เมนู

[1327] ข้าแต่ท่านผู้น่าบูชา จักรกรดจักตั้งอยู่
บนศีรษะของข้าพเจ้านานสักเท่าไรหนอ จะ
สักกี่พันปีข้าพเจ้าขอถามความนั้น ขอท่านได้
โปรดบอกแก่ข้าพเจ้าเถิด.
[1328] ดูก่อนมิตตวินทุกะท่านจงฟังเรา ท่าน
จะต้องทนทุกข์ทรมานไปอีกนาน จักรกรดจะ
พัดผันอยู่บนศีรษะของท่าน เมื่อท่านยังมีชีวิต
อยู่จะพ้นไปไม่ได้.

จบ จตุทวารชาดกที่ 1

อรรถกถาชาดก


ทสกนิบาต



อรรถกถาจตุทวารชาดกที่ 1



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุว่ายากรูปหนึ่ง. จึงตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า จตุทฺวารมิทํ นครํ
ดังนี้ ก็แหละ เรื่องปัจจุบัน บัณฑิตพึงให้พิสดารในชาดกเรื่องที่ 1
ในนวกนิบาต.

สำหรับในที่นี้มีความว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุรูปนั้นว่า
ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอเป็นผู้ว่ายากจริงหรือ ? เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า
จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ แม้ในกาลก่อนเธอก็ไม่เชื่อฟัง
คำของบัณฑิตไปยินดีจักรกรด เพราะที่เป็นผู้ว่ายากดังนี้ แล้วทรงนำเอา
เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งศาสนาพระกัสสปทศพล ในเมืองพาราณสี
เศรษฐีมีทรัพย์ 80 โกฏิ มีบุตรคน 1 ชื่อมิตตวินทุกะ มารดาบิดาของ
มิตตวินทุกะ เป็นพระโสดาบัน. แต่มิตตวินทุกะเป็นคนทุศีลไม่มีศรัทธา.
ต่อมาเมื่อบิดาตายแล้วมารดาตรวจตราดูแลทรัพย์สมบัติ วันหนึ่ง
กล่าวกะเขาว่า ลูกรัก ความเป็นมนุษย์เป็นของที่ได้ยาก เจ้าก็ได้แล้ว
เจ้าจงให้ทานรักษาศีล กระทำอุโบสถกรรม ฟังธรรมเถิด มิตตวินทุกะ
กล่าวว่า แม่ ทานเป็นต้นไม่เป็นประโยชน์แก่ฉัน แม่อย่าได้กล่าวอะไร ๆ
กะฉัน ฉันจะไปตามยถากรรม ถึงแม้เขาจะกล่าวอยู่อย่างนี้ วันหนึ่ง
เป็นวันบูรณมีอุโบสถ มารดาได้กล่าวกะเขาว่า ลูกรักวันนี้เป็นวัน
อภิลักขิตสมัยมหาอุโบสถ วันนี้เจ้าจงสมาทานอุโบสถ ไปวิหารฟังธรรม
อยู่ตลอดคืนแล้วจงมา แม่จะให้ทรัพย์แก่เจ้าพันหนึ่ง เขารับคำว่า ดีแล้ว
สมาทานอุโบสถเพราะอยากได้ทรัพย์ พอบริโภคอาหารเช้าแล้วไปวิหาร
อยู่ที่วิหารตลอดวัน แล้วนอนหลับอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งตลอดคืน โดยอาการ
ที่บทแห่งธรรมแม้บท 1 ก็ไม่กระทบ วันรุ่งขึ้นเขาล้างหน้าไปนั่งอยู่
ที่เรือนแต่เช้าทีเดียว.

