า อีกาลกรรณี มึงด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และช่วยกันถ่มน้ำลายรดศีรษะ ถือก้อนดินท่อนไม้ขับออกจากพระเชตวัน พอ
นางจิญจมาณวิกาได้พ้นครองจักษุพระตถาคต แผ่นดินใหญ่เเยกเป็นช่อง
เปลวไฟพลุ่งขึ้นจากอเวจี โอบอุ้มนางจิญจมาณวิกา เหมือนกับห่มผ้ากัมพล
ที่ตระกูลให้ไว้ จมลงไปในอเวจี ลาภสักการะของอัญเดียรถีย์ทั้งหลายก็เสื่อม
ไป แต่ของพระทศพลเจริญยิ่งขึ้นเหลือประมาณ.

วันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลาย ยกเรื่องขึ้นสนทนาในธรรมสภาว่า ดูก่อน
อาวุโสทั้งหลาย นางจิญจมาณวิกาด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นอัครทักษิไณย-
บุคคลอันโอฬาร ด้วยเรื่องไม่จริง ถึงความพินาศใหญ่ พระศาสดาเสด็จมา
ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลาย นั่งสนทนากันถึงเรื่องอะไร
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่
แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่นางจิญจมาณวิกานี้ด่าเราด้วยเรื่องไม่จริงแล้วถึงความพินาศ
แม้ในกาลก่อน นางก็ด่าเราด้วยเรื่องไม่จริง แล้วถึงความพินาศเหมือนกัน
แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัสเล่าดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน พระนคร
พาราณสี
พระโพธิสัตว์เกิดให้ครรภ์พระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตเสวย
ราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในครรภ์พระอัครมเหสีของ
พระเจ้าพรหมทัต พระญาติทั้งหลายถวายพระนามพระโพธิสัตว์ว่า ปทุมกุมาร
เพราะมีพระพักตร์แลดูเหมือนดอกบัวบาน พระโพธิสัตว์นั้นครั้นเจริญวัยแล้ว
ไปเรียนศิลปวิทยาทั้งปวงสำเร็จแล้วกลับมา ลำดับนั้น พระชนนีของพระองค์
สิ้นพระชนม์ พระราชาได้แต่งตั้งหญิงอื่นเป็นอัครมเหสี แล้วพระราชทาน
ตำแหน่งอุปราชแก่พระโอรส ต่อมา พระราชาเสด็จไปปราบปัจจันตประเทศ
ที่กำเริบขึ้น รับสั่งกะพระอัครมเหสีว่า น้องรัก เธอจงอยู่ที่นี้แหละ ฉันจะไป
ปราบปัจจันตประเทศ พระนางทูลว่า หม่อมฉัน จะไม่อยู่ที่นี่ จักขอโดยเสด็จด้วย
พระองค์ตรัสโทษในสนามรบให้ฟัง แล้วตรัสว่า เธอจงอย่ากระวนกระวาย
อยู่จนกว่าฉันจะมา ฉันจะสั่งปทุมกุมารมิให้ลืมกิจการที่ควรกระทำแก่เธอ ดังนี้
แล้วทรงกระทำตามที่ตรัส แล้วเสด็จไปขับไล่ปัจจามิตร ทำชนบทให้สงบ
ราบคาบแล้วเสด็จกลับมาตั้งค่ายพักอยู่นอกพระนคร.

