เมนู

[1624] ดูก่อนต้นรังที่เป็นเจ้าแห่งป่า ท่านย่อม
คิดสิ่งที่ควรคิด ท่านเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์แก่หมู่
ญาติ ดูก่อนสหาย ข้าพเจ้าให้อภัยแก่ท่าน.

จบภัททสาลชาดกที่ 2

อรรถกถาภัททสาลชาดก


พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภ การบำเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติ ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า กา ตฺวํ สุทฺเธหิ วตฺเถหิ ดังนี้.
เรื่องพิสดารมีว่า การฉันเป็นประจำของภิกษุ 500 รูป เป็นไปอยู่ใน
นิเวศน์ของท่านอนาถปิณฑิกะ ณ พระนครสาวัตถี โดยทำนองนั้นในนิเวศน์
ของนางวิสาขา และในพระราชวังของพระเจ้าโกศล. ก็ในพระราชนิเวศน์นั้น
เจ้าหน้าที่ย่อมถวายโภชนะอันมีรสเลิศต่าง ๆ โดยแท้ ถึงอย่างนั้น ใคร ๆ ที่เป็น
ผู้คุ้นเคยกันของภิกษุไม่มีอยู่เลย. เหตุนั้น พวกภิกษุจึงไม่ค่อยฉันในพระราช-
นิเวศน์ ภิกษุเหล่านั้นรับภัตพากันไปสู่เรือนของท่านอนาถปิณฑิกะหรือนาง
วิสาขา หรือมิฉะนั้นก็เรือนของคนที่คุ้นเคยกันอื่น ๆ แล้วจึงฉัน. วันหนึ่ง
พระราชาทรงส่งบรรณาการที่คนนำมา ไปสู่โรงฉันว่า พวกเจ้าจงถวายแก่
พวกภิกษุ ครั้นราชบุรุษกราบทูลว่า ในโรงฉันไม่มีภิกษุ ตรัสสั่งถามว่า
ท่านไปที่ไหนเสียเล่า ทรงสดับว่า พากันไปนั่งฉันที่เรือนของคนที่คุ้นเคย
แห่งตน พระเจ้าข้า พอเสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จ เสด็จไปสำนักพระศาสดา

ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่าโภชนะ มีอะไรเป็นยอดเยี่ยม. ถวาย-
พระพรว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร โภชนะมีความคุ้นเคยกันเป็นยอดเยี่ยม
เพราะแม้มาตรว่าจะเป็นข้าวตังข้าวปลายเกรียน ที่คนคุ้นเคยกันให้ ก็ย่อมมี
รสอร่อย. ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความคุ้นเคยของพระภิกษุ จะมี
กับคนพวกใดเล่า พระเจ้าข้า. ถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร มีได้กับหมู่ญาติ
หรือกับสกุลแห่งพระเสขะ มหาบพิตร.
ครั้งนั้นพระราชาทรงพระดำริว่า เราต้องเชิญธิดาแห่งศากยะนางหนึ่ง
มาแต่งตั้งเป็นอัครมเหสี ด้วยวิธีนี้ ความคุ้นเคยอย่างยอดเยี่ยมฉันญาติของพวก
ภิกษุกับเรา คงมีเป็นแน่ พระองค์เสด็จลุกจากอาสนะไปพระนิเวศน์ของพระ-
องค์ทรงส่งทูตไปสู่บุรีกบิลพัสดุ์ด้วยพระดำรัสว่าข้าพเจ้าขอร้อง เจ้าศากยะจง
ให้ธิดาแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการความเป็นญาติกับพวกท่าน. เจ้าศากยะ
สดับคำพูดแล้ว ประชุมปรึกษากันว่า พวกเราอยู่ในถิ่นฐานอันเป็นไปใน
อาณาของพระเจ้าโกศล ถ้าพวกเราไม่ให้ทาริกา จักมีเวรอย่างใหญ่หลวง
ถ้าให้เล่า เชื้อสายของพวกเราก็จะสลาย ควรจะทำอย่างไรดีเล่า. ครั้งนั้น
ท้าวมหานามตรัสกะพวกศากยะนั้นว่า อย่าร้อนใจกันไปเลย ธิดาของฉัน
ชื่อ วาสภขัตติยา เกิดในท้องทาสีชื่อ นาคบุณฑา อายุได้ 16 ปี มีรูป
ร่างเฉิดฉาย ถึงความงามเลิศ เท่ากับเป็นเผ่ากษัตริย์ ด้วยอำนาจของบิดา พวก
เราจะส่งนางไปให้แก่พระเจ้าโกศลนั้นว่า เป็นขัตติยกัญญา. เจ้าศากยะทั้งหลาย
ต่างรับว่าดีจริง ได้เรียกพวกทูตมากล่าวว่า เป็นการดีละ พวกข้าพเจ้าจักถวาย
ทาริกา พวกท่านจงรับนางไปบัดนี้ทีเดียวเถิด. พวกทูตฟังคำนั้นแล้ว คิดกันว่า
ธรรมดาว่าศากยราชเหล่านี้ ถือตัวยิ่งนักเพราะอาศัยชาติ พึงกล่าวว่า นางนี้
เสมอกับพวกเรา แล้วให้นางที่ไม่เสมอกันก็ได้ พวกเราจักยอมรับแต่นางที่
ร่วมบริโภคกับพวกเหล่านั้นเท่านั้น ทูตเหล่านั้นพากันทูลอย่างนี้ว่า เมื่อพวก

ข้าพระองค์จะรับไป จักขอรับนางที่เสวยร่วมกับพระองค์ไป เจ้าศากยะทั้งหลาย
จึงให้ที่พักแก่พวกทูต คิดกันว่า จักทำอย่างไรเล่า ท้าวมหานามตรัสว่า
พวกเธออย่าร้อนใจไปเลย ฉันจักทำอุบาย ในเวลาที่ฉันกำลังบริโภค พวกเธอ
จงตกแต่งนางวาสภขัตติยาพามา พอฉันหยิบคำข้าวเพียงคำเดียวเท่านั้น พวกเธอ
ก็ส่งหนังสือให้ดู บอกว่า พระราชาพระองค์โน้น ทรงส่งหนังสือ เชิญดูสาส์นนี้
เสียก่อน พวกนั้นพากันรับคำว่าสาธุ เมื่อท้าวเธอกำลังเสวย ก็ตกแต่งกุมาริกา
ท้าวมหานามตรัสว่า พวกเธอจงพาธิดาของฉันมาเถิด นางจงบริโภคร่วมกับ
ฉันเถิด ครั้งนั้นเจ้าศากยะ พากันตกแต่งนางทำเป็นชักช้าอยู่หน่อยหนึ่ง แล้ว
พามา นางคิดว่า จักบริโภคร่วมกับพระบิดา จึงหย่อนหัตถ์ลงในถาด
เดียวกัน ท้าวมหานามทรงถือปั้นข้าวปั้นหนึ่งร่วมกับนาง แล้วทรงเปิบด้วย
พระโอฐ พอทรงเอื้อมพระหัตถ์เพื่อคำที่ 2 พวกศากยะก็น้อมหนังสือเข้าไป
ถวายว่า ขอเดชะ พระราชาทรงพระนามโน้น ทรงส่งหนังสือมา เชิญพระองค์
ทรงสดับสาส์นนี้ก่อนเถิด พระเจ้าข้า ท้าวมหานามตรัสว่า แม่หนู เจ้าจงบริโภค
เถิด ทรงวางพระหัตถ์ขวาไว้ในถาดนั่นแล ทรงรับหนังสือด้วยพระหัตถ์
ซ้าย ทรงทอดพระเนตรหนังสือ เมื่อท้าวเธอกำลังทรงหนังสืออยู่นั้นเอง
นางก็เสวยเสร็จ เวลาที่นางบริโภคเสร็จ ท้าวเธอจึงล้างพระหัตถ์บ้วนพระโอฐ
พวกทูตเหล่านั้นเห็นแล้ว พากันปลงใจว่า นางนั้นเป็นพระธิดาแห่งท้าวมหา-
นามนี้ โดยปราศจากข้อคลางแคลงทีเดียว ต่างไม่สามารถจะรู้ความในนั้นได้
เลย ท้าวมหานามทรงส่งพระธิดาไปด้วยบริวารขบวนใหญ่ พวกทูตเหล่านั้น
ก็พานางสู่นครสาวัตถีต่างกราบทูลว่า กุมารีนี้สมบูรณ์ด้วยชาติ เป็นธิดาของ
ท้าวมหานาม.
ครั้งนั้น พระราชาทรงสดับเรื่องนั้น ทรงดีพระหฤทัย ให้ตกแต่ง
พระนครทั้งสิ้น ให้นางสถิตเหนือกองแก้ว ทรงให้อภิเษกสถาปนาใน

