เมนู

นักปราชญ์ทั้งหลายเป็นผู้ความกตัญญูดี ข้าพเจ้าจะ
ให้บ้านส่วย 5 ตำบลแก่ท่าน ทาสี 100 คน โค 700
ทองเนื้อดี 1,000 แท่ง และภรรยาผู้พริ้มเพรา 2 คน
มีชาติและตระกูลเสมอกัน แก่ท่าน.

[1514] ข้าแต่พระราชา การสมาคมกับสัตบุรุษ
ย่อมเป็นอย่างนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในกาสิกรัฐ
ข้าพระองค์บริบูรณ์ไปด้วยสมบัติ มีบ้านส่วยเป็นต้น
เหมือนพระจันทร์ตั้งอยู่ท่ามกลางแห่งหมู่ดาวทั้งหลาย
ฉะนั้น การสังคมกับพระองค์นั่นแล เป็นอันว่าข้า-
พระองค์ได้แล้วในวันนี้เอง.

จบชุณหชาดกที่ 2

อรรถกถาชุณหชาดก


พระศาสดา เมื่อทรงประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภพรที่พระอานนทเถระได้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า สุโณหิ มยฺหํ วจนํ ชนินฺท ดังนี้.
ดังจะกล่าวโดยพิสดาร ในปฐมโพธิกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้
มีอุปัฏฐากประจำตลอด 20 ปี. บางคราวพระนาคสมาลเถระ ก็อุปัฏฐาก
พระผู้มีพระภาคเจ้า บางคราวพระนาคิตะ บางคราวพระอุปวาณะ บางคราว

พระสุนักขัตตะ บางคราวพระจุนทะ บางคราวพระสาคตะ บางคราวพระ-
เมฆิยะ.
ภายหลังวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัส
ว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเป็นผู้แก่แล้ว ภิกษุบางพวก เมื่อเรากล่าวว่า
จะไปทางนี้ แล้วพากันไปเสียทางอื่น บางพวกทิ้งบาตรและจีวรของเราไว้ที่
พื้นดิน พวกเธอจงรู้ภิกษุรูปหนึ่ง ผู้จะเป็นอุปัฏฐากประจำตัวเรา ทรงห้าม
พระสารีบุตรเถระเป็นต้น ที่พากันลุกขึ้นกระทำอัญชลีด้วยเศียรเกล้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ จักอุปัฏฐาก ข้าพระองค์ จักอุปัฏฐาก ดังนี้
ด้วยพระดำรัสว่า ความปรารถนาของพวกเธอ ถึงที่สุดแล้วพอละ. ลำดับนั้น
ภิกษุทั้งหลาย จึงกล่าวกะท่านพระอานนทเถระว่า อาวุโส ท่านจงวิงวอนการ
อุปัฏฐากเถิด. พระเถระขอพร 8 ประการ คือ ปฏิเสธ 4 และข้อวิงวอน 4
เหล่านี้คือ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า จักไม่ประทานจีวร
ที่พระองค์ได้แล้วแก่ข้าพระองค์ จักไม่ให้บิณฑบาต จักไม่ให้อยู่ในพระคันธกุฎี
เดียวกัน จักไม่พาข้าพระองค์ไปยังที่ที่นิมนต์ ก็ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า จักไป
ยังที่นิมนต์ ที่ข้าพระองค์รับไว้ ถ้าข้าพระองค์จักได้เพื่อให้บริษัทที่มา จาก
นอกแว่นแคว้น นอกชนบท เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอให้ได้เข้าเฝ้าใน
ขณะที่มาแล้วทีเดียว ขอให้ข้าพระองค์จักได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ในขณะที่
ข้าพระองค์เกิดความสงสัย ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมอันใด ในที่
ลับหลังข้าพระองค์กลับมาแล้ว ขอได้แสดงธรรมนั้น แก่ข้าพระองค์อีก ด้วย
อาการอย่างนี้ ข้าพระองค์จึงจักอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น. ฝ่ายพระผู้มี
พระภาคเจ้า ก็ได้ประทานแก่เธอแล้ว. ตั้งแต่นั้นมา พระอานนทเถระก็ได้
เป็นอุปัฏฐากประจำ เป็นเวลา 25 ปี. พระเถระได้รับสถาปนาในเอตทัคคะ