พระโพธิสัตว์ทราบว่า พระชนกเสด็จมา จึงให้ประดับพระนคร
ตกแต่งพระราชมณเฑียร แล้วไปสำนักพระอัครมเหสีแต่พระองค์เดียว พระ-
อัครมเหสีเห็นรูปสมบัติของพระโพธิสัตว์ ก็มีจิตรักใคร่ พระโพธิสัตว์ถวาย
บังคมพระนางแล้ว ทูลถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระแม่เจ้าประสงค์สิ่งใด
หม่อมฉันจะทำถวาย ลำดับนั้น พระนางตรัสว่า เธออย่าเรียกฉันว่าเเม่ เสด็จ
ลุกขึ้นจูงมือพระโพธิสัตว์ตรัสว่า เธอจงขึ้นบนพระที่เถิด ทูลถามว่า เพื่ออะไร
ตรัสว่า เราทั้งสองจักรื่นรมย์ด้วยความยินดีในกิเลส ชั่วเวลาที่พระราชายังไม่
เสด็จมา ข้าแต่พระแม่เจ้า เสด็จแม่เป็นแม่ของหม่อมฉันด้วย ยังมีพระสามี
อยู่ด้วย ขึ้นชื่อว่าหญิงที่มีผู้หวงแหน หม่อมฉันไม่เคยทำลายอินทรีย์แลดูด้วย
อำนาจกิเลสเลย หม่อมฉันจักทำกรรมที่เศร้าหมองถึงเพียงนี้กับพระแม่อย่างไร
ได้ พระนางได้ตรัสถึงสองสามครั้ง เมื่อพระโพธิสัตว์ไม่ปรารถนา พระนาง
จึงตรัสว่า เจ้าจะไม่ทำตามคำของเราหรือ ทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า หม่อมฉัน
ทำไม่ได้ ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น เราจักกราบทูลแด่พระราชาอย่างนี้ แล้วให้ตัด
ศีรษะของท่านเสีย พระมหาสัตว์ตรัสว่า จงทำตามชอบของพระแม่เจ้าเถิด
ได้ทำให้พระนางละอายพระทัยแล้วหลีกไป.
พระนางมีความสะดุ้งกลัว ทรงดำริว่า ถ้ากุมารนี้ไปกราบทูลพระบิดา
ก่อนเรา เราคงไม่รอดชีวิต เราจักกราบทูลเสียก่อน ทรงดำริเช่นนี้แล้ว ไม่
เสวยกระยาหาร ทรงนุ่งห่มผ้าเศร้าหมอง แสดงรอยเล็บที่พระสรีระ แล้วให้
สัญญาแก่พวกหญิงคนใช้ว่า เมื่อพระราชาตรัสถามว่า พระเทวีเสด็จไปไหน
ท่านทั้งหลายทูลว่า เป็นไข้ แล้วก็ลวงว่าเป็นไข้บรรทมอยู่ พระราชาทรงทำ
ประทักษิณพระนครแล้วเสด็จขึ้นพระราชนิเวศน์ เมื่อไม่เห็นเทวี จึงตรัสถามว่า
พระเทวีไปไหน ทรงสดับว่าเป็นไข้ จึงเสด็จเข้าห้องบรรทม ตรัสถามว่า