ฝ่ายมารดาของเขาคิดว่า วันนี้ลูกของเราฟังธรรมแล้ว จักพา
พระเถระผู้ธรรมกถึกมาแต่เช้าทีเดียว จึงตกแต่งข้าวยาคูเป็นต้น แล้ว
ปูลาดอาสนะไว้คอยท่าอยู่ ครั้นเห็นเขามาคนเดียว จึงถามว่า ลูกรัก
เจ้าไม่ได้นำพระธรรมกถึกมาหรือ ? เมื่อเขากล่าวว่า ฉันไม่ต้องการ
พระธรรมกถึก จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นลูกจงดื่มข้าวยาคูเถิด เขากล่าวว่า
แม่รับว่าจะให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่ฉัน แม่จะให้ทรัพย์แก่ฉันก่อน ฉันจัก
ดื่มภายหลัง มารดากล่าวว่า ดื่มเถิดลูกรัก แล้วแม่จักให้ทีหลัง
เขากล่าวว่า ฉันต้องได้รับทรัพย์ก่อนจึงจะดื่ม ลำดับนั้น มารดาได้
เอาห่อทรัพย์พันหนึ่งวางไว้ต่อหน้าเขา เขาดื่มข้าวยาคูแล้วถือเอาห่อ
ทรัพย์พันหนึ่งไปทำการค้าขาย ในไม่ช้านักก็เกิดทรัพย์ขึ้นถึงแสน
สองหมื่น. ลำดับนั้น เขาได้มีความคิดดังนี้ว่า เราจักต่อเรือทำการ
ค้าขาย ครั้นเขาต่อเรือแล้วได้กล่าวกะมารดาว่า แม่ ฉันจักทำการ
ค้าขายทางเรือ ครั้งนั้น มารดาได้ห้ามเขาว่า ลูกรัก เจ้าเป็นลูกคนเดียว
ของแม่ แม้ในเรือนนี้ก็มีทรัพย์อยู่มาก ทะเลมีโทษไม่น้อยเจ้าอย่าไป
เลย เขากล่าวว่า ฉันจักไปให้ได้ แม่ไม่มีอำนาจที่จะห้ามฉัน แม้เมื่อ
มารดากล่าวว่า ลูกรัก แม่ต้องห้ามเจ้า แล้วจับมือเอาไว้ ก็สลัดมือผลัก
มารดาให้ล้มลง แล้วข้ามไปลงเรือแล่นไปในทะเล.
ครั้นถึงวันที่ 7 เรือได้หยุดนิ่งอยู่บนหลังน้ำกลางทะเล เพราะ
มิตตวินทุกะเป็นเหตุ สลากกาลกัณณีที่แจกไปได้ตกในมือของมิตต-

วินทุกะคนเดียวถึงสามครั้ง ครั้งนั้น พวกที่ไปด้วยกันได้ผูกแพให้เขา
แล้วโยนเขาลงทะเล โดยที่คิดเห็นร่วมกันว่า คนเป็นจำนวนมากอย่ามา
พินาศเสีย เพราะอาศัยนายมิตตวินทุกะนี้คนเดียวเลย ทันใดนั้นเรือได้
แล่นไปในมหาสมุทรโดยเร็ว มิตตวินทุกะนอนไปในแพลอยไปถึงเกาะ
น้อยแห่งหนึ่ง บนเกาะน้อยนั้นเขาได้พบนางชนี คือนางเวมานิกเปรต
4 นาง อยู่ในวิมานแก้วผลึก นางเปรตเหล่านั้นเสวยทุกข์ 7 วัน
เสวยสุข 7 วัน มิตตวินทุกะได้เสวยทิพยสมบัติอยู่กับนางเปรตเหล่านั้น
7 วันในสาระสุข ครั้นถึงวาระที่จะเปลี่ยนไปทนทุกข์ นางทั้ง 2 ได้
สั่งว่า นาย พวกฉันจักมาในวันที่ 7 ท่านอย่ากระสันไปเลย จงอยู่ใน
ที่นี้จนกว่าพวกฉันจะมา ดังนี้แล้วพากันไป มิตตวินทุกะเป็นคนตกอยู่
ในอำนาจของตัณหา ลงนอนบนแพนั้นลอยไปตามหลังสมุทรอีก ถึง
เกาะน้อยอีกแห่งหนึ่ง ได้พบนางเปรต 8 นาง ในวิมานเงินบนเกาะนั้น
ได้พบนางเปรต 16 นาง ในวิมานแก้วมณีบนเกาะอีกแห่งหนึ่ง ได้พบ
นางเปรต 32 นาง ในวิมานทองบนเกาะอีกแห่งหนึ่ง โดยอุบายนี้แหละ
ได้เสวยทิพยสมบัติ อยู่กับนางเปรตเหล่านั้นทุก ๆ เกาะ ดังกล่าวแล้ว
เมื่อถึงเวลาที่นางเปรตแม้เหล่านั้นไปทนทุกข์ ได้นอนบนหลังแพลอย
ไปตามห้วงสมุทรอีก ได้พบเมือง ๆ หนึ่งมีกำแพงล้อมรอบ มีประตู
4 ด้าน ได้ยินว่าที่นี่เป็นอุสสทนรกเป็นที่เสวยกรรมกรณ์ของเหล่าสัตว์
นรกเป็นจำนวนมาก แต่ได้ปรากฏแก่มิตตวินทุกะเหมือนเป็นเมืองที่