ในฐานะ 5 ประกอบด้วยสัมปทา 7 เหล่านี้ คือ อาคมสัมปทา อธิคม-
สัมปทา ปุพพเหตุสัมปทา อัตถัตถปริปุจฉาสัมปทา ติฏฐวาสสัมปทา
โยนิโสมนสิการสัมปทา
และพุทธุปนิสสยสัมปทา ได้รับมรดกคือพร
8 ประการ ในสำนักของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้ปรากฏชัดในพระพุทธศาสนา
ได้ปรากฏเหมือนพระจันทร์ลอยเด่นในท้องฟ้า. ภายหลังวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย
สนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโส พระตถาคตได้ให้พระอานนท์เถระ
อิ่มหนำด้วยการประทานพร. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูล
ให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้อย่างเดียวเท่านั่นเอง แม้ใน
กาลก่อน เราก็ให้พระอานนท์อิ่มหนำด้วยพรแล้ว ในกาลก่อนนั่นเอง เราก็
ได้ให้สิ่งที่เธอขอร้องเหมือนกัน ดังนี้แล้ว จึงนำอดีตนิทานมาตรัสว่า
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์ได้เป็นพระราชโอรสของท้าวเธอ ทรงพระนามว่า ชุณหกุมาร
ทรงศึกษาศิลปะในกรุงตักกศิลา ให้การประกอบเนือง ๆ แก่อาจารย์ ในเวลา
มืดค่ำตอนกลางคืน ออกจากเรือนของอาจารย์ รีบไปที่อยู่ของตน เมื่อไม่
เห็นพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง ผู้เที่ยวภิกษาจารไปยังที่อยู่ของตน จึงตีตุ่มภัตร
ของพราหมณ์นั้นแตกไป. พราหมณ์ล้มลงร้องไห้. กุมารกลับได้ความกรุณา
จึงจับมือพราหมณ์นั้นให้ลุกขึ้น. พราหมณ์กล่าวว่า เธอมาทำลายภาชนะภิกษา
องเราทำไม จงให้ค่าภัตตาหารแก่เรา. กุมารกล่าวว่า พราหมณ์ บัดนี้ เรา
ไม่อาจจะให้ค่าภัตตาหารนั้นแก่ท่านได้ ก็เราแลเป็นโอรสของพระเจ้ากาสี มี
นามว่า ชุณหกุมาร เมื่อเราดำรงอยู่ในรัชสมบัติ ท่านพึงมาขอทรัพย์เราได้
จบการศึกษาแล้ว ไหว้อาจารย์แล้วไปยังกรุงพาราณสี แสดงศิลปะแก่พระบิดา.

พระบิดาทรงคิดว่า เราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้เห็นบุตรแล้ว เราจักเห็นบุตรนั้น
ได้เป็นพระราชา ดังนี้แล้ว จึงอภิเษกไว้ในรัชสมบัติ. พระองค์เป็นพระราชา
มีพระนามว่า ชุณหะ ครองราชสมบัติโดยธรรม, พราหมณ์ทราบเรื่องนั้นแล้ว
จึงคิดว่า บัดนี้เราจักให้พระราชานำค่าภัตตาหารมาแก่เรา จึงไปยังกรุงพาราณสี
มองเห็นพระราชากำลังทำประทักษิณพระนครที่ตบแต่งไว้นั่นแล จึงยืนอยู่ใน
ที่สูงแห่งหนึ่งแล้ว เหยียดมือออกไปให้ชัยชนะ. พระราชาเสด็จเลยไป โดย
ไม่เหลียวดูเลย. พราหมณ์รู้ว่าท้าวเธอมิได้เห็น เมื่อจะยกเรื่องขึ้น จึงกล่าว
คาถาที่ 1 ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน ขอพระองค์
จงทรงสดับคำของข้าพระองค์ ข้าพระองค์มาถึงในที่นี้
ด้วยประโยชน์ในพระเจ้าชุณหะ ข้าแต่พระองค์ผู้
ประเสริฐกว่าสัตว์สองเท้าทั้งหลาย เมื่อพราหมณ์เดิน
ทางไกลยืนอยู่ บัณฑิตทั้งหลายไม่ควรพูดว่า พระราชา
ควรเสด็จเลยไป.

บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า ชุณฺหมฺหิ พราหมณ์ย่อมแสดงว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์ มาถึงในที่นี้ด้วยประโยชน์อันหนึ่ง ในท่านผู้
ชื่อว่า ชุณหะ มิได้มาโดยไร้เหตุผล. บทว่า อิทฺธิเก ได้แก่ มาสิ้นระยะ
กาลนาน. บทว่า คนฺตพฺพํ ความว่า บัณฑิตทั้งหลาย ไม่ได้กล่าวมาแล้ว
และย่อมไม่กล่าวว่า พระราชาควรเสด็จเลยไป โดยไม่เหลียวแลดูพราหมณ์ผู้
เดินทางไกล คือ ผู้มาสิ้นระยะกาลนานขอร้องอยู่.
พระราชา ทรงสดับคำของเธอแล้ว จึงเอาขอเพชรข่มช้าง ได้ตรัส
คาถาที่ 2 ว่า

ดูก่อนพราหมณ์ ข้าพเจ้ากำลังรอฟังอยู่ ท่าน
มาถึงในที่นี้ด้วยประโยชน์อันใด จงบอกประโยชน์
อันนั้น หรือว่าท่านปรารถนาประโยชน์อะไร ใน
ข้าพเจ้าจึงมาในที่นี้ เชิญท่านพราหมณ์บอกมาเถิด.

ศัพท์ว่า อีฆ ในคาถานั้น เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่า ประท้วง.
ต่อแต่นั้น จึงได้กล่าวคาถาที่เหลือด้วยอำนาจคำโต้ตอบ ของพราหมณ์กับ
พระราชาว่า
ขอพระองค์โปรดพระราชทานบ้านส่วย 5 ตำบล
แก่ข้าพระองค์ ทาสี 100 คน โค 700 ตัว ทองเนื้อดี
1,000 แท่ง ขอได้ทรงโปรดประทานภรรยาผู้พริ้มเพรา
แก่ข้าพระองค์ 2 คน.
ดูก่อนพราหมณ์ ตบะอันมีกำลังกล้าของท่านมี
อยู่หรือ หรือว่ามนต์ขลังของท่านมีอยู่ หรือว่ายักษ์
บางพวกผู้เชื่อฟังถ้อยคำของท่านมีอยู่ หรือว่าท่านยัง
จำได้ถึงประโยชน์ที่ท่านทำแล้วแก่เรา.
ตบะของข้าพระองค์มิได้มี แม้มนต์ของข้า-
พระองค์มิได้มี ยักษ์บางพวกผู้เชื่อฟังถ้อยคำของ
ข้าพระองค์ก็ไม่มี อนึ่ง ข้าพระองค์ก็จำไม่ได้ถึง
ประโยชน์ ที่ข้าพระองค์ทำแล้ว แก่พระองค์ ก็แต่ว่า
เมื่อก่อนได้มีการพบปะกันเท่านั้นเอง.
ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่า การเห็นนี้เป็นการเห็นครั้งแรก
นอกจากนี้ ข้าพเจ้าจำไม่ได้ถึงการพบกันในครั้งใดเลย

