เมนู

อรรถกถาชนสันธชาดก



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร มีพระพุทธ-
ประสงค์จะประทานโอวาทแก่พระเจ้าโกศล ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า ทส ขลุมานิ ฐานานิ ดังนี้.
ความพิสดารว่า ในกาลครั้งหนึ่ง พระเจ้าโกศลทรงมัวเมาด้วยอิส-
ริยยศหมกมุ่นอยู่ในความสุขที่เกิดแต่กิเลส ไม่ปรารถนาจะตัดสินคดี แม้การ
บำรุงพระพุทธเจ้า ก็ทรงลืมเสีย วันหนึ่ง พระองค์ทรงระลึกถึงพระทศพล
ทรงดำริว่า จักถวายบังคมพระศาสดา พอเสวยกระยาหารเช้าแล้ว เสด็จขึ้น
พระราชยานไปพระวิหาร ถวายบังคมพระศาสดาแล้วประทับนั่ง ลำดับนั้น
พระศาสดาตรัสกะพระราชาว่า มหาบพิตร นานมาแล้ว พระองค์มิได้เสด็จมา
เพราะเหตุไร พระเจ้าโกศลทูลว่า เพราะข้าพระองค์มีราชกิจมากพระเจ้าข้า
ไม่มีโอกาสที่จะมาเฝ้าพระองค์ ตรัสว่า มหาบพิตร เมื่อพระพุทธเจ้าผู้สัพพัญญู
ผู้ให้โอวาทเช่นเรา อยู่ในวิหารที่ใกล้ ไม่ควรที่พระองค์จะประมาท วิสัย
พระราชาต้องไม่ประมาทในราชกิจทั้งหลาย ดำรงพระองค์เสมอด้วยมารดาบิดา
ของชาวแว่นแคว้น ละอคติเสียครองราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรมจึงจะควร
เพราะเมื่อพระราชาประพฤติธรรม แม้บริษัทของพระองค์ก็ประพฤติธรรม ข้อที่
เมื่อเราตถาคตสั่งสอนอยู่ พระองค์ครองราชสมบัติโดยธรรม นั้นไม่น่าอัศจรรย์
โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย แม้ไม่มีอาจารย์สั่งสอน ก็ยังตั้งอยู่ในสุจริตธรรม
สามประการ แสดงธรรมแก่มหาชน ตามความรู้ของตน พาบริษัทไปสวรรค์
ได้ พระเจ้าโกศลทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว พระพุทธองค์ทรงนำอดีตนิทาน
มาตรัสเล่า ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรทมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนคร
พาราณสี
พระโพธิสัตว์เกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีพระเจ้าพรหมทัต
พระญาติทั้งหลายได้ถวายพระนามว่า ชนสันธกุมาร เมื่อพระโพธิสัตว์เจริญวัย
เรียนศิลปวิทยาจากเนืองตักกศิลากลับมาแล้ว พระราชามีรับสั่งให้ชำระเรือนจำ
ทั้งหมดให้สะอาด แล้วพระราชทานตำแหน่งอุปราช.
ต่อมาเมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ครองราชสมบัติ
รับสั่งให้สร้างโรงทานหกแห่ง คือที่ประตูพระนครทั้งสี่ด้าน ที่กลางพระนคร
และที่ประตูพระราชวัง บริจาคพระราชทรัพย์วันละหกแสน ทรงบำเพ็ญ
มหาทานจนลือกระฉ่อนไปทั่วชมพูทวีป รับสั่งให้เปิดเรือนจำไว้เป็นนิจ ให้
เคาะระฆังป่าวร้องมาฟังธรรม ทรงสงเคราะห์โลก ด้วยสังคหวัตถุสี่ รักษา
ศีลห้า อยู่จำอุโบสถ ครองราชสมบัติโดยธรรม บางครั้งบางคราวก็ให้ชาว
แว่นแคว้นมาประชุมกัน แล้วแสดงธรรมว่า ท่านทั้งหลายจงให้ทาน จง
สมาทานศีล จงประพฤติธรรม จงประกอบการงานและการค้าขายโดยธรรม
เมื่อเป็นเด็กจงเรียนศิลปวิทยา จงแสวงหาทรัพย์ อย่าคดโกงชาวบ้าน อย่า
ทำความส่อเสียด อย่าเป็นคนดุร้ายหยาบช้า จงบำรุงมารดาบิดา มีความเคารพ
อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล พระองค์ได้ทำมหาชนให้ตั้งอยู่ในสุจริตธรรม.
วันหนึ่งเป็นวันปัณรสีอุโบสถ พระโพธิสัตว์ทรงสมาทานอุโบสถศีล
แล้ว ทรงดำริว่า เราจักแสดงธรรมแก่มหาชน เพื่อประโยชน์สุขยิ่ง ๆ ขึ้น
เพื่อให้มหาชนอยู่ด้วยความไม่ประมาท รับสั่งให้ตีกลอง ป่าวร้องทั่วพระนคร
ให้ชาวพระนครทั้งหมด ตั้งต้นแต่พระสนมของพระองค์ มาประชุมกัน แล้ว
ประทับนั่งบนบัลลังก์อันประเสริฐที่ตกแต่งไว้กลางรัตนมณฑปซึ่งประดับประดา
แล้วในพระลานหลวง ตรัสว่า ชาวพระนครที่รักทั้งหลาย เราจักแสดงธรรม

