เมนู

อรรถกถาชาดก


นวกนิบาต



อรรถกถาคิชฌชาดกที่ 1



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุว่ายากรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ปริสงฺกุปโถ นาม
ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุว่ายากรูปนั้นเป็นลูกผู้ดีคนหนึ่ง แม้บวชใน
ศาสนาที่จะนำออกจากทุกข์ เมื่ออาจารย์อุปัชฌาย์และเพื่อนพรหมจารีผู้
หวังดี กล่าวสอนว่า เธอพึงก้าวไปอย่างนี้ พึงถอยกลับอย่างนี้ มอง
ไปข้างหน้าอย่างนี้ เหลียวซ้ายแลขวาอย่างนี้ คู้เข่าอย่างนี้ เหยียดออก
อย่างนี้ นุ่งอย่างนี้ ห่มอย่างนี้ ถือบาตรอย่างนี้ พึงรับภัตแต่พอยัง
อัตภาพให้เป็นไป พิจารณาก่อนแล้วจึงฉัน พึงคุ้มครองทวารในอินทรีย์
ทั้งหลาย รู้จักประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียรเนือง ๆ พึงรู้
ธรรมเนียมต้อนรับอาคันตุกะ พึงรู้ธรรมเนียมของผู้เดินทาง พึงประพฤติ
ด้วยดีในขันธกวัตร 14 และมหาวัตร 80 พึงสมาทานธุดงคคุณ 13
ดังนี้ เป็นผู้ว่ายากไม่อดทนต่อโอวาท ไม่ยินดีรับคำสอน กล่าวตอบว่า
กระผมไม่ได้ว่าพวกท่าน เหตุไรพวกท่านจึงว่ากระผม กระผมเท่านั้น

จักทำสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์สำหรับตน แล้วได้ทำตัว
ให้ใคร ๆ ว่ากล่าวไม่ได้.
ได้ยินว่า พวกภิกษุรู้ว่าภิกษุรูปนั้นเป็นผู้ว่ายาก จึงได้ประชุม
กันกล่าวโทษในธรรมสภา พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอประชุมสนทนากันถึงเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่า
นั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว รับสั่งให้เรียกภิกษุนั้นมาแล้วตรัสถามว่า
ได้ยินว่าเธอเป็นผู้ว่ายากจริงหรือ ? เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่าจริง จึง
ตรัสว่า เธอบวชในศาสนาที่จะนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้ เหตุไรจึงไม่
เชื่อคำของผู้ที่หวังดี แม้ในกาลก่อน เธอก็ไม่เชื่อคำ ต้องแหลกละเอียด
ในช่องลมเวรัมพวาตมาแล้วดังนี้ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นนกแร้งที่เขาคิชฌ-
กูฏ นกแร้งนั้นมีบุตรเป็นพญาแร้งชื่อสุปัต ซึ่งมีกำลังมาก มีนก-
แร้งหลายพันเป็นบริวาร พญาแร้งนั้นเลี้ยงดูมารดาบิดา แต่เพราะ
ความที่ตนมีกำลังมาก จึงบินไปไกลเกินควร บิดาได้กล่าวสอนพญา
แร้งนั้นว่า ลูกรัก เจ้าไม่ควรไปเกินที่ประมาณเท่านี้ พญาแร้งนั้น
แม้รับคำว่า ดีแล้ว ก็จริง แต่วันหนึ่งเมื่อฝนตกใหม่ ๆ ได้บินไปกับ
นกแร้งทั้งหลาย ทิ้งนกแร้งทั้งหลายเสีย ตนเองบินสูงเกินภูมิของนก
ถึงช่องลมเวรัมพวาต ได้ถึงความเป็นผู้แหลกละเอียด.

พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น พระองค์เป็นผู้
ตรัสรู้แล้ว ได้ตรัสพระคาถาทั้งหลายเหล่านี้ว่า :-
ทางบนยอดเขาคิชฌกูฏ มีชื่อว่าปริสัง-
กุปถะมาแต่ดึกดำบรรพ์ นกแร้งเลี้ยงดูมารดา
บิดาผู้ชราอยู่ที่ทางนั้น.
โดยมากไปเที่ยวหามันข้นงูเหลือมมาให้
มารดาบิดาเหล่านั้นกิน ฝ่ายบิดารู้ว่านกแร้ง
สุปัตมีปีกแข็งแล้ว มีกำลังมาก มักร่อนขึ้น
ไปสูง เที่ยวไปไกล ๆ จึงได้กล่าวสอนลูกว่า.
แน่ะพ่อ เมื่อใดเจ้าเห็นแผ่นดินมีทะเล
ล้อมรอบ ลมประหนึ่งว่ากงจักร ลอยลิบ ๆ
อยู่ดุจใบบัวลอยอยู่ในน้ำ เจ้าจงรีบกลับเสีย
จากที่นั้น อย่าบินต่อจากนั้นไปอีกเลย.
นกแร้งสุปัตเป็นสัตว์ มีร่างกายสมบูรณ์
มีกำลังมาก มีปีกแข็ง บินขึ้นไปถึงอากาศ
เบื้องบนโดยกำลังเร็ว เมื่อเหลียวกลับมาแลดู
ภูเขาและป่าไม้ทั้งหลาย.