ตำแหน่งอัครมเหสี นางได้เป็นที่รักจำเริญของพระราชา. อยู่มาไม่ช้าไม่นาน
นางก็ตั้งครรภ์ พระราชาได้ประทานเครื่องบริหารครรภ์ ครบกำหนดทศมาส
นางประสูติพระราชบุตร มีผิวพรรณเพียงดังทอง. ครั้นในวันขนานพระนาม
ของพระกุมารนั้น พระราชาทรงส่งข่าวไปสู่สำนักของพระอัยกาของพระองค์ว่า
ธิดาของศากยะราชวาสภขัตติยา ประสูติพระราชบุตร จะทรงขนานนามแก่
บุตรนั้นอย่างไร. ก็อำมาตย์ผู้เชิญพระราชสาส์นนั้นไปค่อนข้างจะหูตึง เข้าไป
ถึงตำหนักนั้นแล้วกราบทูล แด่พระอัยกาของพระราชา ท้าวเธอทรงสดับพระ
ราชสาส์นนั้นเเล้ว ตรัสว่า นางวาสภขัตติยา แม้จะยังไม่คลอดพระโอรส ยัง
ครอบงำคนทั้งหมดได้ คราวนี้ละก็ต้องเป็นตัวโปรดอย่างล้นเหลือของพระราชา
อำมาตย์หูตึง ฟังคำว่า วัลลภา ไม่ชัดเจนกำหนดว่า วิฏฏุภะ ครั้นเข้าเฝ้า
พระราชากราบทูลว่า ขอเดชะ ดังข้าพระพุทธเจ้าได้ยินมา ขอใต้ฝ่าละออง-
ธุลีพระบาท ทรงขนานนามพระกุมารว่าวิฏฏุภะ เถิดพระเจ้าข้า พระราชาทรง
พระดำริว่า คงเป็นชื่อที่ตระกูลให้ไว้เก่าก่อนของพวกเรา ได้ทรงขนานพระนาม
พระโอรสนั้นว่าวิฏฏุภะ.
ตั้งแต่นั้นพระกุมารก็จำเริญด้วยกุมารบริหาร ถึงคราวมีอายุได้ 7 ขวบ
เห็นรูปช้าง และรูปม้าเป็นต้น ที่คนนำมาจากตระกูลพระเจ้ายาย ถวายแก่
พระกุมารอื่น ๆ ก็ถามมารดาว่า แม่ ของบรรณาการจากตระกูลท่านตา
คนนำมาให้เด็กอื่น ๆ ที่ฉันไม่มีผู้ส่งอะไรมาให้เลย แม่ไม่มีพระมารดา
พระบิดาหรือ ครั้งนั้นนางกล่าวลวงเขาว่า พ่อเอ๋ย บรรดาศากยราชเป็นเจ้าตา
เจ้ายายของเธอ อยู่ไกล เหตุนั้น ท่านเหล่านั้นจึงไม่ส่งอะไร ๆ มา ต่อมาถึงเวลา
มีอายุได้ 16 เขากล่าวว่า แม่ฉันจะไปเยี่ยมตระกูลเจ้าตาเจ้ายาย แม้จะถูกนาง
ห้ามว่า อย่าเลย พ่อเอ๋ย เจ้าจักการทำอะไรในที่นั้น ก็คงอ้อนวอนบ่อย ๆ
ครั้งนั้นมารดาของเขา รับคำว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถิด เขากราบทูลพระบิดา

ออกไปด้วยบริวารมาก นางวาสภขัตติยาส่งหนังสือไปก่อนว่า หม่อมฉันอยู่
สบายดี ณ ที่นี้เจ้าข้า ข้าแต่เจ้า พระองค์โปรดอย่าทรงแสดงความในอะไร ๆ
แก่เขาพระเจ้าข้า เจ้าศากยะทั้งหลายรู้เรื่องการมาของวิฏฏุภะ คิดกันว่า พวก
เราไม่สามารถจะไหว้เขาได้ เหตุนั้น จึงพากันส่งพระกุมารเด็ก ๆ ไปสู่ชนบท
เมื่อถึงกบิลพัสดุ์ พวกศากยะพากันประชุม ณ สัณฐาคาร กุมารไปถึงสัณฐาคาร
ได้หยุดยืนอยู่ ครั้งนั้น พวกเหล่านั้นพากันกล่าวกะเขาว่า พ่อเอ๋ย ท่านผู้นี้
เป็นเจ้าตาของเธอ ท่านผู้นี้เป็นเจ้าลุงของเธอ เขาต้องเที่ยวไหว้เรื่อยไปทุกคน
เขาต้องไหว้เสียจนหลังขดหลังแข็ง ไม่เห็นผู้ไหว้ตนสักคนเดียว จึงถามว่า
ผู้ที่ไหว้ฉันทำไมไม่มีเลยเล่า พวกศากยะพากันบอกว่า พ่อเอ๋ย กุมารที่เป็น
น้อง ๆ ของเธอ พากันไปชนบทเสีย. กระทำสักการะแก่เขาอย่างขนานใหญ่
เขาพักอยู่ 2-3 วันแล้วกลับไปด้วยบริวารมาก.
ครั้งนั้นทาสีนางหนึ่ง ด่าว่า แผ่นกระดานนี้เป็นแผ่นกระดานที่ลูก
อีทาสีวาสภขัตติยามันนั่งไว้ แล้วล้างแผ่นกระดานที่เขานั่งในสัณฐาคารด้วย
น้ำนม บุรุษผู้หนึ่งลืมอาวุธของตน หวนกลับจะหยิบอาวุธ ได้ยินเสียง
ด่าวิฏฏุภกุมารนั้น จึงถามนางในระหว่างนั้น ทราบว่า วาสภขัตติยาเกิด
ในท้องของนางทาสี แห่งท้าวมหานามศากยราช ก็ไปเล่าแถลงแก่หมู่พล
เกิดเกรียวกราวกันขนานใหญ่ว่า ได้ยินว่า นางวาสภขัตติยาเป็นลูกทาสี
กุมารฟังคำนั้น ตั้งใจว่าปล่อยให้พวกนี้ล้างแผ่นกระดานที่กูนั่งด้วยน้ำนมไป
ก่อนเถิด คอยดูนะ พอกูเสวยราชแล้วเถอะ กูจะเอาเลือดที่คอของพวก
นี้ล้างแผ่นกระดานที่กูนั่งให้ได้ เมื่อเข้ากรุงสาวัตถี พวกอำมาตย์พากัน
กราบทูลประพฤติเหตุทั้งปวงแด่พระราชา พระราชาทรงสดับเรื่องนั้น กริ้ว
เจ้าศากยะทั้งหลายว่า ให้ธิดาทาสีแก่เราได้ ทรงตัดการบริหารที่พระราชทาน
แก่นางวาสภขัตติยา และโอรสหมดเลย พระราชทานเพียงเท่าที่พวกทาสและ