ที่ร้อนบ้าง ไม่ร้อนบ้าง แก่ท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาท
เงี่ยโสตสดับโดยเคารพเถิด แล้วทรงแสดงธรรม.
พระศาสดาทรงเผยพระโอฐแก้วอันอบรมแล้วด้วยอริยสัจ เมื่อจะตรัส
เทศนานั้นโดยแจ่มแจ้งแก่พระเจ้าโกศล ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ ได้ตรัส
พระคาถาเหล่านี้ว่า
พระเจ้าชนสันธะได้ตรัสอย่างนี้ว่า เหตุที่จะทำ
ให้จิตเดือดร้อนนั้นมีอยู่ 10 ประการ บุคคลไม่ทำ
เสียในกาลก่อนแล้ว ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง.
บุคคลเมื่อยังเป็นหนุ่ม ไม่ทำความพยายามยัง
ทรัพย์ให้เกิดขึ้น ครั้นแก่ลงหาทรัพย์ไม่ได้ ย่อมเดือด-
ร้อนภายหลังว่า เมื่อก่อนเราไม่ได้แสวงหาทรัพย์ไว้.
ศิลปะที่สมควรแก่ตน บุคคลใดไม่ได้ศึกษาไว้ใน
กาลก่อน บุคคลนั้นย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราไม่
ได้ศึกษาศิลปะไว้ก่อน ผู้ไม่มีศิลปะย่อมเลี้ยงชีพลำบาก.
ผู้ใดเป็นคนโกง ผู้นั้นย่อมเดือดร้อนในภายหลัง
ว่าเราเป็นคนโกง ส่อเสียดกินสินบนดุร้าย หยาบคาย
ในกาลก่อน.
ผู้ใดเป็นคนฆ่าสัตว์ ผู้นั้นย่อมเดือดร้อนในภาย-
หลังว่า เราเป็นคนฆ่าสัตว์ หยาบช้าทุศีล ประพฤติ
ต่ำช้า ปราศจากขันติ เมตตาและเอ็นดูสัตว์ในกาลก่อน.
ผู้ใดคบชู้ในภรรยาผู้อื่น ย่อมเดือดร้อนในภาย
หลังว่า หญิงที่ไม่มีใครหวงแหนมีอยู่เป็นอันมาก ไม่
ควรที่เราจะคบหาภรรยาผู้อื่นเลย.