แน่ะพระเทวี พระน้องไม่สบายไปหรือ พระนางทำเป็นไม่ได้ยินดำรัสพระราชา
แม้ถูกถามถึงสองสามครั้ง ก็นิ่งเสีย พระราชาตรัสถามว่า แน่ะพระเทวี เหตุไร
จึงไม่พูดกับฉัน พระนางทูลว่า บรรดาหญิงที่มีสามีแล้วไม่มีใครเขาเป็นเหมือน
หม่อมฉัน พระราชาตรัสถามว่า ใครเบียดเบียนพระน้องหรือ จงบอกพี่เร็ว
พี่จักตัดหัวมันเสีย พระนางทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช พระองค์ทรงตั้งใคร
รักษาพระนครแล้วเสด็จไป ตรัสว่า ตั้งเจ้าปทุมกุมารโอรสของเรา พระนาง
ทูลว่า ปทุมกุมารมาที่อยู่ของหม่อมฉัน แม้หม่อมฉันจะกล่าวว่า แน่ะพ่อ
เจ้าอย่าทำอย่างนี้ ฉันเป็นแม่ของเจ้า ปทุมกุมารกล่าวว่า นอกจากเรา คนอื่น
ชื่อว่าเป็นพระราชาไม่มี เราจักให้พระนางอยู่ในพระราชฐาน รื่นรมย์กันด้วย
ความยินดีแห่งกิเลส แล้วจับมวยผมของหม่อมฉันทึ้งไปมา เมื่อหม่อมฉันไม่
ยอมทำตามคำของตน ก็ทุบตีแล้วออกไป.
พระราชาไม่ทรงพิจารณาก่อน ทรงพระพิโรธดังอสรพิษรับสั่งพวก
ราชบุรุษว่า พวกเจ้าจงไปมัดปทุมกุมารนำมา พวกราชบุรุษพากันไปวังปทุม
กุมาร เหมือนอย่างกะแห่ไปเต็มเมือง จับปทุมกุมารทุบตีแล้วมัดมือไพล่หลัง
อย่างมั่นคง เอาโซ่คล้องคอกระทำเป็นนักโทษประหารชีวิต ทุบตีพลางนำไป
พลาง พระโพธิสัตว์คิดว่า นี้เป็นการกระทำของเทวี จึงเดินบ่นมาว่า ดูก่อน
บุรุษผู้เจริญ ทั้งหลาย เรามิได้ประทุษร้ายพระราชา เราไม่มีความผิดเลย ชาว
พระนครทั้งสิ้นพากันเอิกเกริกกล่าวว่า ได้ยินว่า พระราชาเชื่อคำผู้หญิงรับสั่ง
ให้ฆ่าพระมหาปทุมกุมาร ประชุมกันกลิ้งเกลือกแทบเท้าพระกุมารร่ำไรรำพัน
ด้วยเสียงดังว่า ข้าแต่นาย กรรมนี้ไม่สมควรแก่ท่านเลย ขณะนั้นพวกราชบุรุษ
นำพระกุมารไปแสดงแก่พระราชา พระราชาทอดพระเนตรแล้วไม่อาจข่ม
พระพิโรธได้ จึงมีรับสั่งว่า กุมารนี้ไม่ใช่พระราชาเลย ทำท่าทีเป็นพระราชา
เป็นโอรสของเรา ผิดในพระอัครมเหสี ไปเถิด พวกท่านจงจับกุมารทิ้งในเหว

เป็นที่ทิ้งโจรให้ถึงความพินาศเสีย พระมหาสัตว์วิงวอนพระชนกว่า ข้าแต่
เสด็จพ่อ หม่อมฉันไม่มีความผิดถึงเพียงนี้เลย ขอพระองค์อย่าได้ทรงเชื่อ
คำของผู้หญิงทำให้หม่อมฉันพินาศเลย พระราชามิได้ทรงเชื่อถ้อยคำของพระ-
โพธิสัตว์ ลำดับนั้น นางสนมหมื่นหกพันพากันร้องให้เซ็งแซ่ว่า พ่อมหา
ปทุมกุมาร พ่อได้รับกรรมอันนี้ ซึ่งไม่สมควรแก่ตนเลย พวกผู้ใหญ่ทั้งหมด
มีกษัตริย์มหาศาลเป็นต้น ตลอดจนอำมาตย์ราชเสวกทั้งหลาย พากันกราบทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ พระกุมารนี้สมบูรณ์ด้วยคุณคือศีลาจารวัตรเป็นรัชทายาท
สืบสันตติวงศ์ ขอพระองค์อย่าได้ทรงเชื่อคำของผู้หญิง ไม่ทรงพิจารณาก่อน
แล้วทำพระกุมารให้พินาศเสียเลย วิสัยพระราชา ต้องใคร่ครวญก่อนจึงกระทำ
ลงไปแล้วกล่าวคาถา 7 คาถาว่า
พระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ไม่เห็นโทษของ
ผู้อื่นว่าน้อยหรือมากโดยประการทั้งปวง ไม่พิจารณา
ด้วยพระองค์เองก่อนแล้ว ไม่พึงลงอาชญา.
กษัตริย์พระองค์ใด ยังไม่ทันพิจารณา แล้วทรง
ลงพระราชอาญา กษัตริย์พระองค์นั้นชื่อว่า ย่อม
กลืนกินพระกระยาหาร พร้อมด้วยหนาม เหมือนคน
ตาบอดกลืนกินอาหารพร้อมด้วยแมลงวัน ฉะนั้น.
กษัตริย์พระองค์ใด ทรงลงพระราชอาชญากับผู้
ไม่ควรจะลงพระอาญา กษัตริย์พระองค์นั้น เป็น
เหมือนคนเดินทางไม่ราบเรียบ ไม่รู้ว่าทางเรียบหรือ
ไม่เรียบ.
กษัตริย์พระองค์ใด ทรงเห็นเหตุที่ควรลงพระ-
ราชอาญา และไม่ควรพระราชอาชญา และทรงเห็น