ทาสีจะได้รับกันเท่านั้น จากนั้นล่วงไปได้ 2-3 วัน พระศาสดาเสด็จไปสู่
พระนิเวศน์ประทับนั่ง พระราชาถวายบังคมพระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ พวกญาติของพระองค์พากันให้ธิดานางทาสีแก่หม่อมฉันเสียได้
เหตุนั้น หม่อมฉันจำต้องตัดการบริหารของนางพร้อมทั้งลูก คงได้ให้เพียงการ
บริหารเท่าที่พวกทาสและทาสีจะพึงได้กันเท่านั้น พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร
พวกศากยะทำไม่สมควรเลยทีเดียว ธรรมดาว่า เมื่อจะให้ก็ต้องให้นางที่มีชาติ
เสมอกัน ก็แต่ว่ามหาบพิตร อาตมาขอถวายพระพรกะบพิตร นางวาสภขัตติยา
เป็นราชธิดาได้อภิเษกในพระราชวังของขัตติยราช ถึงวิฏฏุภะเล่า ก็เกิดเพราะ
อาศัยขัตติยราชเหมือนกัน ขึ้นชื่อว่าโคตรของมารดา จักกระทำอะไรได้ โคตร
ของบิดาต่างหากเป็นประมาณ บัณฑิตแต่ครั้งโบราณได้ให้ตำแหน่งอัครมเหสี
แก่หญิงเข็ญใจหาฟืน แต่กุมารที่เกิดในท้องของนาง ครองราชสมบัติ ณ
กรุงพาราณสี อันมีบริเวณ 12 โยชน์ ทรงพระนามว่า กัฏฐหาริกราช แล้ว
ตรัสกัฏฐหาริกชาดก พระราชาทรงสดับธรรมกถาของพระศาสดา ทรงดีพระ-
หฤทัยว่า โคตรของบิดาเท่านั้นเป็นประมาณ โปรดประทานการบริหารเช่นเดิม
แก่มารดาและโอรสทันที.
กล่าวถึงท่านเสนาบดีของพระราชา นามว่า พันธุละ ส่งภริยาของตน
ชื่อมัลลิกา ผู้เป็นหมันไปสู่กรุงกุสินาราด้วยคำว่า เธอจงไปสู่เรือนแห่งสกุลของ
เธอเถิด นางคิดว่า เราจักเฝ้าพระศาสดาแล้วจึงไป เข้าไปสู่พระวิหารเชตวัน
ถวายบังคมพระศาสดา แล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ได้รับสั่งถามว่า เธอจะ
ไปไหน กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สามีของหม่อมฉันจักส่งคืนไป
สู่เรือนแห่งสกุลเจ้า ตรัสว่า เพราะเหตุไร กราบทูลว่า หม่อมฉันเป็นหมัน
ไม่มีบุตรเจ้าค่ะ ตรัสว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ต้องไปดอก กลับเถิด ดีใจ

ถวายบังคมพระศาสดา ได้ไปสู่นิเวศน์ทันที ครั้นถูกสามีถามว่า เหตุไรเธอจึง
กลับมาเล่า บอกว่า พระทศพลรับสั่งให้ดิฉันกลับนี่เจ้าค่ะ นาย ท่านเสนาบดี
กล่าวว่า พระตถาคตต้องทรงเห็นเหตุการณ์เป็นแน่ ไม่ช้าไม่นานเลย นางก็
มีครรภ์เกิดแพ้ท้อง จึงบอกว่า ดิฉันเกิดแพ้ท้องแล้วละ ถามว่า แพ้ท้อง
อย่างไรเล่า บอกว่า นายเจ้าขา ดิฉันปรารถนาจะลงอาบน้ำ ดื่มน้ำในสระโบก-
ขรณีอันเป็นมงคล ซึ่งเป็นที่อภิเษกสรงแห่งคณะราชสกุลในพระนครเวสาลี
เจ้าค่ะ ท่านเสนาบดีกล่าวว่า ดีละ ถือธนูพันแรง อุ้มนางขึ้นสู่รถ ออกจาก
พระนครสาวัตถีขับรถเข้ากรุงเวสาลี ก็ในกาลนั้น เจ้ามหาลิพระเนตรบอด
เคยเรียนศิลปะรวมอาจารย์เดียวกันกับพระเจ้าโกศล และพันธุลเสนาบดี สอน
อรรถธรรมแก่มวลเจ้าลิจฉวี ประทับอยู่ใกล้ประตูนั้นเอง ท่านทรงฟังเสียงรถ
กระแทกธรณี กล่าวว่า นั่นเสียงรถอันเป็นพาหนะ ของเจ้ามัลละนามว่า พันธุละ
วันนี้ภัยคงจักเกิดแก่มวลเจ้าลิจฉวี การระวังรักษาสระโบกขรณีแข็งแรง ทั้ง
ภายในและภายนอก ข้างบนมีตาข่ายขึง ตลอดช่องลอดแม้ของฝูงนกก็ไม่มี.
ก็ท่านเสนาบดีลงจากรถฟาดฟันฝูงคนที่เฝ้าด้วยพระขรรค์ให้หนีไป ตัด
ตาข่ายโลหะให้ภรรยาลงในสระโบกขรณีอาบดื่ม แม้ตนเองก็อาบบ้าง แล้วอุ้ม
นางมัลลิกาขึ้นใส่รถออกจากเมืองไปตามทางที่มานั้นแล พวกคนเฝ้าพากันไป
กราบทูลแด่มวลเจ้าลิจฉวี เจ้าลิจฉวีเหล่านั้นพากันกริ้ว ขึ้นทรงรถ 500 คัน
ทรงยกออกไป ด้วยทรงดำริว่า พวกเราต้องจับเจ้ามัลละชื่อพันธุละให้ได้ พากัน
ไปเล่าเรื่องนั้นแด่เจ้ามหาลิ เจ้ามหาลิกล่าวว่า พวกเธออย่าไปเลย เขาจักฆ่า
พวกเธอเสียหมดทีเดียว ฝ่ายพวกนั้นพากันกล่าวว่า พวกข้าพเจ้าต้องไปให้ได้
กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นพวกเธอเห็นล้อรถจมลงไปถึงดุมละก็พากันกลับเสีย เมื่อไม่
กลับตอนนั้น จักได้ยินเสียงคล้ายฟ้าผ่าข้างหน้า พึงกลับกันจากที่นั้น เมื่อยัง