ประดับตกแต่งไว้ เขาคิดว่า เราจักเข้าไปเป็นพระราชาในเมืองนี้ แล้ว
เข้าไปได้เห็นสัตว์นรกตน 1 ทูนจักรกรดหมุนเผาผลาญอยู่บนศีรษะ
ขณะนั้นจักรกรดบนศีรษะสัตว์นรกนั้น ได้ปรากฏแก่มิตตวินทุกะเป็น
เหมือนดอกบัว เครื่องจองจำ 5 ประการที่อก ปรากฏเหมือนเป็นสังวาลย์
เครื่องประดับทรวง โลหิตที่ไหลจากศีรษะเหมือนเป็นจันทน์แดงที่
ชะโลมทา เสียงครวญครางเหมือนเป็นเสียงเพลงขับที่ไพเราะ มิตตวิน -
ทุกะเข้าไปใกล้สัตว์นรกนั้น แล้วกล่าวขอว่า ข้าแต่บุรุษผู้เจริญ ท่าน
ได้ทัดทรงดอกบัวมานานแล้ว จงได้แก่ข้าพเจ้าเถิด สัตว์นรกกล่าวว่า
แน่ะสหาย นี้ไม่ใช่ดอกบัวมันคือจักรกรด มิตตวินทุกะกล่าวว่า ท่าน
พูดอย่างนี้เพราะไม่อยากจะให้แก่เรา สัตว์นรกคิดว่า บาปของเราคง
สิ้นแล้ว แม้บุรุษผู้นี้ก็คงจะทุบตีมารดามาแล้วเหมือนเรา เราจักให้
จักรกรดแก่มัน ครานั้นสัตว์นรกได้กล่าวกะมิตตวินทุกะว่า มาเถิดท่าน
ผู้เจริญ ท่านจงรับดอกบัวนี้เถิด แล้วขว้างจักรกรดไปบนศีรษะของ
มิตตวินทุกะ จักรกรดได้ตกลงพัดผันบนศีรษะเขาขณะนั้น มิตตวินทุกะ
จึงรู้ว่าดอกบัวนั้นคือจักรกรด ได้รับทุกขเวทนาเป็นกำลัง คร่ำครวญว่า
ท่านจงเอวจักรกรดของท่านไปเถิด ๆ สัตว์นรกตนนั้นได้หายไปแล้ว.
คราวนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นรุกขเทวดา พร้อม
ด้วยบริวารใหญ่เที่ยวจาริกไปในอุสสทนรกได้ไปถึงที่นั้น มิตตวินทุกะ
แลเห็นรุกขเทวดา เมื่อจะถามว่า ข้าแต่เทวราชเจ้าจักรนี้ลงบดศีรษะ

ประหนึ่งว่าจะทำให้แหลกเหมือนเมล็ดงา ข้าพเจ้าได้กระทำบาปอะไร
ไว้หนอ ดังนี้ จึงได้กล่าวคาถา 2 คาถาว่า :-
เมืองนี้มีประตู 4 ประตู. มีกำแพงมั่นคง
ล้วนแล้วไปด้วยเหล็กแดง ข้าพเจ้าถูกล้อมไว้
ด้วยกำแพง ข้าพเจ้าได้ทำบาปอะไรไว้.
ประตูทั้งหมดจึงปิดแน่น ข้าพเจ้าถูกขัง
เหมือนนก ข้าแต่เทวดา เหตุเป็นมาอย่างไร
ข้าพเจ้าจึงถูกจักรกรดพัดศีรษะ ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทฬฺหปาการํ คือมีกำแพงมั่นคง
บาลีว่า ทฬฺหโตรณํ ดังนี้ก็มี ความว่า มีประตูมั่นคง. บทว่า
โอรุทฺธปฏิ รุทฺโธสฺมิ ความว่า ข้าพเจ้าถูกล้อมด้วยกำแพงโดยรอบ
ติดขังอยู่ข้างในสถานที่สำหรับหนีไปไม่ปรากฏ. บทว่า กึ ปาปํ ปกตํ
ความว่า ข้าพเจ้าได้ทำบาปอะไรไว้หนอ. บทว่า อปิหิตา เท่ากับ
ถกิตา แปลว่า อันเขาปิดไว้แล้ว. บทว่า ยถา ทิโช คือเหมือน
นกที่ถูกขังไว้ในกรง. บทว่า กิมา ธิกรณํ ความว่า มูลเหตุเป็น
อย่างไร ? คือมูลเค้าเป็นอย่างไร ? บทว่า จกฺกาภินิหโต คือถูก
จักรกรดพัดผันแล้ว.