เหตุนั้น โดยประการทั้งปวงเป็นอย่างดีแล้ว ทรง
ปกครองบ้านเมือง กษัตริย์พระองค์นั้นสมควรปกครอง
ราชสมบัติ.
กษัตริย์ผู้มีพระทัยอ่อนโยนโดยส่วนเดียว หรือมี
พระทัยกล้าโดยส่วนเดียวก็ไม่อาจที่จะดำรงพระองค์ไว้
ในอิสริยยศที่สูงใหญ่ได้ เพราะเหตุนั้น กษัตริย์ไม่พึง
ประพฤติเหตุทั้งสอง คือพระทัยอ่อนเกินไปและกล้า
เกินไป.
กษัตริย์ผู้มีพระทัยอ่อน ก็ถูกประชาราษฎร์
ดูหมิ่น กษัตริย์ผู้มีพระทัยแข็งนักก็มีเวร กษัตริย์ควร
ทราบเหตุทั้งสองอย่างแล้วประพฤติเป็นกลาง ๆ
ข้าแต่พระราชา คนมีราคะย่อมพูดมาก แม้คนมี
โทสะก็พูดมาก พระองค์ไม่ควรจะให้ปลงพระชนม์
พระราชโอรส เพราะเหตุแห่งหญิงเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาทิฏฐา แปลว่า ไม่เห็น. บทว่า
ปรสฺส แปลว่า ของผู้อื่น. บทว่า สพฺพโส แปลว่า ทั้งปวง. บทว่า
อณุํถูลานิ ได้แก่ โทษน้อยและใหญ่. บทว่า สามํ อปฺปฏิเวกฺขิยา ความว่า
พระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ละทิ้งคำของผู้อื่น ไม่กระทำให้ประจักษ์แก่ตน
ไม่ทรงปรับคือไม่ทรงเริ่มตั้งอาชญา. จริงอยู่ในรัชกาลแห่งพระเจ้าสมมติ สัตว์
ชื่อว่าผู้มีอาชญายิ่งย่อมไม่มี ชื่อว่าการพยายามในการตัดมือและเท้า ยิ่งขึ้นไป
กว่าตี การติเตียนและการขับไล่ย่อมไม่มี ภายหลังพวกอำมาตย์เหล่านั้นกล่าว
หมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยแห่งพระราชผู้กักขฬะนั้นอย่างนี้ว่า การไม่
พิจารณาเห็นโทษของผู้อื่นเองโดยส่วนเดียว ไม่สมควรเลย. บทว่า โย จ

