เมนู

4. กุณฑกกุจฉิสินธวชาดก


รู้ว่าเขาดีก็ต้องเลี้ยงให้สมดี


[361] ท่านเคยบริโภคหญ้าที่เป็นเดน เคย
บริโภครำและข้าวตังมาแล้วจนเติบโต นี่เคย
เป็นอาหารของท่านมาแล้ว เพราะเหตุไร
บัดนี้ท่านจึงไม่บริโภคเล่า.
[362] ข้าแต่ท่านมหาพราหมณ์ ในที่ใดชน
ทั้งหลายไม่รู้จักสัตว์ โดยชาติ หรือโดยวินัย
ในที่นั้นรำและข้าวดังมีเป็นอันมาก.
[363] ก็ท่านรู้จักข้าพเจ้าดีแล้วว่า ม้าตัวนี้เป็น
ม้าอุดมเช่นไร ข้าพเจ้ารู้สึกตนอยู่เพราะอาศัย
ท่านผู้รู้ จึงไม่บริโภครำของท่าน.
จบ กุณฑกกุจฉิสนธวชาดกที่ 4

อรรถกถากุณฑกกุจฉิสินธวชาดกที่ 4


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พระสารีบุตรเถระ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ภุตฺวา ติณปริฆาสํ
ดังนี้.

ได้ยินว่า สมัยหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ใน
พระนครสาวัตถี ออกพรรษาแล้วเสด็จเที่ยวจาริกแล้วเสด็จกลับมาอีก.
คนทั้งหลายคิดกันว่า จักกระทำอาคันตุกสักการะ จึงถวายมหาทาน
แก่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. พากันตั้งภิกษุผู้ประกาศ
ธรรมรูปหนึ่งไว้ในพระวิหาร. ภิกษุนั้นจัดภิกษุให้แก่ทายกเท่าจำนวน
ที่ต้องการ. ครั้งนั้น มีหญิงแก่เข็ญใจคนหนึ่ง ได้จัดแจงส่วนทาน-
วัตถุไว้เฉพาะส่วนเดียว เมื่อพระธรรมโฆษกจัดภิกษุให้แก่คนเหล่านั้น
แล้ว ในเวลาสายนางจึงไปยังสำนักของพระธรรมโฆษกแล้วกล่าวว่า
ขอท่านจงจัดภิกษุให้แก่ดิฉันรูปหนึ่งเถิด. พระธรรมโฆษกกล่าวว่า
อาตมาจักภิกษุให้ไปหมดแล้ว แต่พระสารีบุตรเถระยังอยู่ในวิหาร
ท่านจงถวายภิกษาหารแก่ท่านเถิด. หญิงชรานั้นดีใจ. ยืนอยู่ที่ซุ้ม
ประตูพระเชตวันในเวลาพระเถระมา จึงไหว้แล้วรับบาตรจากมือนำ
ไปเรือนนิมนต์ให้นั่งในบ้าน. พวกตระกูลที่มีศรัทธาเป็นอันมากได้
ข่าวว่า หญิงชราคนหนึ่งนิมนต์พระธรรมเสนาบดีให้นั่งในเรือนของ
ตน. ในบรรดาชนเหล่านั้นพระเจ้ากับเสนทิโกศลได้ทรงสดับเหตุนั้น
จึงทรงส่งภัตรและโภชนะพร้อมกับผ้าสาฏก และถุงทรัพย์หนึ่งพันไป
ให้หญิงชรา โดยตรัสสั่งว่า หญิงชราเมื่อจะอังคาสพระผู้เป็นเจ้าของ
เรา จงนุ่งห่มผ้าสาฎกนี้แล้วใช้จ่ายกหาปณะเหล่านี้อังคาสพระเถระ
เถิด. ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านจุลลอนาถบิณฑิกเศรษฐี แม้
นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็ส่งไปเหมือนตัวที่พระราชาทรงส่งไป ส่วน

ตระกูลอื่น ๆ ก็ส่งกหาปณะไปตามควรแก่กำลังของตน ๆ คนละร้อย
สองร้อยเป็นต้น. โดยวิธีอย่างนี้ หญิงชราคนนั้นได้ทรัพย์ประมาณ
หนึ่งแสนเพียงวันเดียวเท่านั้น. ฝ่ายพระเถระดื่มยาคูเฉพาะที่หญิง
ชรานั้นถวาย และฉันเฉพาะของเคี้ยว และเฉพาะภัตรที่สุกแล้วที่หญิง
ชรานั้นกระทำ แล้วกล่าวอนุโมทนา ให้หญิงชรานั้นดำรงอยู่ใน
โสดาปัตติผล แล้วได้ไปยังวิหารทีเดียว. ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนาถึง
คุณของพระเถระในโรงธรรมสภาว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระธรรม
เสนาบดีได้เป็นที่พึงช่วยปลดเปลื้องหญิงชราผู้เป็นแม่เรือนให้พ้นจาก
ความเข็ญใจ ไม่รังเกียจอาหารที่นางถวาย ฉันได้. พระศาสดาเสด็จ
มาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกันด้วย
เรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรเป็นที่พึ่งอาศัยของหญิงชราคนนี้ ใน
บัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ ทรงมิได้รังเกียจบริโภคอาหารที่นางถวายใน
บัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ได้บริโภคเหมือนกัน ดังนี้
แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในเมือง
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพาณิช ในอุตตราปถชนบท.
พ่อค้าม้า 500 คน จากอุตตราปถชนบทนำม้ามาขายยังเมืองพาราณสี.
พ่อค้าม้าอีกคนหนึ่ง นำม้า 500 ตัวเดินทางไปเมืองพาราณี. ใน
ระหว่างทางมีหมู่บ้านนิคมหนึ่งอยู่ในที่ไม่ไกลเมืองพาราณสี. เมื่อ

