เมนู

9. พาเวรุชาดก


ว่าด้วยพวกเดียรถีย์เสื่อมลาภสักการะ


[654] เพราะยังไม่เห็นนกยูงซึ่งมีหงอน มี
เสียงไพเราะ ชนทั้งหลายในพาเวรุรัฐ จึง
พากันบูชากา ด้วยเนื้อและผลไม้.
[655] แต่เมื่อใด นกยูงผู้สมบูรณ์ไปด้วยเสียง
มายังพาเวรุรัฐ เมื่อนั้น ลาภและสักการะ
ของกาก็เสื่อมไป.
[656] พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชา ส่อง
แสงสว่าง ยังไม่เสด็จอุบัติขึ้นเพียงใด ชน
ทั้งหลาย ก็พากันบูชาสมณพราหมณ์เหล่าอื่น
อยู่เป็นอันมากเพียงนั้น.
[657] แต่เมื่อใด พระพุทธเจ้าผู้มีพระสุรเสียง
อันไพเราะ ได้ทรงแสดงธรรมแล้ว เมื่อนั้น
ลาภและสักการะของพวกเดียรถีย์ก็เสื่อมไป.
จบ พาเวรุชาดกที่ 9

อรรถกถาพาเวรุรัฐชาดกที่ 9


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
เถียรถีย์ทั้งหลายผู้เสื่อมลาภสักการะ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี
คำเริ่มต้นว่า อทสฺสเนน โมรสฺส ดังนี้.
ได้ยินว่า พวกเดียรถีย์ทั้งหลาย เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จ
อุบัติ ได้เป็นผู้มีลาภ แต่เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว เป็นผู้
เสื่อมลาภสักการะ เป็นเสมือนหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น. ภิกษุ
ทั้งหลายปรารถเรื่องราวนั้นของเดียรถีย์เหล่านั้น จึงประชุมสนทนา
กันในโรงธรรมสภา. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบ-
ทูลว่า เรื่องนี้ พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า มิใช่บัดนี้เท่านั้นน่ะภิกษุทั้งหลาย
แม้ในกาลก่อน พวกผู้ที่ไร้คุณได้เป็นผู้ถึงความเลิศด้วยลาภและยศ
ตราบเท่าที่ผู้มีคุณยังไม่อุบัติขึ้น เมื่อผู้มีคุณทั้งหลายอุบัติขึ้นแล้ว พวก
ผู้ที่ไร้คุณก็เป็นผู้เสื่อมลาภสักการะไป แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมา
สาธก ดังต่อไปนี้ :-
อดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในกำเนิดนกยูง อาศัยความเจริญ
เติบโต ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความงดงาม ท่องเที่ยวไปในป่า. ใน
กาลนั้น พ่อค้าพวกหนึ่งพากาสำหรับบอกทิศไปยังพาเวรุรัฐโดยทาง