อปฺปฏิเวกฺขิตฺวา ความว่า ข้าแต่พระมหาราช พระราชาใด เมื่อพิจารณา
ปรับโทษอันสมควรแก่โทษอย่างนี้ ตั้งอยู่ในการลุอคติ ไม่พิจารณาเห็นโทษ
นั้น ลงอาญามีการตัดมือเป็นต้น พระราชานั้น เมื่อก่อเหตุให้แก่ตน ชื่อว่า
กลืนพระกระยาหารพร้อมหนาม เหมือนคนตาบอดกลืนข้าวกับแมลงวันฉะนั้น.
บทว่า อทณฺฑิยํ ความว่า พระราชาใด ทรงลงอาญาผู้ที่ไม่ควรลงอาญา
และไม่ลงอาญาผู้ควรลงอาญา ทำตามความชอบใจของตนเท่านั้น พระราชา
นั้น เป็นดังคนตาบอด แม้เดินทางเรียบ ก็ไม่รู้ว่าทางเรียบหรือไม่เรียบเดิน
ไป เหมือนคนตาบอดลื่นลงที่แผ่นหินเป็นต้น ย่อมถึงทุกข์ใหญ่ในมหานรก
ในอบายทั้ง 4. บทว่า เอตานิ ฐานานิ ความว่า พระราชาใด ทรงเห็น
เหตุที่ควรลงอาญาและไม่ควรลงอาญา และทรงเห็นโทษน้อยใหญ่ ในเหตุที่
ควรลงอาญาทั้งหมดอย่างดีแล้ว ทรงปกครองบ้านเมือง พระราชาพระองค์นั้น
แลสมควรเพื่อปกครองราชสมบัติ. บทว่า อตฺตํ มหนฺเต ฐเปตุํ ความว่า
พระราชาผู้มีพระทัยอ่อนโยนโดยส่วนเดียว ไม่อาจยังโภคทรัพย์ที่ยังไม่เกิดเห็น
ปานนั้น ทำให้เกิดขึ้นคือให้มั่นคงถาวร ตั้งตนไว้ในความเป็นใหญ่อันโอฬาร.
บทว่า มุทุ ความว่า พระราชาผู้มีหทัยอ่อนโยน เป็นที่ดูหมิ่นของชาวแว่น-
แคว้น พระองค์ถูกเขาดูหมิ่น ย่อมไม่อาจทำราชสมบัติให้ปราศโจรได้. บทว่า
เวรวา ความว่า ก็ชาวแว่นแคว้น ทั้งหมดเป็นผู้มีเวรต่อพระราชาผู้พระทัยกล้าแข็ง
เกินไป เพราะฉะนั้น พระองค์ชื่อว่าเป็นผู้มีเวร. บทว่า อนุมชฺฌํ ความว่า
เป็นพระราชา พึงประพฤติเป็นกลาง คือ เป็นกลางของความอ่อนและกล้าแข็ง
คือเป็นผู้ไม่อ่อนนัก ไม่กล้าแข็งนักครองราชสมบัติ. บทว่า น อิตฺถิการณา
ความว่า ข้าแต่พระมหาราช พระองค์ไม่ควรสั่งให้ประหารพระโอรสผู้เป็นรัช-
ทายาทสืบสันตติวงศ์ เพราะอาศัยมาตุคามผู้ชั่วช้าลามก.

แม้อำมาตย์ราชเสวกทั้งหลาย จะพากันกราบทูลด้วยเหตุต่าง ๆ อย่างนี้
ก็ไม่อาจให้พระราชาเชื่อถ้อยคำของตนได้. แม้พระโพธิสัตว์ก็วิงวอนอยู่ก็ไม่อาจ
ให้พระราชาเชื่อถ้อยคำของตนได้. ฝ่ายพระราชาผู้เป็นอันธพาล เมื่อจะทรง
บังคับอำมาตย์ว่า ไปเถิด พวกท่านจงจับปทุมกุมารนั้นทิ้งลงในเหวทิ้งโจร ได้
ตรัสพระคาถาที่ 8 ว่า
ด้วยเหตุใด ชาวโลกทั้งหมด จึงร่วมกันเป็นพวก
พ้องของเจ้าปทุมกุมาร ส่วนมเหสีนี้ พระองค์เดียว
เท่านั้น ไม่มีพวกพ้อง ด้วยเหตุนั้น เราจักปฏิบัติตามคำ
ของมเหสี ท่านทั้งหลายจงไป จงโยนเจ้าปทุมกุมาร
นั้นลงในเหวทีเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตนาหํ ความว่า ด้วยเหตุใด ชาวโลก
ทั้งปวง จึงร่วมเป็นผักฝ่ายแห่งพระกุมารดำรงอยู่ ส่วนพระมเหสีพระองค์เดียว
เท่านั้น ไม่มีพวกพ้อง ด้วยเหตุนั้น เราจักปฏิบัติตามคำของพระนาง ไปเถิด
ท่านทั้งหลาย จงยกปทุมกุมารนั้นขึ้นสู่ภูเขาแล้วโยนไปในเหวเถิด.
เมื่อพระราชามีพระราชโองการตรัสอย่างนี้แล้ว นางพระสนมหมื่นหก-
พันสักคนหนึ่งก็ไม่อาจดำรงภาวะของตนอยู่ได้พากันร้องไห้คร่ำครวญ ชาว
พระนครทั้งสิ้นกอดอกร้องไห้สยายผมพิลาปรำพันอยู่ พระราชาทรงดำริว่า
คนเหล่านั้นจะพึงห้ามการทิ้งกุมารลงเหว จึงพร้อมด้วยบริวารเสด็จไป เมื่อ
มหาชนกำลังคร่ำครวญอยู่นั่นแล จึงรับสั่งให้จับปทุมกุมารเอาพระบาทขึ้นเบื้อง
บน เอาพระเศียรลงเบื้องล่าง แล้วให้โยนลงไปในเหว ทันใดนั้น ด้วยอานุภาพ
เมตตาภาวนาของปทุมกุมาร เทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ ภูเขา ได้ปลอบโยนพระกุมาร
ว่า อย่ากลัวเลย พ่อมหาปทุม แล้วกางมือทั้งสองออกรองรับไว้ที่หทัย

