เมนู

7. มตโรทนชาดก


ว่าด้วยร้องไห้ถึงคนตาย


[566] ท่านทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงแต่คนที่
ตายแล้ว ๆ ทำไมจึงไม่ร้องไห้ถึงคนที่จักตาย
บ้างเล่า สัตว์ทุกจำพวกผู้ดำรงสรีระไว้ ย่อม
ละทิ้งชีวิตไปโดยลำดับ.
[567] เทวดา มนุษย์ สัตว์จตุบาท หมู่ปักษี
ชาติ และพวกงู ไม่มีอิสระในสรีระร่างกายนี้
ถึงจะอภิรมย์อยู่ในร่างกาย นั้นก็ต้อง
ละทิ้งชีวิตไปทั้งนั้น
[568] สุขและทุกข์ที่เพ่งเล็งกันอยู่ในหมู่มนุษย์
เป็นของแปรผัน ไม่มั่นคงอยู่อย่างนี้ ความ
คร่ำครวญ ความร่ำไห้ ไม่เป็นประโยชน์เลย
เพราะเหตุไร กองโศกจึงท่วมทับท่านได้.
[569] พวกนักเลงและพวกคอเหล้า ผู้ไม่ทำ
ความเจริญ เป็นพาลห้าวหาญ ไม่มีความขยัน
หมั่นเพียร ไม่ฉลาดในธรรม ย่อมสำคัญ
บัณฑิตว่าเป็นพาลไป.

จบ มตโรทนชาดกที่ 7

อรรถกถามตโรทนชาดกที่ 7


พระศาสดาเมื่อประโยคทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
กฏุมพีในนครสาวัตถีคนหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า มตมตเมว โรทถ ดังนี้.
ได้ยินว่า พี่ชายของกฎุมพีนั้น ได้ทำกาลกิริยาตายไป เขาถูก
ความโศกครอบงำ เพราะกาลกิริยาของกฎุมพีนั้น ไม่อาบน้ำ ไม่
บริโภคอาหาร ไม่ลูบไล้ ไปป่าช้าแต่เช้าตรู่ ถึงความเศร้าโศกร้องไห้
อยู่. พระศาสดาทรงตรวจดูโลกในเวลาปัจจุสมัย ทรงเห็นอุปนิสัย
แห่งโสดาปัตติผลของพี่ชายแห่งกฎุมพีนั้น จึงทรงพระดำริว่า เราควร
นำอดีตเหตุมาระงับความเศร้าโศก แล้วให้โสดาปัตติผลแก่พี่ชาย
กฎุมพีนี้ เว้นเราเสียใคร ๆ อื่นผู้สามารถ ย่อมไม่มี เราเป็นที่พึ่งอาศัย
ของพี่ชายแห่งกฏุมพีนี้ จึงจะควร. ในวันรุ่งขึ้นเสด็จกลับจากบิณบาต
ภายหลังภัตแล้ว ทรงพาปัจฉาสมณะไปยังประตูเรือนของพี่ชายกฎุมพี
นั้น ผู้อันกฎุมพีพี่ชายได้ฟังว่า พระศาสดาเสด็จมา จึงกล่าวว่า ท่าน
ทั้งหลายจงปูลาดอาสนะแล้วนิมนต์ให้เสด็จเข้ามา พระองค์จึงเสด็จไป
แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้. ฝ่ายกฎุมพีก็มาถวายบังคม
พระศาสดาแล้วนั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระศาสดาจึง
ตรัสกะกุฎุมพีนั้นว่า ดูก่อนกฎุมพี ท่านคิดเสียใจอะไรหรือ. กฎุมพี
กราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดเสียใจ
ตั้งแต่เวลาที่พี่ชายของข้าพระองค์ตายไป. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อน