ไม่กลับตอนนั้น พวกเธอจักเห็นช่องในแอกรถของพวกเธอ อย่าได้พากันไป
ต่อไปเป็นอันขาด. พวกเจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ไม่ยอมกลับตามคำของท้าวเธอ
พากันติดตามท่านพันธุละนั้นไปจนได้ นางมัลลิกาเห็นแล้วกล่าวว่า นายเจ้าขา
รถปรากฏหลายคัน ท่านพันธุละกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นเธอคอยบอกฉันในเวลาที่รถ
ปรากฏเป็นคันเดียวกัน ในเมื่อรถทุก ๆ คันปรากฏเป็นดุจคันเดียว นางมัลลิกา
จึงบอกว่า นายเจ้าขา หัวรถปรากฏแล้ว ท่านพันธุละส่งสายบังเหียนให้นาง
ว่าถ้าเช่นนั้นเธอจงถือสายบังเหียนเหล่านี้ไว้ ยืนอยู่บนรถนั้นแลโก่งธนู เสียง
ได้เป็นเหมือนเสียงฟ้าผ่า ท่านพวกนั้นไม่ยอมกลับแม้จากที่นั้น พากันกวด
ตามเรื่อยไป ท่านพันธุละยืนบนรถยิงลูกศรไปลูกหนึ่ง ลูกศรนั้นทำหัวรถทั้ง
500 คันให้เป็นช่อง แทงทะลุที่หุ้มเกราะของพระราชาทั้ง 500 แล้วจมดินไป
เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ไม่ทราบความที่ตนถูกยิงแล้ว คงตรัสอยู่ว่า หยุด เจ้าตัวร้าย
หยุด เจ้าตัวร้าย ติดตามเรื่อยไป ท่านพันธุละจอดรถกล่าวว่า พวกท่านเป็น
คนตายแล้ว ไม่มีธรรมเนียมเลย ที่ข้าพเจ้าจะรบกับคนตาย เจ้าลิจฉวีพากัน
ตรัสว่า ขึ้นชื่อว่าคนตายแล้วเป็นเช่นอย่างพวกเราไม่มีดอก กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น
จงเปลื้องเกราะของท่านผู้อยู่สุดท้ายเพื่อนซี เจ้าลิจฉวีเหล่านั้นพากันเปลื้อง
เจ้าองค์นั้นพอเปลื้องเกราะเสร็จเท่านั้น ล้มลงสิ้นพระชนม์เลย. ครั้งนั้นท่าน
พันธุละกล่าวกะเจ้าเหล่านั้นว่า พวกท่านแม้ทั้งหมดก็เป็นรูปนั้น พวกท่าน
จงพากันไปสู่เรือนของตน ๆ จัดเตรียมการที่ควรจัดการ สั่งเสียลูกเมีย แล้ว
ค่อยเปลื้องเกราะ เจ้าเหล่านั้น พากันทำตามนั้น ถึงชีพตักษัยทุกคน.
ฝ่ายท่านพันธุละ ก็พานางมัลลิกามาสู่นครสาวัตถี นางคลอดบุตร
ชายแฝด 16 ครั้ง บุตรชายแม้ทุกคนล้วนเก่งกล้า สมบูรณ์ด้วยกำลัง ต่างเรียน
สำเร็จในศิลปะทุกประการ คนหนึ่ง ๆ ได้มีบริวารพันคน ท้องพระลานหลวง

แน่นขนัดไปด้วยพวกนั้น ผู้ไปสู่พระราชนิเวศน์กับบิดาทีเดียว อยู่มาวันหนึ่ง
พวกมนุษย์ที่ถูกตัดสินให้แพ้คดีอย่างโกงในที่วินิจฉัย เห็นท่านพันธุละกำลัง
เดินมา ก็ร้องเอะอะบอกการตัดสินคดีโกงของอำมาตย์ผู้ทำการวินิจฉัยแก่ท่าน
ท่านไปสู่ที่วินิจฉัย พิจารณาคดีนั้น ได้กระทำเจ้าของให้คงเป็นเจ้าของ ผู้มิใช่
เจ้าของ ก็กระทำคงเป็นผู้มิใช่เจ้าของ มหาชนพากันแซ่ซ้องสาธุการด้วยเสียง
อันดัง พระราชารับสั่งถามว่านี้เรื่องอะไรกัน ทรงสดับความนั้น ทรงยินดีตรัส
ให้ถอดอำมาตย์เหล่านั้นเสียทั้งหมด มอบการวินิจฉัยให้แก่ท่านพันธุละผู้เดียว.
จำเดิมแต่นั้นท่านตัดสินโดยชอบ ครั้งนั้นพวกผู้ตัดสินความเก่า ๆ เมื่อ
ไม่ได้สินบนต่างมีรายได้น้อย พากันยุแหย่ในราชสกุลว่า พันธุละปรารถนาราช
สมบัติ พระราชาทรงสดับถ้อยคำของพวกนั้นไม่สามารถจะข่มพระทัยได้ ทรง
ดำริว่าเมื่อเราจะให้ฆ่าพันธุละนี้ ในพระนครนี้ทีเดียวเล่า ความครหาจักบังเกิด
ได้ทรงพระดำริต่อไปว่า ต้องแต่งคนให้ไปปล้นชายแดน แล้วส่งให้ไปปราบ
พวกนั้น เวลายกกลับก็ให้คนฆ่าเสียทั้งพวกลูกในระหว่างทาง ครั้นทรงดำริ
แล้วรับสั่งให้หาท่านพันธุละมาเฝ้า ตรัสสั่งใช้ว่า ข่าวว่า ชายแดนกำเริบ ท่าน
กับบุตรของท่านจงไปจับพวกโจรทีเถิด แล้วทรงให้มหาโยธา แม้เหล่าอื่นที่
สามารถไปกับท่านพันธุละและบุตรเหล่านั้น ด้วยทรงดำรัสว่า พวกเจ้าจงตัด
ศีรษะของเขากับลูกทั้ง 32 คนเสีย ณ ที่นั้นให้จงได้ แล้วนำมาเถิด ครั้นท่าน
ไปถึงชายแดนเท่านั้น พวกโจรที่แต่งไปพากันกล่าวว่า ได้ยินข่าวว่า ท่าน
เสนาบดีกำลังยกมา พากันหนีไปสิ้น ท่านจัดการให้ประเทศสงบราบคาบ ตั้ง
ชนบทได้แล้วยกกลับ ครั้งนั้นเหล่าโจรนั้น พากันตัดศีรษะของท่านกับลูก ๆ
เสียในที่ไม่ไกลจากเมือง วันนั้น นางมัลลิกานิมนต์พระอัครสาวกกับภิกษุ 500
รูป. ตอนเช้ามีคนนำหนังสือมาให้นางว่า สามีกับบุตรถูกโยธาเหล่านั้นตัด