ลำดับนั้น เทวราชเมื่อจะบอกเหตุแก่เขา จึงได้กล่าวคาถา 6
คาถาว่า :-
ท่านได้ทรัพย์มากมายแสนสองหมื่นแล้ว
ยังไม่เชื่อคำของญาติผู้เอ็นดู.
ท่านแล่นเรือไปสู่สมุทรอันอาจทำให้
เรือโลดขึ้นได้ เงินสาครที่มีสิทธิ์น้อย ได้
ประสบนางเวมานิกเปรต 4 นาง จาก 4 นาง
เป็น 8 นาง จาก 8 นาง เป็น 16 นาง.
ถึงจะได้ประสบนางเวมานิกเปรตจาก 16
นาง เป็น 32 นาง ก็ยังปรารถนายิ่งไปกว่านั้น
จึงได้ประสบจักรนี้ จักรกรดย่อมพัดพันบน
ศีรษะของคนผู้ถูกความอยากครอบงำ.
ความอยากเป็นของสูงใหญ่ไพศาล ยาก
ที่จะให้เต็ม มักให้ถึงความวิบัติ ชนเหล่าใด
ย่อมยินดีไปตามความอยาก ชนเหล่านั้นย่อม
เป็นผู้ทรงจักรกรดไว้.

ชนเหล่าใดละสิ่งของที่มีมากเสียด้วย
ไม่พิจารณาหนทางด้วย แล้วไม่คิดอ่านเหตุ
การณ์นั้นให้ถ่องแท้ ชนเหล่านั้นย่อมเป็นผู้
ทรงจักรกรดไว้.
ผู้ใดพึงเพ่งพินิจถึงการงานและโภคะอัน
ไพบูลย์ ไม่ซ่องเสพความอยากอันประกอบ
ด้วยความฉิบหาย ทำตามถ้อยคำของผู้เอ็นดู
ทั้งหลาย ผู้เช่นนั้น จะไม่ถูกจักรกรดพัดผัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลทฺธา สตสหสฺสานิ อติเรกานิ
วีสติ
ความว่า ท่านทำอุโบสถได้รับทรัพย์พันหนึ่งจากสำนักของมารดา
เมื่อทำการค้าขายจึงได้ทรัพย์ คือที่เป็นทุนพันหนึ่งและทรัพย์ที่เป็นกำไร
ตั้งหนึ่งแสนสองหมื่นแล้ว. ด้วยบทว่า นากริ นี้ เทวราช
แสดงไว้ว่า ท่านไม่ยินดีด้วยทรัพย์นั้น แล่นเรือไปสู่สมุทรแม้ถูกมารดา
กล่าวถึงโทษในสมุทรแล้วห้ามอยู่ ก็ยังไม่เชื่อคำเตือนโดยชอบของญาติ
ผู้เอ็นดูกลับทำร้ายมารดาผู้โสดาบัน แล้วฉวยโอกาสหนีออกไป. บทว่า
ลงฺฆึ คืออันสามารถทำให้เรือโลดขึ้นได้. บทว่า ปกฺขนฺทิ เท่ากับ
ปกฺขนฺโตสิ แปลว่า ท่านเป็นผู้แล่นเรือไปแล้ว. บทว่า อปฺปสิทฺธิกํ
คือที่มีสิทธิน้อย มากด้วยความพินาศ. บทว่า จตุพฺภิ อฏฺฐ เป็นต้น