ข้าพเจ้าถามถึงเรื่องนั้น ขอท่านจงบอกแก่ข้าพเจ้าว่า
เราได้เคยพบกันเมื่อไรหรือที่ไหน.
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์และข้า-
พระองค์ได้อยู่กันมาแล้วในเมืองตักกศิลา อันเป็น
เมืองที่รื่นรมย์ของพระเจ้าคันธารราช พระองค์กับข้า
พระองค์ได้กระทบไหล่กัน ในความมืด มีหมอกทึบ
ในนครนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน
พระองค์และข้าพระองค์ยืนกันอยู่ในที่ตรงนั้น เจรจา
ปราศรัยด้วยคำอันให้ระลึกถึงกันที่ตรงนั้นแล เป็นการ
พบกันแห่งพระองค์เเละข้าพระองค์ ภายหลังจากนั้น
มิได้มี ก่อนแต่นั้นก็ไม่มี.
ดูก่อนพราหมณ์ การสมาคมกับสัปบุรุษย่อมมี
ในหมู่มนุษย์บางครั้งบางคราว บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่
ทำการพบปะกัน ความสนิทสนม หรือคุณที่กระทำไว้
แล้วในกาลก่อน ให้เสื่อมสูญไป.
ส่วนคนพาลทั้งหลาย ย่อมทำการพบปะกัน
ความสนิทสนม หรือคุณที่เขาทำไว้ในกาลก่อน ให้
เสื่อมสูญไป คุณที่ทำไว้ในคนพาลทั้งหลาย ถึงจะมาก
มายก็ย่อมเสื่อมไปหมด เพราะว่าคนพาลทั้งหลาย เป็น
คนอกตัญญู.

ส่วนนักปราชญ์ทั้งหลาย ย่อมไม่ทำการพบปะกัน
ความสนิทสนม หรือคุณที่เขาทำไว้ในกาลก่อน ให้
เสื่อมสูญไป คุณที่ทำไว้ในนักปราชญ์ทั้งหลาย ถึงจะ
น้อยก็ย่อมไม่เสื่อมหายไป เพราะว่านักปราชญ์ทั้งหลาย
เป็นผู้มีความกตัญญูดี ข้าพเจ้าจะให้บ้านส่วย 5 ตำบล
แก่ท่าน ทาสี 100 คน โค 700 ตัว ทองเนื้อดี 1,000
แท่ง และภรรยาผู้พริ้มเพรา 2 คน มีชาติและตระกูล
เสมอกัน แก่ท่าน.
ข้าแต่พระราชา การสมาคมกับสัตบุรุษ ย่อมเป็น
อย่างนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในกาลิกรัฐ ข้าพระ-
องค์บริบูรณ์ไปด้วยสมบัติ มีบ้านส่วยเป็นต้น เหมือน
พระจันทร์ตั้งอยู่ท่ามกลางแห่งหมู่ดาวทั้งหลาย ฉะนั้น
การสังคมกับพระองค์นั่นแล เป็นอันว่าข้าพระองค์
ได้แล้วในวันนี้เอง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาทิสี ความว่า ขอพระองค์จงทรง
ประทานภริยาผู้พริ้งพร้อมด้วยรูป ผู้มีผิวพรรณ มีชาติตระกูล และประเทศ
นั้นนั่นแล ผู้มียศใหญ่สองนาง ผู้เป็นเช่นเดียวกันกับข้าพระองค์. บทว่า
ภีสรูโป ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ ตบกรรมอันได้แก่คุณแห่งศีลและอาจาระ
ของท่าน มีเรี่ยวแรงหรืออย่างไร. บทว่า มนฺตา นุ เต ความว่า หรือ
มนต์อันขลังยิ่งนัก อันให้สำเร็จประโยชน์ทุกอย่างของท่านมีอยู่. บทว่า
อสฺสกา ความว่า พวกยักษ์ผู้กระทำตามถ้อยคำ ผู้ให้สิ่งที่ท่านมุ่งมาด
ปรารถนา บางจำพวกของท่านมีอยู่. บทว่า กตฺตํ ความว่า ท่านถามว่า