ศีรษะเสียแล้ว นางทราบเรื่องนั้นแล้ว ไม่พูดอะไรแก่ใคร ๆ เก็บหนังสือไว้
ในชายพก คงอังคาสพระภิกษุอยู่เรื่อยไป ครั้งนั้นพวกคนใช้ของนาง ถวาย
ภัตตาหารแด่ภิกษุแล้ว ยกถาดเนยใสมา ทำถาดแตกต่อหน้าพระเถระทั้งหลาย
พระธรรมเสนาบดีกล่าวว่า อุบาสิกา สิ่งที่มีความแตกเป็นธรรมดาแตกไปแล้ว
ไม่ต้องเสียใจ นางนำหนังสือออกมาจากชายพก กราบเรียนว่า คนนำหนังสือ
นี้มาให้ดิฉัน พ่อกับลูก 32 คนถูกตัดศีรษะเสียแล้ว ดิฉันแม้จะได้ฟังเรื่องนี้
ยังไม่เสียใจเลย ก็เมื่อถาดเนยใสนี้แตกไป จะต้องเสียใจทำไมเจ้าค่ะ.
พระธรรมเสนาบดีกล่าวคำมีอาทิว่า (ชีวิต มรณ) ไม่มีนิมิตไม่มีใครรู้
แสดงธรรมแล้วลุกจากอาสนะไปพระวิหาร ฝ่ายนางให้เรียกลูกสะใภ้ 32 นาง
มาสั่งสอนว่า สามีของพวกเธอปราศจากความผิดต่างได้รับผลแห่งกรรมที่
ทำไว้ในปางก่อนของตน พวกเธออย่าเศร้าโศกเลย อย่ากระทำใจประทุษ
ร้ายในพระราชาเลย จารบุรุษของพระราชาฟังคำนั้น พากันกราบทูล
ความที่คนเหล่านั้น หาโทษมิได้แก่พระราชา พระราชาทรงสลดพระทัย
เสด็จไปสู่ที่อยู่ของนาง ทรงขอขมาโทษกะนางมัลลิกา และสะใภ้ของนาง
แล้วประทานพรแก่นางมัลลิกา นางกราบทูลว่า พระพรเป็นอันหม่อมฉัน
รับพระราชทานใส่เกล้าใส่กระหม่อมพะยะค่ะ เมื่อพระราชาเสด็จไปแล้ว
จัดถวายมตกภัตรสนานกายเข้าเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์
ผู้สมมุติเทพเจ้า พระองค์พระราชทานพรแก่หม่อมฉันไว้ หม่อมฉันมิได้
มีความต้องการอย่างอื่น ขอพระองค์ทรงพระกรุณาอนุญาตให้หม่อนฉันและ
สะใภ้ 32 คนไปสู่ตระกูลเดิมเถิด พระเจ้าข้า พระราชาทรงรับคำของนาง
นางส่งลูกสะใภ้ 32 คน ไปสู่ตระกูลของตน ๆ ตนเองก็ได้ไปสู่เรือนแห่ง
ตระกูลของตน ณ กุสินารานคร ฝ่ายพระราชาก็พระราชทานตำแหน่งเสนาบดี
แก่หลานของท่านพันธุละเสนาบดี ชื่อ ฑีฆการายนะ ส่วนเขาดำริว่า พระราชา

องค์นี้ฆ่าลุงของเราเสีย คอยหาช่องแก้แค้นแก่พระราชาอยู่เรื่อย พระราชา
ตั้งแต่รับสั่งให้ฆ่าท่านพันธุละผู้ปราศจากความผิดแล้ว ก็ทรงมีแต่ความเร่าร้อน
พระหฤทัย มิทรงได้รับความชื่นใจ ไม่ทรงได้ความสุขในราชสมบัติเลย
ครั้งนั้นพระศาสดาทรงอาศัยนิคมชื่อว่าเวตตนุปปันนกุละ ประทับอยู่ พระ
ราชาเสด็จไป ณ นิคมนั้น ทรงตั้งค่ายพักไม่ไกลพระอาราม เสด็จไปสู่พระวิหาร
ด้วยราชบริพารมาก ด้วยทรงพระดำริจะถวายบังคมพระศาสดา ประทาน
เบญจราชกกุธภัณฑ์แก่ทีฆการายนะ ลำพังพระองค์เดียวเท่านั้น เสด็จเข้าสู่
พระคันธกุฎี เรื่องทั้งหมดพึงทราบตามแนวธัมมเจติยสูตรนั้นแล.
ครั้น พระองค์เสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี ทีฆการายนะถือเอาราชกกุธภัณฑ์
เหล่านั้น กระทำวิฏฏุภกุมารให้เป็นพระราชา ทิ้งม้าไว้ตัวหนึ่ง หญิงที่จะ
ปรนนิบัติผู้หนึ่ง สำหรับพระราชา ได้ไปสู่พระนครสาวัตถี พระราชาทรงตรัส
ปิยกถากับพระศาสดา แล้วเสด็จออกไม่ทรงเห็นกองทหาร ตรัสถามหญิงนั้น
ทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ทรงดำริว่า เราต้องไปชวนหลานเรามาจับวิฎฏุภะให้ได้
เสด็จไปสู่พระนครราชคฤห์ ถึงเวลาค่ำมืด ประตูเขาปิดหมดแล้ว ไม่ทรง
สามารถจะเข้าสู่พระนครได้ ทรงบรรทมในศาลาหลังนั้น ทรงกรากกรำด้วยลม
และแดด ตอนกลางคืนเลยสวรรคตในศาลานั้นเอง ครั้นรุ่งสว่างแล้วฝูงคน
ฟังเสียงคร่ำครวญของหญิงนั้น ผู้พร่ำรำพันอยู่ว่า โอ้ พระทูลกระหม่อม
จอมนรชนโกศลรัฐ บัดนี้พระองค์ไร้ที่พึ่งเสียแล้ว พากันกราบทูลแด่พระราชา
พระราชานั้นตรัสสั่งให้กระทำสรีรกิจของพระมาคุลาธิราช ด้วยสักการะอย่าง
ใหญ่หลวง ฝ่ายเจ้าวิฏฏุภะได้ราชสมบัติ ระลึกถึงเวรนั้น ดำริว่า กูต้องฆ่า
เจ้าศากยะให้ตายให้หมดเลย เสด็จออกด้วยแสนยานุภาพอันใหญ่โต วันนั้น
พระศาสดาทรงตรวจดูโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทอดพระเนตรเห็นความพินาศของ

