เมนู

2. มหาอัสสาโรหชาดก


ว่าด้วยการทำความดีไว้ในปางก่อน


[506] ผู้ใดให้ทานในคนที่ไม่ควรให้ ไม่เพิ่ม
ให้บุคคลที่ควรให้ ผู้นั้นถึงจะได้รับความทุกข์
ในคราวมีอันตราย ก็ไม่ได้สหาย.
[507] ผู้ใดไม่ให้ทานในคนที่ไม่ควรให้ ให้
ในคนที่ควรให้ ผู้นั้นถึงได้รับความทุกข์ใน
คราวมีอันตราย ย่อมได้สหาย.
[508] การแสดงคุณวิเศษแห่งความเกี่ยวพัน
และความสนิทสนมกันฉันท์มิตร ในชน
ทั้งหลายผู้ไม่มีอารยธรรม เป็นคนมักอวด
ย่อมไร้ผล การแสดงคุณวิเศษแห่งความ
เกี่ยวพันและความสนิทสนมกันฉันท์มิตร ที่
กระทำในอารยชนทั้งหลายผู้ซื่อตรงคงที่ แม้
กระทำในอารยชนทั้งหลายผู้ซื่อตรงคงที่ แม้
เล็กน้อย ก็ย่อมมีผลมาก.
[509] ผู้ใดได้ทำความดีงามไว้แต่กาลก่อนแล้ว
ผู้นั้นชื่อว่าได้ทำกิจ ที่ทำได้แสนยากในโลก

ภายหลังเขาจะทำหรือไม่ทำก็ตาม ชื่อว่าเป็น
บุคคลผู้ควรบูชายิ่งนัก.
จบ มหาอัสสาโรหชาดกที่ 2

อรรถกถามหาอัสสาโรหชาดกที่ 2


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ
พระอานันทเถระ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อเทยฺ-
เยสุ ททํ ทานํ
ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล. แม้ในชาดกนี้
พระศาสดาตรัสว่า แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลายก็ได้กระทำแล้วด้วย
อำนาจอุปการะเกื้อหนุนแก่ตน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้เป็นพระราชาในนครพาราณสี
ครองราชสมบัติโดยธรรม ให้ทาน รักษาศีล. พระเจ้าพาราณสีนั้น
ทรงพระดำริว่า จักทรงปราบชายแดนที่กำเริบให้สงบ จึงทรงแวดล้อม
ด้วยพลโยธาเสด็จไปปราบ ทรงพ่ายแพ้ จึงทรงขึ้นม้าเสด็จหนีไปถึง
ปัจจันตคามบ้านชายแดนแห่งหนึ่ง ชน 30 คนผู้เป็นราชเสวกอยู่
ในบ้านปัจจันตคามนั้น คนเหล่านั้นประชุมกันที่ท่ามกลางบ้านแต่
เช้าตรู่กระทำกิจการในบ้าน. ขณะนั้น พระราชาเสด็จขึ้นทรงม้าที่
ฝึกแล้ว ทั้งพระองค์ทรงประดับและตกแต่ง ด้วยเครื่องออกศึก