ให้ได้สัมผัสทิพยรส แล้วพาไปประทับ ณ ห้องพังพานของพญานาคในนาคพิภพ
ซึ่งตั้งอยู่เชิงภูเขา พญานาคได้นำพระโพธิสัตว์ไปสู่นาคพิภพแล้ว แบ่งสมบัติ
ของตนให้ครองครึ่งหนึ่ง พระโพธิสัตว์อยู่นาคพิภพได้หนึ่งปี กล่าวว่า เราจัก
ไปแดนมนุษย์ พญานาคถามว่า ท่านจักไปที่ไหน เราจักไปบวช ณ หิมวันต-
ประเทศ พญานาครับว่า สาธุ แล้วพาพระโพธิสัตว์ไปส่งถึงแดนมนุษย์ ให้
บริขารบรรพชิตแล้วกลับไปที่อยู่ของตน.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เข้าหิมวันตประเทศ บวชเป็นฤาษี ยังฌานและ
อภิญญาให้เกิด มีเผือกมันผลไม้เป็นอาหารอาศัยอยู่ในที่นั้น ครั้งนั้นนายพราน
ชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง ไปถึงที่นั้น จำพระโพธิสัตว์ได้จึงถามว่า ข้าแต่
พระองค์ ท่านคือมหาปทุมกุมารมิใช่หรือ เมื่อพระโพธิสัตว์ ตรัสว่า ถูกแล้ว
สหาย ได้นมัสการพระโพธิสัตว์ อยู่ที่นั้น สองสามวันแล้วไปเมืองพาราณสี
กราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ พระโอรสของพระองค์บวชเป็นฤาษี
อยู่ในบรรณศาลา ณ หิมวันตประเทศ ข้าพระองค์ได้อาศัยอยู่ในสำนักพระโอรส
นั้นสองสามวันแล้วลามา พระราชาตรัสถามว่า ท่านเห็นแน่ชัดแล้วหรือ
กราบทูลว่า ถูกแล้วพระองค์ พระราชาแวดล้อมด้วยพลนิกายเป็นอันมาก
เสด็จไป ณ ที่นั้น ตั้งค่ายพักพลอยู่ที่ชายป่า พระองค์แวดล้อมไปด้วยอำมาตย์
เสด็จไปบรรณศาลา ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์มีสิริรุ่งโรจน์ประดุจรูปทอง
ประทับนั่งอยู่ที่ประตูบรรณศาลา ถวายนมัสการแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง พวกอำมาตย์นมัสการทำปฏิสันถารนั่งแล้ว พระโพธิสัตว์ทรงปฏิสันถาร
พระราชาด้วยผลไม้.
ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า แน่ะพ่อ เราให้เขาโยน
ท่านลงเหวลึก อย่างไรท่านจึงมีชีวิตอยู่ได้ ได้ตรัสพระคาถาที่ 9 ว่า

เราได้ให้เขาโยนท่านไปในซอกเขา ซึ่งเหมือน
นรกลึกหลายชั่วลำตาล ยากที่จะขึ้นมาได้ เหตุไร
ท่านจึงไม่ตายในที่นั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเนกตาเล แปลว่า ประมาณหลายชั่ว
ลำตาล. บทว่า นามริ ตัดเป็น น อมริ.
(พระกุมารทูลว่า)
พญานาคผู้มีกำลังเรี่ยวแรงเกิดที่ข้างภูเขา รับ-
อาตมภาพในที่นั้นด้วยขนดหาง เพราะเหตุนั้น อาตม-
ภาพจึงมิตายในที่นั้น.