คนตระหนี่ ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่าเมื่อก่อน
ข้าวและน้ำของเรามีอยู่มากมาย เราก็มิได้ให้ทานเลย.
ผู้ไม่เลี้ยงดูมารดาบิดา ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง
ว่า เราสามารถพอที่จะเลี้ยงดูมารดาและบิดาผู้แก่เฒ่า
ชราได้ ก็ไม่ได้เลี้ยงดูท่าน.
ผู้ไม่ทำตามโอวาทบิดา ย่อมเดือดร้อนในภาย
หลังว่า เราได้ดูหมิ่นบิดาผู้เป็นอาจารย์สั่งสอน ผู้นำ
รสที่ต้องการทุกอย่างมาเลี้ยงดู.
ผู้ไม่เข้าใกล้สมณพราหมณ์ ย่อมเดือดร้อนใน
ภายหลังว่า เมื่อก่อนเราไม่ได้ไปมาหาสู่สมณพราหมณ์
ทั้งหลายผู้มีศีล เป็นพหูสูตเลย.
ผู้ใดไม่ประพฤติสุจริตธรรม ไม่เข้าไปนั่งใกล้
สัตบุรุษ ย่อมเดือดร้อนภายหลังว่า สุจริตธรรมที่
ประพฤติแล้ว และสัตบุรุษอันเราไปมาหาสู่แล้ว ย่อม
เป็นความดี แต่เมื่อก่อนนี้เราไม่ได้ประพฤติสุจริตธรรม
ไว้เลย.
ผู้ใดย่อมปฏิบัติเหตุเหล่านี้โดยอุบายอันแยบคาย
ผู้นั้นเมื่อกระทำกิจที่บุรุษควรทำ ย่อมไม่เดือดร้อนใจ
ในภายหลังเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฐานานิ ได้แก่ เหตุทั้งหลาย. บทว่า
ปุพฺเพ ความว่า ไม่กระทำไว้ก่อนเลย. บทว่า ส ปจฺฉา อนุตปฺปติ
ความว่า บุคคลผู้ไม่กระทำกิจที่ควรทำไว้ก่อน ย่อมเดือดร้อน ย่อมลำบาก

ทั้งในโลกนี้ทั้งในโลกหน้า. อีกอย่างหนึ่ง บาลีว่า ปจฺฉา อนุตปฺปติ ย่อมตาม
เดือดร้อนในภายหลังดังนี้ก็มี. บทว่า อิจฺจาหุ ความว่า พระเจ้าชนสันธะ
ได้ตรัสอย่างนั้น. บาลีว่า อิจฺจาสุห ดังนี้ก็มี. สุ อักษรในบทว่า อิจฺจาสุห
นั้นเป็นเพียงนิบาต. ตัดบทเป็น อิจฺจาสุ อาห เพื่อจะแสดงเหตุอันเป็น
ที่ตั้งแห่งความเดือดร้อน 10 อย่างนี้ พระโพธิสัตว์จึงมีธรรมกถา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพ ความว่า บุคคลเมื่อคราวเป็น
หนุ่มครั้งแรกทีเดียว ไม่กระทำความบากบั่น ครั้นแก่ลงหาทรัพย์ไม่ได้ ต้อง
เดือดร้อนเศร้าโศก เห็นคนทั้งหลายมีความสุข ตนเองเป็นอยู่ลำบาก ย่อม
เดือดร้อนในภายหลังอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราไม่ได้แสวงหาทรัพย์เอาไว้ ครั้น
แก่ลงย่อมลำบาก เพราะฉะนั้น เมื่อต้องการจะมีความสุขในเวลาแก่ ต้องทำงาน
มีกสิกรรมเป็นต้น ที่ชอบธรรม แต่เมื่อยังเป็นหนุ่มทีเดียว. บทว่า ปุเร สนฺตํ
ในกาลก่อนคือในเวลาที่เรายังหนุ่มไม่เข้าไปหาอาจารย์ทั้งหลาย ไม่ศึกษาศิลปะ
อะไร ๆ มีศิลปะในเพราะช้างเป็นต้นอันสมควรที่ตนจะทำ. บทว่า กิจฺฉา
ความว่า ในเวลาแก่ ผู้ไม่ศึกษาศิลปะจึงไม่สามารถเพื่อดำรงชีวิตให้พ้นจากทุกข์
ในกาลนั้นจึงควรศึกษาศิลปะ เพราะฉะนั้น ท่านจึงแสดงว่า ท่านทั้งหลาย
ผู้ปรารถนาจะดำรงชีวิตในเวลาแก่ จงศึกษาศิลปะในเวลาเป็นหนุ่มทีเดียว.
บทว่า กูฏเวที ความว่า ผู้ใดก่อความโกงให้เกิด โกงชาวบ้าน ก่อความ
พินาศให้แก่โลก โกงด้วยสินบน. บทว่า อาสึ ความว่า ในกาลก่อนเราได้
เป็นเช่นนั้น. บทว่า ปิสุโณ แปลว่า โกงด้วยถ้อยความยุยงส่อเสียด. บทว่า
ปิฏฺฐมํสิโก ความว่า ถือสินบนทำผู้มิใช่เจ้าของให้เป็นเจ้าของ ผู้ที่เป็นเจ้าของ
มิให้เป็นเจ้าของ กินเนื้อสันหลังของชนเหล่าอื่น. บทว่า อิติ ปจฺฉา ความว่า
นอนบนเตียงที่จะตายย่อมเดือดร้อนในภายหลังด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น