ความว่า ครั้นเรือหยุดนิ่งแล้วเพราะอาศัยท่านเป็นเหตุ แม้ถูกพวกที่
ไปด้วยกันผูกแพให้แล้วโยนลงทะเล ท่านยังได้หญิง 4 คน ในวิมาน
แก้วผลึก เพราะอานิสงส์แห่งอุโบสถกรรมที่ตนได้กระทำในวันหนึ่ง
เพราะอาศัยมารดา ต่อจากนั้นก็ได้ให้หญิงอีก 8 คน ในวิมานเงิน
6 คน ในวิมานแก้วมณี และ 32 คน ในวิมานทอง. บทว่า อติจฺฉํ
จกฺกมาสโท
ความว่า ถึงกะนั้น ท่านก็ยังไม่ยินดีด้วยปัจจัยตามที่ได้ ชื่อว่า
เป็นผู้ปรารถนามากเกินไป เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยความปรารถนา
เกินความจำเป็น กล่าวคือ ความอยากยิ่งอันเป็นเครื่องเกินเลยสิ่งที่ตน
ได้มาแล้ว ๆ อย่างนี้ว่า เราจักได้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ในสิ่งนี้ ดังนี้จักว่าเป็น
บุคคลเลวทราม เพราะความที่อุโบสถกรรมนั้นสิ้นแล้ว จึงได้ผ่านพ้น
หญิง 32 คน แล้วมาสู่เปรตนครนี้ เพราะวิบากแห่งอกุศลกรรมคือการ
ทำร้ายมารดานั้น จึงได้ประสบจักรนี้ บาลีว่า อตฺริจฺฉํ ดังนี้ก็มี ความว่า
ปรารถนาอยู่ในสิ่งนี้บ้างสิ่งนั้นบ้าง บาลีว่า อตฺริจฺฉา ดังนี้ก็มี ความว่า
เพราะปรารถนาเกินเลยไป. บทว่า ภมติ ความว่า บัดนี้ จักรนี้บด
ศีรษะของท่านนั้นอยู่ ชื่อว่า พัดผันบนศีรษะของคนที่ถูกความอยาก
ครอบงำแล้ว ดุจจักรของนายช่างหม้อฉะนั้น. บทคาถาว่า เย จ ตํ
อนุคิชฺฌนฺติ
ความว่า ขึ้นชื่อว่าความอยากนั้น เมื่อแผ่ไปย่อมเป็น
ของสูงใหญ่ไพศาล ยากที่จะเต็มได้ดุจทะเล ชื่อว่า มักให้ถึงความวิบัติ
เพราะความปรารถนาอันเป็นเครื่องปรารถนาอารมณ์นั้น ๆ ในบรรดา
อารมณ์มีรูปเป็นต้น ชนเหล่าใดย่อมยินดีไปตามความอยากเห็นปานนี้

นั้น คือเป็นผู้กำหนัดยินดีติดอยู่บ่อย ๆ. บทว่า เต โหนฺติ จกฺกธาริโน
ความว่า ชนเหล่านั้นไปอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า ย่อมทรงไว้ซึ่งจักรกรด. บทว่า
พหุภณฺฑํ คือละทรัพย์เป็นอันมาก อันเป็นของมารดาบิดา. บทว่า
มคฺคํ ความว่า ชนแม้เหล่าอื่นเหล่าใดไม่ใคร่ครวญ คือไม่คิดอ่าน
เหตุการณ์นั้นให้ถ่องแท้ เหมือนท่านไม่พิจารณาหนทางสมุทรอันมี
สิทธิน้อยที่ตนจะต้องไปแล้วเดินทางไป ชนเหล่านั้นเป็นผู้ตกอยู่ใน
อำนาจของความอยาก ละทรัพย์แล้วไม่พิจารณาทางที่จะไป แล้วดำเนิน
ไป ย่อมเป็นผู้ทรงจักรไว้เหมือนท่าน บทว่า กมฺมํ สเมกฺเขยฺย
ความว่า เพราะเหตุนั้น บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงเพ่งพินิจ คือพึงพิจารณา
ถึงกิจการงานที่ตนจะต้องทำว่ามีโทษหรือไม่หนอ. บทว่า วิปุลญฺจ โภคํ
คือพึงเพ่งพินิจแม้กองแห่งทรัพย์ที่ได้มาโดยชอบธรรมของตน. บทว่า
นาติวเตยฺย ความว่า บุคคลผู้เช่นนั้นจะไม่ถูกจักรนี้พัดผันคือทับยี
บาลีว่า นาติวตฺเตติ ดังนี้ก็มี ความว่า ย่อมไม่ทับยี.
มิตตวินทุกะได้ฟังดังนั้นแล้วคิดว่า เทวบุตรนี้รู้กรรมที่เราทำไว้
โดยถ่องแท้ เทวบุตรนี้คงจะรู้กำหนดกาลที่เราจะหมกไหม้อยู่ เราจะ
ถามท่านดู ดังนี้แล้ว จึงได้กล่าวคาถาที่ 9 ว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้น่าบูชา จักรกรดจักตั้งอยู่
บนศีรษะของข้าพเจ้านานสักเท่าไรหนอ จะ