(พระราชาตรัสว่า)
ดูก่อนพระราชบุตร มาเถิด เราจักนำเจ้ากลับ
ไปสู่พระราชวัง จะให้เจ้าครอบครองราชสมบัติ ขอ
ความเจริญจงมีแก่เจ้าเถิด เจ้าจักมาทำอะไรอยู่ในป่า
เล่า.

(พระกุมารทูลว่า)
บุรุษกลืนกินเบ็ดแล้วปลดเบ็ดที่เปื้อนโลหิตออก
ได้แล้วพึงมีความสุขฉันใด อาตมภาพมองเห็นด้วย
ตนเอง ฉันนั้น.

(พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้วตรัสว่า)
เจ้ากล่าวอะไรหนอว่าเป็นเบ็ด เจ้ากล่าวอะไร
หนอว่าเบ็ดเปื้อนโลหิต เจ้ากล่าวอะไรหนอว่าปลดออก
ได้ เราถามแล้วขอเจ้าจงบอกความข้อนั้นแก่เรา.

(ดาบสทูลว่า)
ดูก่อนมหาบพิตร อาตมภาพกล่าวกามคุณว่าเป็น
เบ็ด กล่าวช้างและม้าว่า ติดเปื้อนโลหิต กล่าวถึง
การสละได้ว่าปลดออกได้ ขอมหาบพิตรจงทราบ
อย่างนี้เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปจฺจุคฺคหิ ความว่า พระกุมารทูลเรื่อง
ทั้งหมดว่าในกาลเมื่อข้าพระองค์ตกจากภูเขา พญานาคผู้มีกำลังเรี่ยวแรงรับข้า
พระองค์อันเทวดาประคับประคองไว้แล้วปลอบโยนด้วยสัมผัสอันเป็นทิพย์นำ
เข้าไป ก็แลครั้นรับแล้ว นำไปยังนาคพิภพให้ยศใหญ่ เมื่อข้าพระองค์กล่าวว่า
จงนำไปถิ่นมนุษย์ ก็นำข้าพระองค์มาส่งยังแดนมนุษย์ ข้าพระองค์นั้นมาบวช
อยู่ในที่นี้ ข้าพระองค์ไม่ตายในที่นั้น เพราะอานุภาพของเทวดาและพญานาคนั้น
ด้วยประการฉะนี้. บทว่า เอหิ ความว่า พระราชาทรงสดับคำของเขาแล้ว ถึง
ความโสมนัส หมอบลงที่พระบาทตรัสว่า พ่อราชบุตร เราเชื่อ เราเชื่อคำของหญิง
โดยภาวะเป็นคนเขลา เมื่อเป็นเช่นนี้ ชื่อว่าเราผิดในท่านผู้สมบูรณ์ด้วยคุณคือศีล
และอาจาระ ขอท่านจงงดโทษให้แก่เราเถิด เมื่อพระราชบุตรทูลว่า ลุกขึ้นเถิด
มหาบพิตรข้าพระองค์จะงดโทษให้แก่พระองค์ เบื้องหน้าแต่นี้ พระองค์อย่าพึง
กระทำโดยมิได้พิจารณาอย่างนี้ต่อไป จึงตรัสอย่างนี้ว่า พ่อราชบุตร ท่านจงยก
เศวตฉัตรขาวอันเป็นของตระกูลของตนแล้วครองราชสมบัติ เป็นอันชื่อว่า
พระองค์งดโทษให้เรา. บทว่า อทฺธริตฺวา ความว่า คนกลืนเบ็ดเข้าไป
อันยังไม่ถึงหทัยและม้ามเป็นต้น พึงปลดเบ็ดนั้นออกได้ชื่อว่ามีความสุข. บทว่า
อตฺตานํ ความว่า ข้าแต่มหาบพิตร ข้าพระองค์แลเห็นอาตมาเหมือนบุรุษ
ผู้กลืนเบ็ดถึงซึ่งความสวัสดีอีก. บทว่า กินฺนุ ตฺวํ นี้ พระราชาตรัสถาม