ท่านจึงโอวาทว่า ถ้าท่านไม่อยากตกนรก ก็อย่ากระทำบาปกรรมเห็นปานนี้.
บทว่า ลุทฺโธ ความว่า ผู้ที่ฆ่าสัตว์เป็นทารุณสาหัส. บทว่า อนาริโย
ความว่า เป็นผู้ไม่ใช่พระอริยะ ไม่สำรวมเป็นคนทุศีล มีสมาจารต่ำช้า. บทว่า
นาวชานิสฺสํ ความว่า ข้าพเจ้ามิใช่เป็นผู้มีความประพฤติต่ำ ด้วยอำนาจ
ขันติ เมตตา และความเอ็นดู คำที่เหลือพึงทราบโดยนัยมีในก่อนนั่นแล.
บทว่า อนาปทาสุ ความว่า การคบหากับหญิงที่ไม่มีใครหวงแหน. ชื่อว่า
อนาปทา เพราะเป็นหญิงไม่มีใครหวงแหน. อธิบายว่า ในหญิงที่คนเหล่าอื่น
ไม่ทำความหวงแหน. บทว่า อุฏฺฐิเต แปลว่า ปรากฏ. บทว่า น ปุพฺเพ
ความว่า เมื่อก่อนแต่นี้เรามิได้ให้ทานเลย. บทว่า ปหุสนฺโต ความว่า
เป็นผู้อาจ คือสามารถเพื่อจะเลี้ยงดูทั้งด้วยกำลังทรัพย์ทั้งด้วยกำลังกาย.
บทว่า อาจริยํ ความว่า บิดาในที่นี้ท่านประสงค์ว่าอาจารย์ เพราะให้
ศึกษามารยาท. บทว่า อนุสตฺถารํ แปลว่า ผู้พร่ำสอน. บทว่า สพฺพกามรสา
หรํ
ความว่า ผู้นำรสที่ต้องการทุกอย่างมาเลี้ยงดู. บทว่า อติมญฺญิสฺสํ ความว่า
เมื่อไม่ถือเอาโอวาทของท่าน ชื่อว่าดูหมิ่นล่วงเกินท่าน. บทว่า น ปุพฺเพ ความ
ว่า เมื่อก่อนแต่นี้ ไม่ได้เข้าไปหาสมณพราหมณ์ผู้ทรงธรรม ผู้เป็นไข้ ผู้ลำบาก
ไม่ปรนนิบัติโดยถวายปัจจัยมีจีวรเป็นต้น. บทว่า ตโป ได้แก่ ผู้มีความเพียร
เครื่องเผากิเลสคือสุจริต. บทว่า สนฺโต ความว่า เป็นผู้มีศีลเข้าไปสงบ
ด้วยทวารมีกายทวารเป็นต้น. ท่านกล่าวอธิบายนี้ไว้ว่า ผู้ประพฤติตบะกล่าว
สุจริต 3 และผู้สงบเห็นปานนั้น ชื่อว่าเข้าไปนั่งใกล้ เป็นการยังประโยชน์ให้
สำเร็จคือเป็นความดี. บทว่า น ปุพฺเพ ความว่า เมื่อคราวเราเป็นหนุ่มเรา
มิได้ประพฤติพรหมจรรย์เห็นปานนี้ ภายหลังคร่ำคร่าลงเพราะชรา ถูกมรณภัย