หมู่พระญาติ ทรงพระดำริว่า ควรจะกระทำการสงเคราะห์ญาติไว้ ทรงโปรดสัตว์
ในตอนเช้า เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว ทรงสำเร็จสีหไสยาในพระคันธกุฎี
เวลาเย็นเสด็จไปทางอากาศ ประทับนั่ง ณ โคนไม้อันมีเงาห่างต้นหนึ่ง ใกล้
พระนครกบิลพัสดุ์ ณ ที่ไม่ไกลจากตรงนั้น ในรัชสีมาแห่งเจ้าวิฏฏุภะมีต้นไทร
ใหญ่เงาร่มชิด เจ้าวิฏฏุภะเห็นพระศาสดาเข้าไปเฝ้าถวายบังคมแล้ว กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในเวลาร้อนเห็นปานนี้ เหตุไรพระองค์จึงทรงประทับนั่ง
ณ โคนต้นไม้อันมีเงาห่างต้นนี้ เชิญพระองค์ประทับนั่ง ณ โคนต้นไม้มีเงา
ร่มชิดต้นหนึ่งเถิด พระเจ้าข้า ครั้นมีพระดำรัสว่า ช่างเถิดมหาบพิตร ธรรมดา
ว่าร่มเงาของหมู่ญาติเย็นสบาย ก็ดำริว่า พระศาสดาคงเสด็จมาเพื่อป้องกัน
หมู่ญาติไว้ ถวายบังคมพระศาสดา เสด็จกลับคืนสู่พระนครสาวัตถีทันที แม้
พระศาสดาก็เสด็จเหาะไปสู่พระวิหารเชตวันดุจกัน พระราชาทรงระลึกถึงโทษ
ของหมู่ศากยะได้ ก็ยกพลออกแม้ครั้งที่ 2 คงพบพระศาสดาตรงนั้นเหมือนกัน
เสด็จกลับเสียอีก ในวาระที่ 3 ทรงยกพลออก คงพบพระศาสดาตรงนั้น
นั่นแหละต้องกลับ.
แต่ในวาระที่ 4 เมื่อท้าวเธอยกพลออกไป พระศาสดาทรงตรวจดู
บูรพกรรมของหมู่ศากยะ ทรงทราบความที่กรรมอันเป็นบาป คือการโปรย
ยาพิษใส่ในแม่น้ำของศากยะเหล่านั้น นั้นเป็นกรรมที่จะป้องกันมิได้ ไม่
เสด็จไปในวาระที่ 4 ราชาวิฏฏุภะ ฆ่าเจ้าศากยะเสียทั้งหมดตั้งแต่เด็กที่
กำลังดื่มนม เอาเลือดที่คอล้างแผ่นกระดานที่ตนนั่ง แล้วเสด็จกลับมา ก็แล
เมื่อพระศาสดาเสด็จกลับจากการที่เสด็จในวาระที่ 3 รุ่งขึ้นเสด็จไปโปรดสัตว์
เสวยเสร็จเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี ถึงเวลาเย็นพวกภิกษุประชุมกันนั่งในธรรมสภา
พากันกล่าวแถลงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระศาสดา
ทรงแสดงพระองค์ให้พระราชากลับเสีย ทรงเปลื้องหมู่ญาติจากมรณภัย พระ-

ศาสดาทรงประพฤติประโยชน์แก่หมู่พระญาติอย่างนี้ พระศาสดาเสด็จมาตรัส
ถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร
เมื่อพวกภิกษุกราบทูลให้ทรงทราบแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่
ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตประพฤติประโยชน์แก่หมู่ญาติ แม้ในครั้งก่อนก็ได้
ประพฤติแล้วเหมือนกัน ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา ทรงนำอดีตนิทาน
มาดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล ครั้งพระราชาทรงพระนามว่าพรหมทัต มิได้ทรงละเมิด
ทศพิธราชธรรม ดำรงราชย์โดยธรรมในพระนครพาราณสี วันหนึ่งทรงพระ-
ดำริว่า บรรดาพระราชาในพื้นชมพูทวีป พากันอยู่ในปรางปราสาทมีเสามาก
เหตุนั้นอันการสร้างพระปราสาทด้วยเสามาก ๆ จึงไม่เป็นข้ออัศจรรย์ ถ้ากระไร
เราลองสร้างปราสาทเสาเดียวดูบ้าง ด้วยอย่างนี้เราคงเป็นราชาผู้เลิศกว่าพระราชา
ทั้งปวงได้ ท้าวเธอจึงมีรับสั่งเรียกช่างไม้มาเฝ้า ตรัสว่า พวกเจ้าจงสร้าง
ปราสาทเสาเดียว อันถึงความงามเลิศแก่เรา ช่างไม้เหล่านั้นรับพระดำรัสว่าสาธุ
พากันเข้าป่า พบต้นไม้ทั้งตรงทั้งใหญ่ เหมาะที่จะสร้างปราสาทเสาเดียวเป็น
อันมาก คิดกันว่า ต้นไม้เหล่านี้ ใช้ได้อยู่ แต่หนทางไม่สม่ำเสมอ ไม่สามารถ
จะชักลงได้ พวกเราต้องพากันกราบทูลพระราชา ได้กระทำอย่างนั้น พระราชา
ตรัสว่า จะค่อย ๆ ชักลงมาตามแต่จะมีอุบายไม่ได้หรือ ครั้นพวกนั้นพากัน
กราบทูลว่า ขอเดชะ พระผู้สมมติเทพเจ้า จะใช้อุบายอะไร ๆ ก็สุดสามารถ
ที่จะชักลงได้ พระเจ้าข้า ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น จงสำรวจดูต้นไม้ต้นหนึ่งในอุทยาน
ของเราซิ พวกช่างไม้พากันไปสู่อุทยาน เห็นต้นรังอันเป็นมิ่งมงคล ต้นหนึ่ง
เปลาตรง ชาวบ้านชาวตำบลพากันบูชา ได้พลีกรรมแม้จากราชสกุล พากัน
ไปสู่ราชสำนักกราบทูลเนื้อความนั้น พระราชาตรัสว่า ธรรมดาต้นไม้ในอุทยาน

ของเรา เป็นของที่เราได้เฉพาะ ไปเถิด พากันโค่นต้นไม้นั้นเถิด ช่างไม้เหล่านั้น
พากันรับพระดำรัสว่าสาธุแล้ว ต่างคนถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่
อุทยาน กระทำการเจิม 5 นิ้ว ด้วยแป้งหอมที่ต้นไม้ วงด้ายห้อยพวงดอกไม้
จุดประทีป ทำพลีกรรม ร้องบอกกล่าวว่า ในวันคำรบ 7 จากวันนี้ พวกเรา
จะพากันมาตัดต้นไม้ พระราชาทรงอนุมัติให้ตัดได้ เชิญเทพยดาผู้บังเกิด ณ
ต้นไม้นี้ ไป ณ ที่อื่น โทษจะไม่มีแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ครั้งนั้นเทพยดาผู้เกิด
ที่ต้นไม้นั้น ฟังถ้อยคำนั้น คิดว่า ไม่ต้องสงสัยเลย ช่างไม้เหล่านี้คงตัดต้นไม้นี้
วิมานของเราต้องฉิบหาย ก็แลชีวิตของเราเล่านะ สุดสิ้นกันที่วิมานเท่านั้นเอง
หมู่วิมานเป็นอันมาก แม้แห่งฝูงเทวดาผู้เป็นญาติของเรา ที่พากันเกิดแล้ว ณ
ต้นรังหนุ่ม ๆ อันตั้งล้อมต้นไม้นี้ จักต้องฉิบหายกัน ก็แลความวินาศของตน
จะไม่เบียดเบียนเราได้เลย เหมือนกับที่จะไม่เบียดเบียนฝูงญาติได้ เหตุนั้น
ควรที่เราจะให้ทานชีวิตแก่หมู่ญาติเหล่านั้น ครั้นเวลากลางคืน ประดับกาย
ด้วยอลังการอันเป็นทิพย์ เข้าไปสู่ห้องอันทรงสิริของพระราชา กระทำห้อง
ทุกส่วนให้สว่างจ้าเป็นอันเดียวกัน ได้ยืนร้องไห้อยู่ ณ เบื้องพระเศียร พระ-
ราชาทอดพระเนตรเห็นเทวดานั้น ทรงตระหนกพระหฤทัย เมื่อทรงปราศรัย
กับท่าน ตรัสคาถาเป็นปฐมว่า
ท่านเป็นใคร มีผ้าอันสะอาดหมดจด มายืนอยู่
บนอากาศ เพราะเหตุไร น้ำตาของท่านจึงไหล ภัยมา
ถึงท่านแต่ที่ไหน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กา ตฺวํ ความว่า พระราชตรัสถามว่า ใน
บรรดาอมนุษย์มีนาค ยักษ์ ครุฑและท้าวสักกะเป็นต้น ท่านชื่อว่า เป็นอะไร.
บทว่า วตฺเถหิ นี้เป็นเพียงถ้อยคำเท่านั้น. ที่จริงตรัสมุ่งหมายเอาเครื่องประดับ

