เมนู

8. อนนุโสจิยชาดก


ทุกคนจะต้องตายควรเมตตากัน


[610] นางสัมมิลลหาสินีผู้เจริญ ได้ไปอยู่ใน
ระหว่างพวกสัตว์ที่ตายไปแล้วเป็นจำนวนมาก
เมื่อนางไปอยู่กับสัตว์เหล่านั้น จักชื่อว่าได้
เป็นอะไรกับเรา เพราะฉะนั้นเราจึงมิได้เศร้า
โศกถึงนางสัมมิลลหาสินีที่รักนี้.
[611] ถ้าบุคุคลจะพึงเศร้าโศก ถึงความตาย
อันจะไม่เกิดมีแก่สัตว์ ผู้เศร้าโศกนั้น ก็ควร
จะเศร้าโศกถึงตนซึ่งจะต้องตกไปสู่อำนาจ
ของมัจจุราชทุกเมื่อ.
[612] อายุสังขารหาได้เป็นไปตามเฉพาะสัตว์
ที่ยืน นั่ง นอน หรือเดินอยู่เท่านั้นก็หาไม่
วัยย่อมเสื่อมไปทุกขณะที่ยังหลับตาและลืม
ตาอยู่.
[613] เมื่อวัยเสื่อมไปอย่างนั้นหนอ ในตน
ซึ่งเป็นทางอันตรายนั้นหนอ ต้องมีความ
พลัดพรากจากกันโดยไม่ต้องสงสัยหมู่สัตว์

ที่ยังเหลืออยู่ ควรมีเมตตาเอ็นดูกัน ส่วนที่
ตายไปแล้ว ไม่ควรจะต้องเศร้าโศกถึง.
จบ อนนุโสจิยชาดกที่ 8

อรรถกถาอนนุโสจิยชาดกที่ 8


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
กุฎุมพีคนหนึ่งผู้มีภรรยาตาย จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า พหูนํ วิชฺชติ โภติ ดังนี้
ได้ยินว่า กฎุมพีนั้น เมื่อภรรยาตายแล้วไม่อาบน้ำ ไม่รับ
ประทานข้าว ไม่ประกอบการงาน. ถูกความโศกครอบงำ ไปป่าช้า
เที่ยวปริเทวนาการอยู่อย่างเดียว. แต่อุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรค
โพลงอยู่ในภายในของกุฎุมพีนั้น เหมือนประทีปโพลงอยู่ในหม้อ
ฉะนั้น. ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูโลก ได้ทอดพระเนตร
เห็นกุฎุมพีนั้น ทรงพระดำริว่าเว้นเราเสีย ใคร ๆ. อื่นผู้จะนำความโศก
ออกแล้วให้โสดาปัตติมรรค แก่กุฏุมพีนี้ ย่อมไม่มี เราจักเป็นที่พึง
อาศัยของกุฎุมพีนั้น จึงเสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต ทรงพา
ปัจฉาสมณะไปยังประตูเรือนของกุฎุมพีนั้น กุฎุมพีได้สดับการเสด็จ
มา ทรงมีสักการะมีการลุกรับเป็นต้นอันกุฎุมพีกระทำแล้ว ประทับนั่ง
บนอาสนะที่เขาปูลาด แล้วตรัสถามกุฎุมพีผู้มานั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง
ว่า อุบาสก ท่านคิดอะไรหรือ ? เมื่อกุฎุมพีนั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า