ก็ได้เห็นแผ่นดินมีทะเลล้อมรอบ กลม
ดุจกงจักรเหมือนคำของบิดาบอกไว้.
นกแร้งสุปัตก็บินล่วงเลยที่นั้น ไปเบื้อง
หน้าอีก ยอดลมแรงแข็งกล้า ได้ประหารนก
แร้งสุปัต ผู้มีกำลังมากนั้นให้แหลกละเอียด.
นกแร้งสุปัตบินเกินไป ไม่สมามารถจะ
กลับจากที่นั้นได้อีก ตกอยู่ในอำนาจลมเวรัม-
พวาต ถึงความพินาศแล้ว.
เมื่อนกแร้งสุปัตไม่ทำตามโอวาท ของ
บิดา บุตรกรรยาและนกแร้งอัน ๆ ที่อาศัยเลี้ยง
ชีพด้วย ก็พากันถึงความพินาศไปด้วยกันหมด.
แม้ในศาสนานี้ก็เหมือนกัน ผู้ใดไม่
เชื่อถ้อยฟังคำของผู้ใหญ่ ผู้นั้นเป็นผู้ชื่อว่าล่วง
ศาสนา ดังนกแร้งไปล่วงเขตแดน ต้องเดือด-
ร้อนฉะนั้น ผู้ไม่ทำตามคำสอนของผู้ใหญ่
ย่อมถึงความพินาศทั้งหมด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริสงฺกุปโก คือมีชื่อว่า สังกุปถะ
มนุษย์ไปหาเงินทองต้องตอกหลักผูกเชือกขึ้นไปบนถิ่นนั้น เพราะเหตุ
นั้น ทางเดินเท้าบนคิชฌบรรพตนั้น ท่านจึงเรียกว่า สังกุปถะ.
ทางใหญ่บนยอดเขาคิชฌกูฏ ชื่อว่า คิชฺฌปโถ บทว่า สนนฺ-
ตโน
แปลว่า มีมาแต่ดึกดำบรรพ์. บทว่า ตตฺราสิ ความว่า ใกล้
ทางเดินเท้าชื่อสังกุปถะ บนยอดเขาคิชฌกูฏนั้น ได้มีนกแร้งตัวหนึ่ง
อาศัยอยู่ นกแร้งตัวนั้นเลี้ยงดูมารดาบิดาผู้ชราแล้ว. สองบทว่า อชครํ
เมทํ
เท่ากับ อชครเมทํ แปลว่า มันข้นงูเหลือม. บทว่า อจฺจาหาสิ
คือนำมาแล้วมากมาย. บทว่า พหุตฺตโต เท่ากับ พหุตฺตโส แปลว่า
โดยมาก. บทว่า ชานํ อุจฺจํ ปปาตินํ ความว่า บิดาได้สดับว่า
บุตรของท่านโลดแล่นขึ้นสู่ที่สูงเกินไป จึงรู้ว่านกแร้งสุปัตนี้มักร่อนขึ้น
ที่สูง. บทว่า เตชสึ ได้แก่ ถึงพร้อมด้วยเดชของบุรุษ. บทว่า ทูรคามินํ
คือ ไปไกลด้วยเดชนั่นเอง. บทว่า ปริปฺลวตฺตํ คือ ลอยลิบ ๆ อยู่ดุจ
ใบบัวลอยอยู่ในน้ำ. บทว่า วิชานหิ เท่ากับ วิชานาสิ แปลว่า รู้.
บทว่า จกฺกํว ปริมณฺฑลํ ความว่า บิดากล่าวสอนอย่างนี้ว่า เมื่อใด
ชมพูทวีปอันล้อมรอบด้วยทะเล ปรากฏแก่เจ้าผู้ดำรงอยู่ในถิ่นนั้น ประ
หนึ่งว่ากงจักร เจ้าจงรีบกลับเสียจากที่นั้น. บทว่า อุทฺธํ ปตฺโตสิ
ความว่า นกแร้งสุปัตไม่กระทำตามโอวาทของบิดา วันหนึ่งได้บินไป
กับนกแร้งทั้งหลายทั้งนกแร้งเหล่านั้นเสีย ได้บินขึ้นไปถึงที่ที่บิดาบอก

