เมนู

4. คิชฌชาดก



ว่าด้วยเมื่อถึงคราวพินาศความคิดย่อมวิบัติ



[990] ท่านเหล่านั้น พ่อแม่ของเราแก่เฒ่าแล้ว
อาศัยอยู่ที่ซอกเขาจักทำอย่างไรหนอ เราก็ติด
บ่วง ตกอยู่ในอำนาจของนายพรานนิลิยะ.
[991] แร้ง เจ้าโอดครวญทำไม การโอด
ครวญของเจ้าจะมีประโยชน์อะไรเล่า ข้าไม่
เคยได้ยินหรือไม่เคยเห็นนกพูดภาษาคนได้
เลย.
[992] เราเลี้ยงพ่อแม่ผู้แก่เฒ่า แล้วอาศัยอยู่ที่
ซอกเขา ท่านจักทำอย่างไรหนอ เมื่อเราตก
อยู่ในอำนาจของท่านแล้ว.
[993] ชาวโลกพูดกันว่า แร้งมองเห็นซากศพ
ไกลถึงร้อยโยชน์ เหตุไฉนเจ้าแม้เข้าไปใกล้
ข่ายและบ่วงแล้ว จึงไม่รู้จัก.
[994] เมื่อใดความเสื่อมจะมี และสัตว์จะมี
ความสิ้นชีวิต เมื่อนั้นเขาแม้จะเข้าไปใกล้
ตาข่ายและบ่วง แล้วก็ไม่รู้จัก.

[995] เจ้าจงไปเลี้ยงพ่อแม่ผู้แก่เฒ่า ที่อาศัยอยู่
ที่ซอกเขาเถิด ข้าอนุญาตเจ้าแล้ว เจ้าจะไป
พบญาติทั้งหลาย โดยสวัสดี.
[996] ดูก่อนนายพราน เจ้าก็จงบรรเทิงใจพร้อม
ด้วยญาติทั้งมวลเหมือนกันเถิด เราก็จักเลี้ยง
พ่อแม่ผู้แก่เฒ่า แล้วอาศัยอยู่ที่ซอกเขา.

จบ คิชฌชาดกที่ 4

อรรถกถาคิชฌชาดกที่ 4



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้เลี้ยงมารดา จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า เต กถํ นุ กริสฺสนฺติ
ดังนี้. เรื่องจักมีชัดแจ้งในสามชาดก.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในกำเนิดแร้ง เติบโตแล้วให้พ่อแม่ผู้แก่เฒ่า
ตาเสื่อมคุณภาพแล้ว สถิตอยู่ที่ถ้ำเขาคิชฌกูฏ นำเนื้อโคเป็นต้นมาเลี้ยง.
เวลานั้นในเมืองพาราณสี นายพรานคนหนึ่งดักบ่วงแร้งโดยไม่กำหนด
เวลาไปดูไว้ที่ป่าช้า อยู่มาวันหนึ่งพระโพธิสัตว์ เมื่อแสวงหาเนื้อโค
ได้เข้าไปป่าช้า เขาติดบ่วงไม่ได้คิดถึงตน ระลึกถึงแต่พ่อแม่ผู้แก่เฒ่าแล้ว
บ่นไปว่า พ่อแม่ของเราจักอยู่ไปได้อย่างไรหนอ ? ไม่รู้ว่าเราติดบ่วงเลย