เมนู

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดง แล้วตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราประพฤติประโยชน์แก่โลกแม้ในกาลก่อนอย่างนี้ แล้วทรง
ประชุมชาดกว่า มาตลีเทพบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วน
ท้าวสักกะได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถามหากัณหชาดก

7. โกสิยชาดก



ว่าด้วยโกสิยเศรษฐีขี้ตระหนี่


[1673] ข้าพเจ้าไม่ซื้อไม่ขายเลย อนึ่ง ความ
สั่งสมของข้าพเจ้าก็มิได้มีในที่นี้เลย ภัตนี้นิดหน่อย
หาได้ยากเหลือเกิน ข้าวสุกแล่งหนึ่งหาพอเพียงแก่เรา
ทั้งสองคนไม่.

[1674] บุคคลควรแบ่งของน้อยให้ตามน้อย
ควรแบ่งของปานกลางให้ตามของปานกลาง ควรแบ่ง
ของมากให้ตามมาก การไม่ให้เสียเลย ย่อมไม่สมควร
ดูก่อนโกสิยเศรษฐี เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าว
กะท่าน ท่านจงขึ้นสู่ทางแห่งพระอริยะ จงให้ทานด้วย
จงบริโภคด้วย ผู้บร้โภคคนเดียวย่อมไม่ได้ความสุข.

[1675] ผู้ใด เมื่อแขกนั่งแล้ว บริโภคโภชนะ
แต่ผู้เดียว พลีกรรมของผู้นั้นย่อมไร้ผล ทั้งความเพียร
ที่จะหาทรัพย์ก็ไร้ประโยชน์ ดูก่อนโกสิยเศรษฐี

เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวกะท่าน ท่านจงขึ้นสู่
หนทางแห่งพระอริยะ จงให้ทานด้วย จงบริโภคด้วย
ผู้บริโภคคนเดียวย่อมไม่ได้ความสุข.

[1676] ผู้ใด เมื่อแขกนั่งแล้ว ไม่บริโภค
โภชนะเเต่ผู้เดียว พลีกรรมผู้นั้นย่อมมีผลจริง ทั้ง
ความเพียรที่จะทาทรัพย์ก็ย่อมมีประโยชน์ด้วย ดูก่อน
โกสิยเศรษฐี เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวกะท่าน
ท่านจงขึ้นสู่ทางแห่งพระอริยะ ให้ทานด้วย จง
บริโภคด้วย ผู้บริโภคคนเดียวย่อมไม่ได้ความสุข.

[1677] ก็บุรุษเข้าไปสู่สระแล้ว บูชาที่แม่น้ำ
พหุกาก็ดี ที่แม่น้ำคยาก็ดี ที่ท่าโทณะก็ดี ที่ท่าตีมพรุ
ก็ดี ที่ห้วงน้ำใหญ่มีกระแสอันเชี่ยวก็ดี พลีกรรมของ
ผู้นั้นในที่นั้น ๆ ย่อมมีผล ทั้งความเพียรที่จะหาทรัพย์
ของผู้นั้นในที่นั้น ๆ ก็ย่อมมีประโยชน์ ผู้ใด เมื่อแขก
นั่งแล้ว ไม่บริโภคโภชนะแต่ผู้เดียว ผู้นั้นย่อมได้
ความสุข ดูก่อนโกสิยเศรษฐี เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้า
จึงกล่าวกะท่าน ท่านจงขึ้นสู่หนทางแห่งพระอริยเจ้า
จงให้ทานด้วย จงบริโภคด้วย ผู้บริโภคแต่ผู้เดียวย่อม
ไม่ได้ความสุข.