เพื่อทรงสดับความนั้นโดยพิสดาร. ด้วยบทว่า กามาหํ นี้ เรากล่าวกามคุณ 5
ว่าเป็นเหมือนช้างและม้าที่เปื้อนเลือด. บทว่า จตฺตาหํ ตัดเป็น จตฺตํ อหํ
ความว่าการสละทั้งหมดว่าเป็นการปลดออกในกาลใด ในกาลบัดนี้ ข้าพระ-
องค์กล่าวการสละทั้งหมดว่าเป็นการปลดออก.
พระมหาสัตว์ได้ถวายโอวาทแก่พระชนกว่า ข้าแต่พระมหาบพิตร กิจ
ด้วยราชสมบัติไม่มีแก่อาตมา ขอพระองค์อย่ายังทศพิธราชธรรมให้กำเริบจงละ
การลุอำนาจอคติเสีย ครองราชสมบัติโดยธรรมเถิด พระราชาทรงกันแสงคร่ำ
ครวญเสด็จกลับพระนคร ในระหว่างทางได้ตรัสถามพวกอำมาตย์ว่า เราต้อง
พลัดพรากจากบุตรที่สมบูรณ์ด้วยอาจารคุณเห็นปานนี้เพราะใคร พวกอำมาตย์
กราบทูลว่า เพราะพระอัครมเหสี พระเจ้าข้า พระราชามีรับสั่งให้จับพระ
อัครมเหสีเอาพระบาทขึ้นเบื้องบนโยนลงไปในเหวทิ้งโจร แล้วทรงครองราช-
สมบัติโดยธรรม.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน นางจิญจมาณวิกานี้ก็ด่าเราแล้วถึงความ-
พินาศมาแล้วอย่างนี้ ทรงประชุมชาดกด้วยคาถาสุดท้ายว่า
พระราชมารดา (แม่เลี้ยง) ของเราคือ นาง-
จิญจมาณวิกา พระราชบิดาของเราคือ พระเทวทัต
พญานาคผู้บัณฑิตคืออานนท์ และเทวดา คือ พระ-
สารีบุตร พระราชบุตรในกาลนั้นคือ เราตถาคต
ท่านทั้งหลายจงจำชาดก ไว้อย่างนี้เถิด.

จบอรรถกถามหาปทุมชาดก

10. มิตตมิตตชาดก



ว่าด้วยลักษณะของผู้เป็นมิตรและมิใช่มิตร


[1713] บุรุษผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญา ได้เห็นและ
ได้ฟังซึ่งบุคคลผู้ทำกรรมอย่างไร จึงจะรู้ได้ว่าผู้นี้ไม่
ใช่มิตร วิญญูชนจะพึงพยายามอย่างไรจึงจะรู้ได้ว่า
ผู้นี้ไม่ใช่มิตร.

[1714] บุคคลผู้มิใช่มิตรเห็นเพื่อนแล้ว ไม่
ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ร่าเริงต้อนรับเพื่อนไม่แลดูเพื่อน
กล่าวคำย้อนเพื่อน.

[1715] บุคคลผู้มิใช่มิตร คบหาศัตรูของเพื่อน
ไม่คบหามิตรของเพื่อน ห้ามผู้ที่กล่าวสรรเสริญเพื่อน
สรรเสริญผู้ที่ด่าเพื่อน.

[1716] บุคคลผู้มิใช่มิตร ไม่บอกความลับแก่
เพื่อนไม่ช่วยปกปิดความลับของเพื่อน ไม่สรรเสริญ
การงานของเพื่อน ไม่สรรเสริญปัญญาของเพื่อน.

[1717] บุคคลผู้มิใช่มิตร ยินดีในความฉิบหาย
ของเพื่อน ไม่ยินดีในความเจริญของเพื่อน ได้อาหาร
ที่ดีมีรสอร่อยมาแล้ว ก็มิได้นึกถึงเพื่อน ไม่ยินดี
อนุเคราะห์เพื่อนว่า อย่างไรหนอ เพื่อนของเราพึงได้
ลาภจากที่นี้บ้าง.