เป็นทิพย์แม้ทั้งหมดทีเดียว. บทว่า อเฆ แปลว่า ไม่มีที่ติดขัด ได้แก่ อากาศ..
บทว่า เวหาสยํ นี้เป็นไวพจน์ของอากาศนั้นแล. บทว่า เกน ตยสฺสูทิ
ความว่า น้ำตาของท่านไหลหลั่งพรั่งพรูด้วยเหตุไร. บทว่า กุโต ความว่า
พระราชาตรัสถามว่า ภัยมาถึงท่านเพราะอาศัยเรื่องอะไร บรรดาอนัตถะมีความ
พลัดพรากจากญาติและความพินาศแห่งทรัพย์เป็นต้น.
เทวราชฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถา 2 คาถาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เมื่อหม่อมฉันได้รับ
การบูชาอยู่ 60,000 ปี ชนทั้งหลายรู้จักหม่อมฉันว่า
ภัททสาละ ในแว่นแคว้นของพระองค์นี้แล.
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในทิศ พระราชาพระ-
องค์ก่อน เมื่อสร้างพระนคร อาคารและปราสาท
ต่าง ๆ พระราชาเหล่านั้น บูชาหม่อมฉัน ฉันใด
แม้พระองค์ก็จงบูชาหม่อมฉัน ฉันนั้นเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ติฏฺฐโต ความว่า เทวราชแสดงว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เมื่อหม่อมฉันอันชาวกรุงพาราณสีทั่วหน้า และชาวบ้าน
ชาวนิคม ทั้งพระองค์บูชาได้รับพลีกรรมและสักการะเป็นนิตย์ ดำรงอยู่ในอุทยาน
แห่งนี้ และประมาณถึงเท่านี้ผ่านไป. บทว่า นครานิ ความว่า กระทำ
ปฏิสังขรณ์เมือง. บทว่า อคาเร จ ได้แก่ เรือนบนแผ่นดิน. บทว่า
ทิสมฺปติ ความว่า ข้าแด่พระมหาราช ผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่แห่งทิศ. บทว่า
น มนฺเต ความว่า ท่านเหล่านั้นคือพระราชาแต่ครั้งก่อนในพระนครนี้
เมื่อทรงกระทำการซ่อมพระนครเป็นต้น ไม่ทรงดูหมิ่น ไม่กล้ำกลาย คือไม่
เบียดเบียนหม่อมฉัน หมายความว่า มิได้ทรงตัดต้นไม้อันเป็นที่อยู่ของหม่อมฉัน

ทำกรรมของตน แต่คงกระทำสักการะแก่หม่อมฉันถ่ายเดียว นี้เป็นคำพูดเทวดา.
บทว่า ยเถว ความว่า เหตุนั้น พระราชาแต่ครั้งก่อนเหล่านั้นพากันบูชา
หม่อมฉัน แม้พระองค์เดียว ก็มิเคยรับสั่งให้ตัดต้นไม้ ฉันใด แม้พระองค์เล่า
ก็ทรงบูชา อย่าตัดต้นไม้ของหม่อมฉันเสียเลย ฉันนั้นเหมือนกัน.
ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัสคาถา 2 คาถาว่า
ก็ข้าพเจ้ามิได้เห็นต้นไม้อื่น ๆ ที่จะใหญ่โต
เหมือนท่าน โดยประมาณ ท่านเป็นไม้งามแต่กำเนิด
ด้วยย่านและปริมณฑล.
ข้าพเจ้าจะให้นายช่างทำปราสาทมีเสาเดียวเป็นที่
รื่นรมย์ใจ ข้าพเจ้าจะเชื้อเชิญท่านมาอยู่ที่ปราสาทนั้น
ดูก่อนเทวดา ชีวิตของท่านจักยั่งยืน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเยน แปลว่า โดยประมาณ. ท่าน
กล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นต้นไม้อื่น ๆ ที่ไหนใหญ่โตโดยขนาด
เหมือนต้นนั้นของท่าน ก็แลต้นไม้ของท่านนั่นแล มีท่าทีงดงาม คือถึงส่วน
แห่งความงาม เหมาะแก่ปราสาทเสาเดียว โดยที่สูงโปร่งเปลาตลอด และโดย
ชาติคือเกิดแล้วดี มีสัณฐานกลมและตรงเป็นข้อสำคัญ เหตุนั้น ข้าพเจ้าจึง
ให้คนตัดสร้างปราสาททีเดียว ดูก่อนเทวราชผู้สหาย ก็แต่ว่าข้าพเจ้าจักเชื้อเชิญ
ท่านเข้าไปอยู่ในปราสาทนั้น. ท่านนั้น เมื่ออยู่ร่วมกับข้าพเจ้า ได้รับของหอม
และดอกไม้เป็นต้นอย่างเลิศ ร่ำรวยด้วยสักการะ จักเป็นอยู่อย่างสบาย ท่าน
อย่าร้อนใจเลยว่า ความพินาศจักมีแก่เรา เพราะไม่มีที่อยู่ ชีวิตของท่านจัก
ยืนนานไปนะท่านเป็นที่บูชา.
เทวราชฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถา 2 คาถาว่า