คุกคาม จึงเดือดร้อนเศร้าโศกในภายหลังด้วยประการฉะนี้. ท่านกล่าวว่า ถ้า
ท่านปรารถนาจะไม่เศร้าโศกอย่างนี้ จงกระทำตปกรรมเถิด. บทว่า โย จ
เอตานิ ฐานานิ
ความว่า ผู้ใดปฏิบัติเหตุ 10 ประการเหล่านี้ ด้วยอุบาย
อันแยบคายก่อนทีเดียว สมาทานประพฤติ กระทำกิจอันชอบธรรมที่บุรุษ
ทั้งหลายควรกระทำ บุรุษผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทนั้น ย่อมไม่ตามเดือดร้อน
ในภายหลัง ย่อมได้รับโสมนัสทีเดียวแล.
พระมหาสัตว์แสดงธรรมแก่มหาชนโดยทำนองนี้ ทุก ๆ กึ่งเดือนแม้
มหาชนก็ตั้งอยู่ในโอวาทของพระองค์ บำเพ็ญฐานะสิบประการเหล่านั้นบริบูรณ์
แล้วได้ไปสวรรค์.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อน
มหาบพิตร โบราณกบัณฑิต ไม่มีอาจารย์ แสดงธรรมตามความรู้ของตน
พามหาชนไปสวรรค์ได้อย่างนี้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า บริษัทในครั้งนั้น
ได้มาเป็นพุทธบริษัทในครั้งนี้ ส่วนพระเจ้าชนสันธราชได้มาเป็นเราตถาคต
แล.
จบอรรถกถาชนสันธชาดก

6. มหากัณหชาดก



ว่าด้วยคราวที่สุนัขดำกินคน



[1661] ดูก่อนท่านผู้มีความเพียร สุนัขตัวนี้
ดำจริง ดุร้าย มีเขี้ยวขาว มีความร้อนพุ่งออกจากเขี้ยว
ท่านผูกไว้ด้วยเชือกถึง 5 เส้น สุนัขของท่านจะทำ
อะไร.

[1662] ดูก่อนพระเจ้าอุสินนระ สุนัขนี้มิได้มา
เพื่อต้องการกินเนื้อ แต่มาเพื่อจะกินมนุษย์ทั้งหลาย
เมื่อใด จักมีมนุษย์ทำความพินาศให้แก่มนุษย์ทั้งหลาย
เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ก็จะหลุดไปกินมนุษย์.

[1663] เมื่อใด คนทั้งหลายผู้ปฏิญาณตนว่าเป็น
สมณะมีบาตรในมือ ศีรษะโล้น คลุมผ้าสังฆาฏิจักทำ
ไร่ไถนาเลี้ยงชีพ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้ก็จะหลุดไป
กินคนเหล่านั้น.

[1664] เมื่อใด จักมีหญิงผู้ปฏิญาณตนว่ามีตบะ
บวชมีศีรษะโล้น คลุมผ้าสังฆาฏิเที่ยวบริโภคกามคุณ
อยู่ เมื่อนั้น สุนัขดำตัวนี้จะหลุดไปกินหญิงเหล่านั้น.

[1665] เมื่อใด ชฎิลทั้งหลายมีหนวดอันยาว
มีฟันเขลอะ มีศีรษะเกลือกกลั้วด้วยธุลีเที่ยวภิกษาจาร
รวบรวมทรัพย์ไว้ให้เขากู้ ชื่นชมยินดีด้วยดอกเบี้ย