[1678] ผู้ใด เมื่อแขกนั่งแล้ว บริโภคโภชนะ
แต่ผู้เดียว ผู้นั้นชื่อว่ากลืนกินเบ็ดอันมีสายยาวพร้อม
ทั้งเหยื่อ ดูก่อนโกสิยเศรษฐี เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า

จึงกล่าวกะท่าน ท่านจงขึ้นสู่หนทางแห่งพระอริยะ
จงให้ทานด้วย จงบริโภคด้วย ผู้บริโภคคนเดียวย่อม
ไม่ได้ความสุข.

[1679] พราหมณ์เหล่านี้มีผิวพรรณงามจริงหนอ
แต่เหตุอะไร สุนัขของท่านนี้จึงเปล่งรัศมีมีวรรณะ
ต่าง ๆ ได้ ท่านทั้งหลายผู้เป็นพราหมณ์ใครหนอจะ
บอกข้าพเจ้าได้.

[1680] ผู้นี้ คือ จันทเทพบุตร ผู้นี้ คือ สุริย-
เทพบุตร ผู้นี้ คือ มาตลีเทพสารถี มาแล้วในที่นี้ เราคือ
ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทวดาชาวไตรทศ ส่วนสุนัข
นี้แล เราเรียกว่า ปัญจสิขเทพบุตร.

[1681] ฉิ่ง ตะโพน และเปิงมางทั้งหลาย
ย่อมปลุกเทพบุตรผู้หลับให้ตื่น และผู้ตื่นอยู่แล้วย่อม
เพลิดเพลินใจ.

[1682] คนตระหนี่เหนียวแน่น มักบริภาษ
สมณพราหมณ์ ทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลกนี้ตายแล้ว
ย่อมไปสู่นรก.

[1683] ชนเหล่าใดหวังสุคติ ตั้งอยู่แล้วในธรรม
คือความสำรวมและการจำแนกแจกทาน ทอดทิ้ง
ร่างกายไว้ในโลกนี้ ตายแล้วย่อมไปสู่สุคติ.

[1684] ท่านนั้นชื่อโกสิยะมีความตระหนี่ มี
ธรรมลามก เป็นญาติของเราทั้งหลายในญาติก่อน เรา

ทั้งหลายมาในที่นี้ เพื่อประโยชน์แต่ท่านคนเดียว
ด้วยคิดว่า โกสิยเศรษฐีนี้อย่ามีธรรมอันลามกไปนรก
เสียเลย.

[1685] ท่านเหล่านั้น เป็นผู้ปรารถนาประ-
โยชน์เกื้อกูลแก่ข้าพเจ้าโดยแท้ เพราะเหตุที่มาตาม
พร่ำสอนข้าพเจ้าอยู่เนือง ๆ ข้าพเจ้าจักทำตามที่ท่าน
ผู้แสวงหาประโยชน์ทั้งหลาย กล่าวสอนทุกอย่าง
ข้าพเจ้าจะงดเว้นความตระหนี่เสียในวันนี้ทีเดียว อนึ่ง
ข้าพเจ้าจะไม่พึงทำบาปอะไร ๆ อนึ่ง ขึ้นชื่อว่าการ
ไม่ให้อะไร ๆ จะไม่มีแก่ข้าพเจ้า อนึ่ง ข้าพเจ้ายังไม่
ได้ให้แล้ว จะไม่ดื่มน้ำ ข้าแต่ท้าววาสวะ ก็เมื่อข้าพเจ้า
ให้อยู่อย่างนี้ตลอดกาลทุกเมื่อ จนโภคะทั้งหลายจะ
หมดสิ้นไปในที่นี้ ข้าแต่ท้าวสักกะ ต่อแต่นั้น ข้าพเจ้า
จักละกามทั้งหลาย ตามที่มีอยู่อย่างไรแล้วจักออกบวช.

จบโกสิยชาดกที่ 7

อรรถกถาโกสิยชาดก


โกสิยชาดกจักมีอย่างแจ่มแจ้งในสุธาโภชนชาดก.1
จบอรรถกถาโกสิยชาดก
ดูพระสตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่มที่ 4 ภาคที่ 1 หน้า 443