เมนู

8. จักกวากชาดก



ว่าด้วยความเป็นอยู่ของนกจักรพราก



[1274] ข้าพเจ้าขอพูดกับนกทั้งสอง ที่เหมือน
ดังคลุมด้วยผ้าย้อมน้ำฝาด มีใจเพลิดเพลิน
เที่ยวไปอยู่ นกทั้งหลายย่อมสรรเสริญชาติ
ของนกอะไรในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย ขอเชิญ
ท่านทั้งสองบอกนกนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด.
[1275] ดูก่อนท่านผู้เบียดเบียนมนุษย์ ในหมู่
มนุษย์ นกทั้งหลายย่อมกล่าวถึงข้าพเจ้าทั้ง-
หลาย ซึ่งชื่อว่านกจักรพราก เนื่องโดยลำดับ
มาว่า บรรดานี้ทั้งหลาย เขารู้กันทั่วไปว่า
พวกข้าพเจ้าเป็นผู้มีภาวะน่านับถือ เป็นผู้มีรูป
งาม เที่ยวไปใกล้ห้วงน้ำ พวกข้าพเจ้าไม่ทำ
บาป แม้เพราะการกันเป็นเหตุ.
[1276] ดูก่อนนกจักรพราก ท่านทั้งหลายกิน
ผลไม้อะไร ที่ห้วงน้ำนี้ หรือว่าท่านทั้งหลาย

กินเนื้อแก่ที่ไหน หรือว่าท่านทั้งหลายกิน
โภชนาหารอะไร กำลังและสีของท่านทั้งหลาย
จึงไม่เสื่อมทรามผิดรูป.
[1277] ดูก่อน ผลไม่ทั้งหลายจะมีที่ห้วงน้ำ
ก็หามิได้ เนื้อที่นกจักรพรากจะกินก็มิได้มี
แต่ที่ไหน ข้าพเจ้าทั้งหลายกินแต่สาหร่าย
กับน้ำ จะได้ทำบาปเพราะการกินก็หามิได้.
[1278] ดูก่อนนกจักรพราก อาหารของท่านนี้
เราไม่ชอบ อาหารที่ท่านกินในภพนี้อย่างไร
ท่านก็เป็นผู้ละม้ายคล้ายกันกับอาหารนั้น ครั้ง
ก่อนเราเคยเป็นอย่างนี้มาแล้ว แต่เดี๋ยวนี้
กลายเป็นอย่างอันไปด้วยเหตุนี้แหละ เราจึง
เกิดความสงสัยในสีกายของท่าน.
[1279] แม้เราได้กินเนื้อ ผลไม้ และอาหารที่
เคล้าด้วยเกลือเจือด้วยน้ำมัน เราได้กินอาหาร
มีรสที่เขากินกันในหมู่มนุษย์ จึงได้กล้าหาญ
เข้าต่อสู้สงครามได้ ดูก่อนนกจักรพราก แต่สี
ของเราหาเหมือนกับของท่านไม่.

[1280] ดูก่อนกา ท่านเป็นผู้กินอาหารไม่บริสุทธิ์
มักจะโฉบลงในขณะที่เขาพลั้งเผลอ จะได้กิน
ข้าวและน้ำก็โดยยาก ลูกไม้ทั้งหลายท่านก็ไม่
ชอบใจกิน หรือเนื้อในกลางป่าช้า ท่านก็ไม่
ชอบใจกิน.
[1281] ดูก่อนกา ผู้ใดอาศัยบริโภคโภคสมบัติ
ด้วยกรรมอันสาหัส มักจะโฉบลงในขณะที่เขา
พลั้งเผลอ ภายหลังสภาวธรรมตนเอง ก็ย่อม
ติเตียนผู้นั้น ผู้นั้นถูกสภาวธรรมตนเองติเตียน
แล้ว ก็ย่อมละทิ้งวรรณะ และกำลังเสีย.
[1282] ถ้าผู้ใดบริโภคอาหาร แม้จะนิดหน่อย
ซึ่งเป็นของเย็นไม่เบียดเบียนผู้อื่นถึงสาหัส ใน
กาลนั้นกำลังกายและวรรณะ ย่อมมีแก่ผู้นั้น
วรรณะทั้งปวงจะมีแก่ผู้นั้น ด้วยอาหารต่าง ๆ
เท่านั้นก็หาไม่.

จบ จักกวากชาดกที่ 8

อรรถกถาจักกวากชาดกที่ 8



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุเหลาะแหละรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า กาสายวตฺเถ
ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุรูปนั้นเป็นผู้เหลาะแหละโลภปัจจัย ทิ้งอาจริย-
วัตรและอุปัชฌายวัตรเป็นต้นเสีย เข้าพระนครสาวัตถีแต่เช้าทีเดียว แม้
ดื่มข้าวยาคูที่มีของเคี้ยวหลายอย่างเป็นบริวารแล้วฉันข้าวสาลี เนื้อและ
ข้าวสุกที่มีรสเลิศต่างๆ ที่เรือนนางวิสาขา เท่านั้นก็ยังไม่อิ่ม ออกจาก
ที่นั้นมุ่งหน้าไปยังนิเวศน์ของตนนั้น ๆ คือ จูลอนาถปิณฑิกเศรษฐี มหา-
อนาถปิณฑิกเศรษฐี และพระเจ้าโกศล.
อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภา ปรารภ
ความเหลาะแหละของภิกษุนั้น พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันถึงเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุเหล่า
นั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว รับสั่งให้เรียกภิกษุนั้นมาแล้วตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอเป็นผู้เหลาะแหละจริงหรือ ? เมื่อภิกษุนั้น
กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ดังนี้ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เหตุไรเธอจึง
เป็นผู้เหลาะแหละ แม้ในกาลก่อน เธอก็ไม่อิ่มด้วยซากศพช้างเป็นต้น
ในพระนครพาราณสี เพราะความเป็นผู้เหลาะแหละ ออกจากที่นั้นแล้ว