ท่านยังนึกถึงประโยชน์อะไร ๆ ที่ท่านทำไว้แก่ข้าพเจ้า. บทว่า สงฺคติมตฺตํ
ความว่า พราหมณ์กราบทูลว่า เหตุเพียงการมาพบกันกับพระองค์ ได้มีแก่
ข้าพระองค์ในครั้งก่อน. บทว่า ชานโต เม ความว่า นี้เป็นการเห็นครั้ง
แรกของท่านกับข้าพเจ้าผู้รู้อยู่. บทว่า น ตาภิชานามิ ความว่า เราไม่รู้
จักท่าน. บทว่า ติมิสฺสทายํ ได้แก่ กลางคืนอันมืดมิด. บทว่า เต ตตฺถ
ฐตฺวาน
ความว่า เราเหล่านั้น ยืนอยู่ในที่ที่ไหล่ต่อไหล่กระทบกันนั้น. บทว่า
วีติสาริมฺห ตตฺถ ความว่า พราหมณ์กราบทูลว่า ในที่ตรงนั้นนั่นแหละ พวก
เราได้ยังถ้อยคำอันควรที่จะพึงระลึกให้หลั่งไหล คือ ข้าพระองค์กราบทูลว่า
ภาชนะภิกษาของข้าพระองค์ อันพระองค์ทุบแตกแล้ว ขอพระองค์จงประทาน
ค่าภัตตาหารแก่ข้าพระองค์ พระองค์ตรัสว่า บัดนี้ ข้าพเจ้าไม่สามารถจะใช้ค่า
ภัตตาหารแก่ท่านได้ แต่ข้าพเจ้าเป็นโอรสของพระเจ้ากาสี ชื่อว่า
ชุณหกุมาร เมื่อข้าพเจ้าดำรงอยู่ในราชสมบัติ ท่านค่อยมาทวงทรัพย์กับ
ข้าพเจ้า สาราณียกถานี้ พวกเราได้กระทำกันได้แล้ว. บทว่า สาเยว โน
สงฺคติมตฺตมาสิ
ความว่า พราหมณ์แสดงว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
พวกเรามีเพียงได้พบปะระหว่างกันและกัน คือได้พบกันเพียงครู่เดียว. บทว่า
ตโต ความว่า ภายหลังหรือก่อนแต่นั้น คือ จากมิตรภาพชั่วครู่นั้น
ที่จะเรียกได้ว่าเป็นการพบปะของพวกเรา ไม่เคยมีครั้งไหนเลย. บทว่า
น ปณฺฑิตา ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ อันท่านผู้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตทั้งหลาย
ย่อมไม่ทำให้การพบปะเพียงชั่วครู่นั้นหรือ หรือการคุ้นเคยกันตลอดกาลนาน
คุณที่ท่านทำไว้ในกาลก่อนอะไรๆ เสื่อมสูญไป. บทว่า พหุํปิ แปลว่า
แม้มากมาย. บทว่า อกตญฺญุรูปา ความว่า เพราะเหตุที่พวกคนพาล มี
สภาวะเป็นคนอกตัญญู ฉะนั้น อุปการคุณที่ท่านทำไว้ในพวกคนพาลนั้น ถึงจะ
มีมากก็ย่อมเสื่อมสูญไป. บทว่า สุกตญฺญรูปา คือ มีสภาวะรู้อุปการคุณที่ท่าน
ทำแล้วด้วยดี. หิ อักษรในคำว่า ตถา หิ ทั้งในที่นี้ ทั้งในที่นั้น มีการณะเป็น