สักกี่พันปี ข้าพเจ้าขอถามความนั้น ขอท่านได้
โปรดบอกแก่ข้าพเจ้าเถิด.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เมื่อจะบอกแก่มิตตวินทุกะนั้น จึงได้
กล่าวคาถาที่ 10 ว่า :-
ดูก่อนมิตตวินทุกะ ท่านจงฟังเรา ท่าน
จะต้องทนทุกข์ทรมานไปอีกนาน จักรกรดจะ
พัดผันอยู่บนศีรษะของท่าน เมื่อท่านยังมีชีวิต
อยู่จะพ้นไปไม่ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อติสโร มีวินิจฉัยว่า ชื่อว่า
อติสโร เพราะอรรถว่า อติสริ ดังนี้ บ้าง เพราะอรรถว่า อติสริสฺสติ
ดังนี้บ้าง. บทว่า อจฺจสโร เป็นไวพจน์ของบทว่า อติสโร นั้นนั่นเอง.
ข้อนี้มีอธิบายว่า ดูก่อนมิตตวินทุกะผู้เจริญ ท่านจงฟังคำของเรา
ก็ท่านชื่อว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานไปสิ้นกาลนาน เพราะความที่แห่ง
กรรมอันทารุณยิ่ง เป็นกรรมอันท่านกระทำแล้ว อนึ่ง ท่านจะต้อง
ทนทุกข์ทรมานไปสิ้นกาลนาน เพราะวิบากแห่งกรรมนั้นใคร ๆ ไม่
สามารถจะบอกให้รู้ได้ด้วยการนับเป็นปี และเพราะท่านจักต้องทนคือ
จักต้องถึงวิบากทุกข์อันใหญ่ยิ่งซึ่งหาประมาณมิได้ เพราะเหตุนั้น เราจึง
ไม่สามารถที่จะบอกแก่ท่านได้ว่าเท่านี้พันปี เท่านี้แสนปี ดังนี้.

บทว่า สิรสฺมิมาวิทธํ ความว่า ก็จักรกรดนี้ใดพัดผัน คือ
หมุนไปอยู่บนศีรษะของท่านดุจจักรของนายช่างหม้อฉะนั้น. บทว่า
น ตฺวํ ชีวํ ปโมกฺขสิ ความว่า ตราบใดที่วิบากกรรมของท่านยัง
ไม่สิ้นไปตราบนั้นเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ จักพ้นจักรกรดนั้นไปไม่ได้
แต่เมื่อวิบากกรรมสิ้นไปแล้ว ท่านก็จักละจักรกรดนี้ไปตามยถากรรม.
ครั้นเทวบุตรกล่าวคาถานี้แล้ว ก็ได้ไปเทพวิมานของตน ส่วน
มิตตวินทุกะ ก็ได้ดำเนินไปสู่ทุกข์ใหญ่.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก มิตตวินทุกะในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุว่ายากรูปนี้ในบัดนี้ ส่วน
เทวราชในครั้งนั้น คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาจตุทวารชาดกที่ 1

2. กัณหชาดก



ว่าด้วยขอพร



[1329] บุรุษนี้ดำจริงหนอ บริโภคโภชนะก็ดำ
อยู่ในภูมิประเทศก็ดำ เราไม่ชอบใจเลย.
[1330] คนประกอบด้วยตบะไม่ชื่อว่าคนดำเพราะ
คนที่มีแก่นในภายใน ชื่อว่าเป็นพราหมณ์ บาป
กรรมมีอยู่ในคนใด คนนั้นแหละข้อว่าเป็นคน
ดำ นะท้าวสุชัมบดี.
[1331] ข้าแต่พราหมณ์ คำนั้นท่านกล่าวดีแล้ว
เป็นสุภาษิตอันสมควร ข้าพเจ้าจะให้พรท่าน
ตามแต่ใจท่านปรารถนาเถิด.
[1332] ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าภูตทั้งปวง
ถ้าจะโปรดประทานพรแก่ข้าพระองค์ ข้าพระ
องค์ปรารถนาให้ความประพฤติของตน อย่าให้
มีความโกรธ อย่าให้มีโทสะ อย่าให้มีความ