แล้ว. บทว่า โอโลกยนฺโต คือ มือถึงทรงนั้นแล้วมองดูข้างล่าง.
บทว่า วงฺกงฺโค เท่ากับ วงฺกคีโว แปลว่า เอี้ยวคอลงมา. บทว่า
ยถสฺสาสิ ปิตุสฺสุตํ ความว่า ได้แลเห็นเหมือนกับคำที่ตนได้ฟังมาจาก
สำนักของนกแร้งผู้บิดาฉะนั้น บาลีว่า ยถาสฺสาสิ ดังนี้ก็มี. บทว่า
ปรเมว ปวตฺตถ ความว่า บินล่วงเลยจากที่ที่บิดาบอกแล้วขึ้นไปเบื้อง
หน้าอีก. บทว่า ตญฺจ วาตสิขา ติกฺขา ความว่า ยอดลมเวรัมพ-
วาตอันแรงแข็งกล้าได้ประหาร คือได้ขจัดนกแร้งสุปัตผู้ไม่กระทำตาม
โอวาท ผู้แม้จะเป็นสัตว์ที่มีกำลังมากนั้นแล้ว ได้แก่ ได้กระทำให้แหลก
ละเอียดแล้ว. บทว่า นาสกฺขาติคโต ตัดบทเป็น นาสกฺขิ อติคโต
แปลว่า ไม่สามารถจะกลับจากที่นั้นได้.
สัตว์ชื่อว่า โปโส. บทว่า อโนวาทกเร ความว่า เมื่อนกแร้ง
สุปัตนั้นไม่ทำตามโอวาทของบัณฑิตทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้นแม้ทั้งหมด
ก็พากันประสบทุกข์อันใหญ่หลวง. บทว่า อกตฺวา วุฑฺฒสาสนํ ผู้
ไม่ทำตามคำสอนของผู้ใหญ่ผู้หวังประโยชน์ ย่อมถึงความพินาศ คือ
ทุกข์ใหญ่ อย่างนั้นเหมือนกัน.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ฉะนั้น เธอจงอย่าเป็นเหมือน
นกแร้ง จงเชื่อถ้อยคำของผู้ที่หวังดี ภิกษุนั้นเมื่อพระศาสดาตรัสสอน
อย่างนี้แล้ว ได้เป็นผู้ว่าง่ายตั้งแต่นั้นมา.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม-
ชาดกว่า นกแร้งว่ายากในกาลนั้น ได้มาเป็นภิกษุว่ายากในบัดนี้ ส่วน
นกแร้งผู้เป็นบิดาในกาลนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาคิชฌชาดกที่ 1

2. โกสัมพิยชาดก



ว่าด้วยอยู่คนเดียวดีกว่าร่วมกับคนพาล



[1216] คนพาลมีเรื่องอื้ออึงเหมือนกันหมด แต่
สักคนหนึ่งก็ไม่รู้สึกคนว่าเป็นคนพาล เมื่อ
สงฆ์แตกกันก็ไม่รู้เหตุอื่นโดยยิ่งว่า สงฆ์แตก
กันเพราะเรา.
[1217] เพราะเป็นคนมีสติหลงลืม แต่ยังพูดว่า
ตนเป็นบัณฑิตมีวาจาเป็นอารมณ์ช่างพูด ย่อม
ปรารถนาจะให้เสียงออกจากปากอยู่เพียงใด ก็
พูดไปเพียงนั้น เขาถูกการทะเลาะนำไปแล้ว
ยังไม่รู้ว่าการทะเลาะนั้นเป็นโทษ.
[1218] ก็ชนเหล่าใดเข้าไปผูกความโกรธนั้นไว้
ว่า คนโน้นได้ด่าเรา คนโน้นได้ตีเรา คนโน้น
ได้ชนะเรา คนโน้นได้ลักของของเรา เวรของ
ชนเหล่านั้น ย่อมไม่ระงับได้.
[1219] ส่วนชนเหล่าใดไม่เข้าไปผูกความโกรธ
นั้นไว้ว่า คนโน้นได้ด่าเรา คนโน้นได้ตีเรา