ถ้าพระองค์ทรงดำริอย่างนี้ ก็จำต้องพลัดพราก
จากต้นรังอันเป็นร่างกายของหม่อมฉัน พระองค์จงตัด
หม่อมฉันทำเป็นท่อน ๆ ให้มากเถิด.
พระองค์จงตัดปลายก่อนแล้วจงตัดท่อนกลาง
ภายหลังจึงตัดที่โคน เมื่อหม่อมฉันถูกตัดอย่างนี้ ถึงจะ
ตายลงก็ไม่เป็นทุกข์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ จิตฺตํ อุทปาทิ ความว่า ถ้าว่า
ความคิดอย่างนี้ เกิดแก่พระองค์แล้ว. บทว่า สริเรน วินาภาโว ความว่า
ถ้าความพลัดพรากจากสรีระของหม่อมฉันคือต้นรังงาม พระองค์ได้ทรงตั้งไว้
แก่หม่อมฉัน. บทว่า ปุถุโส ความว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ครั้นทรงตัดต้นรัง
งามนั้นโดยมาก. บทว่า วิกนฺเตตฺวา แปลว่า ตัดแล้ว. บทว่า ขณฺฑโส
ความว่า ครั้นตัดแล้ว โปรดทอนเป็นท่อน ๆ โดยลำดับ. บทว่า อคฺเค จ
ความว่า ครั้นตัดแล้ว จงตัดปลายก่อน ต่อแต่นั้น ตัดส่วนกลาง หลังเขา
ทั้งหมดจงตัดราก เมื่อหม่อมฉันถูกตัดอย่างนี้ ไม่พึงมีความทุกข์ถึงตาย ยังจะ
พอมีความสุขได้เป็นตอน ๆ ทั้งนี้เทวราชวิงวอน.
ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัสคาถา 2 คาถาว่า
ราชบุรุษตัดมือและเท้า ตัดหูและจมูก ภายหลัง
จึงตัดศีรษะของโจรผู้เป็นอยู่ ความตายนั้นชื่อว่าตาย
เป็นทุกข์.
ดูก่อนต้นรังผู้เป็นเจ้าป่า เขาตัดเป็นท่อน ๆ
เป็นสุขหรือหนอ ท่านมีเหตุอะไร มั่นใจอย่างไร จึง
ปรารถนาได้ตัดเป็นท่อน ๆ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หตฺถปาทํ แปลว่า ซึ่งมือแลเท้า. บทว่า
ตํ ทุกฺขํ ความว่า เมื่อโจรถูกตัดโดยลำดับอย่างนี้ พึงมีความทุกข์แทบ
ประดาตาย. บทว่า สุขํ นุ ความว่า ดูก่อนไม้รังผู้สหาย โจรที่ต้องโทษ
ประหาร ปรารถนาจะตายโดยความสุขย่อมขอร้องให้ตัดศีรษะ ไม่ขอร้องให้
ตัดทีละท่อนกันเลย แต่ท่านขอร้องอย่างนี้ เหตุนั้น ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า จะ
มีสุขไฉนที่ถูกตัดทีละท่อน. บทว่า กึ เหตุ ความว่า ขึ้นชื่อว่า การตัด
ทีละท่อน ไม่มีความสุขเลย แต่ในเรื่องนี้คงมีเหตุ พระราชาเมื่อตรัสถาม
ดังนี้กะเทวราชานั้น จึงได้ตรัสอย่างนี้.
ลำดับนั้น เทพดาไม้รังงามเมื่อจะบอกแก่พระองค์ จึงกล่าวคาถา 2
คาถาว่า
ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันยึดมั่นเหตุอันใด อัน
เป็นเหตุประกอบด้วยธรรม ปรารถนาให้ตัดเป็นท่อน ๆ
ขอพระองค์จงทรงสดับเหตุนั้น.
หมู่ญาติของหม่อมฉัน เจริญอยู่ด้วยความสุข
เกิดแล้วใกล้ต้นรังข้างหม่อมฉัน พึงเข้าไปเบียดเบียน
หมู่ญาติเหล่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันชื่อว่าเข้าไป
สั่งสมสิ่งที่มิใช่ความสุขให้แก่คนเหล่าอื่น เหตุนั้น
หม่อมฉันจึงปรารถนาให้ตัดเป็นท่อนๆ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เหตุธมฺมูปสญฺหิตํ ความว่า ข้าแต่
พระมหาราช หม่อมฉันยึดมั่น ปรารถนาคือมุ่งหมายเหตุอันสมควรแก่ความจริง
ทีเดียว มิใช่เพียงเหตุอันเหมาะ ทูลว่า หม่อมฉันปรารถนาจะให้ตัดทีละท่อน
เชิญพระองค์ทรงเงี่ยพระโสตสดับต้นเหตุนั้นเถิด พระเจ้าข้า. บทว่า ญาติ เม

ความว่า หมู่เทพยดาผู้เป็นญาติของหม่อมฉัน พากันเติบโตอย่างเป็นสุขในร่ม
เงาแห่งสาลพฤกษ์อันงามของหม่อมฉัน. บทว่า มม ปสฺเส ความว่า บังเกิด
ณ สาลพฤกษ์หนุ่ม ๆ ได้ชื่อว่าเกิด ณ ที่อับลม เพราะหม่อมฉันช่วยต้านทาน
ลมไว้มีอยู่ เมื่อหม่อมฉันมีกิ่งและคาคบกว้างขวางถูกตัดที่โคนโค่นลงอยู่ พึง
รังแกพวกญาติได้ คือกระทำให้วิมานหักลู่แหลกลาญได้. บทว่า ปเรสํ อสุ-
โขจิตํ
ความว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ความไม่สุขคือความทุกข์ เป็นอันหม่อมฉัน
กอบโกยให้ เพิ่มพูนให้แก่คนอื่น คือหมู่เทพยดาผู้เป็นญาติเหล่านั้น ก็แล
หม่อมฉันมิได้ปรารถนาความทุกข์แก่พวกนั้นเลย เหตุนั้น หม่อมฉันจึงขอ
ปรารถนาให้ตัดต้นรังงามทีละท่อน พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงสดับเทวาธิบายนั้นแล้ว ทรงยินดีว่า เทวบุตรนี้เป็น
ผู้ดำรงธรรมจริงเทียว มิได้ปรารถนาจะทำลายวิมานของหมู่ญาติ แม้เพราะ
ความพินาศแห่งวิมานของตน ประพฤติประโยชน์แก่หมู่ญาติ เราต้องให้อภัย
แก่เธอ ตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า
ดูก่อนต้นรังผู้เป็นเจ้าแห่งป่า ท่านย่อมคิดสิ่งที่
ควรคิด ท่านเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์แก่หมู่ญาติ
ดูก่อนสหาย ข้าพเจ้าให้อภัยแก่ท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เจตยรูปํ เจเตสิ ความว่า ดูก่อนภัททสาลผู้
สหาย ท่านคิดเรื่องที่ชื่อว่าควรคิด เพราะมีจิตอ่อนในหมู่ญาติทีเดียว. บาลีว่า
เจตยรูปํ เฉเทสิ ดังนี้ก็มี. คำนั้นมีอธิบายว่า เมื่อท่านปรารถนาให้ตัดทีละท่อน
เป็นอันให้ตัดถูกต้องตามที่ควรตัดทีเดียว. บทว่า อภยํ ความว่า พระราชาตรัส
ว่าดูก่อนสหาย ข้าพเจ้าเลื่อมใสในคุณของท่านนี้ ขอให้อภัยแก่ท่าน ข้าพเจ้า
ไม่ต้องการปราสาทละ ข้าพเจ้าจักไม่ให้เขาโค่นต้นไม้นั้นละ เชิญท่านไปเถิด

ขอท่านผู้มีหมู่ญาติแวดล้อม ได้รับสักการะ ได้รับเคารพ ดำรงชีพเป็นสุข ๆ
เถิด.
เทวราชแสดงธรรมถวายพระราชา แล้วได้กลับไป พระราชาดำรง
พระองค์ในโอวาทของท่าน ทรงกระทำบุญมีถวายทานเป็นต้น ทรงทำทาง
สวรรค์เต็มที่.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ตรัสย้ำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็ได้ประพฤติญาตัตถจริยาแล้วดุจกันอย่างนี้ ทรง
ประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็นอานนท์ ฝูงเทวดาผู้เกิด ณ
ไม้รังหนุ่ม ๆ ได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนภัททสาลเทวราช ได้มาเป็นเราผู้
ตถาคต
แล.
จบอรรถกถาภัททชาดก

3. สมุททวาณิชชาดก


ว่าด้วยพ่อค้าทางสมุทร


[1625] ชนทั้งหลายพากันไถ พากันหว่าน
เป็นมนุษย์ผู้ต้องเลี้ยงชีพด้วยผลการงาน ไม่ถึงส่วน
หนึ่งแห่งเกาะอันนี้ เกาะของเรานี้แหละดีกว่าชมพูทวีป.

[1626] ในวันพระจันทร์เพ็ญ ทะเลจักมีคลื่น
จัด จะท่วมเกาะใหญ่นี้ให้จมลง คลื่นทะเลอย่าฆ่าท่าน
ทั้งหลายเสียเลย ท่านทั้งหลายจงพากันไปหาที่พึ่งอาศัย
ที่อื่นเถิด.