อรรถ. บทว่า ททามิ เต ความว่า พระราชาเมื่อพระราชทานตามที่พราหมณ์
ทูลขอ จึงได้ตรัสว่าอย่างนั้น. พราหมณ์เมื่อทำอนุโมทนาแด่พระราชาจึงได้
กราบทูลคาถาว่า เอวํ สตํ เป็นอาทิ คือ ชื่อว่า การร่วมสมาคม ได้แก่
การพบปะกับสัตบุรุษ คือท่านผู้เป็นคนดีทั้งหลายแม้เพียงครั้งเดียวก็ย่อมเป็น
อย่างนี้. ริว อักษรในบทว่า นกฺขตฺตราชาริว เป็นเพียงนิบาต. บทว่า
ตารกานํ ได้แก่ ในท่ามกลางแห่งดวงดาวทั้งหลาย. พราหมณ์ทูลพระราชาว่า
กาสิปติ อธิบายว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ผู้เป็นใหญ่ในกาสีรัฐ ดวง-
จันทร์สถิตอยู่ในท่ามกลางแห่งหมู่ดาว คือมีกลุ่มแห่งดวงดาวแวดล้อมย่อม
เปล่งปลั่ง จำเดิมแต่วันปาฏิบทจนถึงวันเพ็ญ ฉันใด แม้ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น
วันนี้กำลังเปี่ยมด้วยบ้านส่วยเป็นต้นที่พระองค์พระราชทานให้. บทว่า ตยา
หิ เม
ความว่า การสังคมกับพระองค์ แม้ข้าพระองค์ได้แล้วในครั้งก่อน
ก็เป็นเหมือนกับไม่ได้ แต่ในวันนี้ เพราะมโนรถของข้าพระองค์สำเร็จ การ
สังคมกับพระองค์ เป็นอัน ชื่อว่าอันข้าพระองค์ได้แล้วทั้งนั้น พราหมณ์ทูลว่า
ผลแห่งไมตรีจิตกับพระองค์ของข้าพระองค์สำเร็จแล้ว.
พระโพธิสัตว์ ได้ประทานยศใหญ่แก่พราหมณ์นั้น.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อน เราก็เคยให้พระอานนท์
อิ่มเอิบด้วยพรเหมือนกัน ดังนี้แล้ว จึงประชุมชาดกว่า พราหมณ์ในกาลนั้น
ได้เป็นพระอานนท์ ส่วนพระราชาได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาชุณหชาดก

3. ธรรมเทวปุตตชาดก



ว่าด้วยเรื่องธรรมชนะอธรรม



[1515] ดูก่อนอธรรมเทพบุตร ฉันเป็นผู้สร้าง
ยศ สร้างบุญ สรณะและพราหมณ์สรรเสริญทุกเมื่อ
อธรรมเอ๋ย ฉันชื่อว่าเป็นฝ่ายธรรม อันเทวดาและมนุษย์
บูชาแล้ว คู่ควรแก่หนทาง ท่านจงให้หนทางแก่ฉันเถิด.

[1516] ดูก่อนธรรมเทพบุตร เราชื่อว่าอธรรม
ขึ้นสู่ยานแห่งอธรรมอันมั่นคง ไม่เคยกลัวใคร มีกำลัง
เข้มแข็ง ธรรมเอ๋ย เราจะพึงให้ทางที่ไม่เคยให้ใคร
แก่ท่านในวันนี้ เพราะเหตุอะไรเล่า.

[1517] ธรรมแลปรากฏก่อน ภายหลังอธรรม
จึงเกิดขึ้นในโลก เราเป็นผู้เจริญกว่า ประเสริฐกว่า
ทั้งเก่ากว่า ขอจงให้ทางแก่เราเถิด น้องเอ๋ย.

[1518] เราจะไม่ให้หนทางแก่ท่าน เพราะการ
ขอร้องหรือเพราะความเป็นผู้สมควร ในวันนี้เรา
ทั้งสองจงมารบกัน แล้วหนทางเป็นของผู้ชนะใน
การรบ.

[1519] เราผู้ชื่อว่าธรรม เป็นผู้ลือชาปรากฏไป
ทั่วทุกทิศ มีกำลังมาก มียศประมาณไม่ได้ ไม่มีผู้เสมอ
เหมือน ประกอบด้วยคุณทั้งปวง อธรรมเอ๋ย ท่านจัก
ชนะได้อย่างไร.

[1520] เขาเอาฆ้อนเหล็กตีทองอย่างเดียว หา
ได้เอาทองตีเหล็กไม่ ถ้าหากว่าเราผู้ชื่อว่าอธรรม ฆ่า
ท่านผู้ชื่อว่าธรรมในวันนี้ได้ เหล็กจะน่าดู น่าชม
เหมือนทองคำ ฉะนั้น.