ก่อนได้มีเศรษฐีมีทรัพย์สมบัติมากอยู่ในหมู่บ้านนั้น นิเวศน์ของ
เขาใหญ่โต แต่ตระกูลนั้นได้ถึงความเสื่อมสลายไปโดยลำดับ. เหลือ
แต่หญิงชราผู้เดียวเท่านั้น. หญิงชราคนนั้นอาศัยอยู่ในนิเวศน์นั้น.
ครั้งนั้น พ่อค้าม้าคนนั้นไปถึงหมู่บ้านนั้นแล้วพูดกะหญิงชราว่า ฉัน
จะให้ค่าเช่าแก่ท่าน แล้วจับจองการอยู่อาศัยในนิเวศน์ของหญิงชรา
นั้น พักม้าทั้งหลายไว้ ณ ส่วนสุดด้านหนึ่ง. ในวันนั้นเองแม่ม้า
อาชาไนยตัวหนึ่งของพ่อค้านั้นตกลูกออกมา. พ่อค้านั้นพักอยู่ 2-3
วัน พอให้ม้าทั้งหลายมีกำลัง จึงกล่าวว่า ฉันจักไปเฝ้าพระราชา จึง
พาม้าทั้งหลายไป. ลำดับนั้น หญิงชราได้พูดกับพ่อค้านั้นว่า ท่าน
จงให้ค่าเช่าบ้าน เมื่อพ่อค้ากล่าวว่า ดีล่ะแม่ฉันจะให้ นางจึงกล่าวว่า
ดูก่อนพ่อ เมื่อท่านจะให้ค่าเช่าบ้านแก่ฉัน จงให้ลูกม้าตัวนี้ โดย
หักกับค่าเช่าบ้าน พ่อค้านั้นได้กระทำเหมือนอย่างนั้นแล้วก็หลีกไป.
หญิงชรานั้นเข้าไปตั้งความเป็นเสน่หาในลูกม้านั้นประหนึ่งบุตร เมื่อเป็น
อย่างนั้น ได้ให้ภัตรที่เป็นข้าวตังและหญ้าที่เป็นเดนแก่ลูกม้านั้น
ปรนนิบัติอยู่. ครั้นกาลต่อมาอีก พระโพธิสัตว์พาม้า 500 ตัวไป
จับจองการอยู่อาศัยในเรือนนั้น พอได้กลิ่นจากที่ที่ลูกม้าสินธพกินรำ
อยู่ แม้ม้าสักตัวเดียวก็ไม่อาจเข้าไปยังลานของเรือนนั้น. พระโพธิ-
สัตว์จึงถามหญิงชรานั้นว่า ดูก่อนแม่ ในเรือนี้มีม้าบ้างไหม ? หญิง
ชรากล่าวว่า ดูก่อนพ่อ ชื่อว่าม้าตัวอื่นไม่มี แต่เราปรนนิบัติลูกม้า
ตัวหนึ่งเหมือนอย่างลูก ลูกม้าตัวนั้นมีอยู่ในเรือนนี้.

พ่อค้ากล่าวว่า ดูก่อนแม่ ลูกม้าตัวนั้นอยู่ที่ไหน. หญิงชรา
ตอบว่า ไปเที่ยวหากินจ้ะพ่อ. พ่อค้าว่า เวลาใดจักมาล่ะแม่. หญิงชรา
ตอบว่า ต่อเวลาจวนค่ำนั่นแหละ จึงจะมานะพ่อ. พระโพธิสัตว์เมื่อ
จะคอยการมาของลูกม้าสินธพนั้น จึงพักม้าทั้งหลายไว้ภายนอกแล้ว
นั่งอยู่. ฝ่ายลูกม้าสินธพเที่ยวหากินแล้ว ต่อเวลาจวนค่ำนั้นแล จึง
ได้กลับมา. พระโพธิสัตว์เห็นลูกม้าสินธพมีท้องเปื้อนรำ พิจารณา
ลักษณะทั้งหลายแล้วคิดว่า ม้าสินธพตัวนี้มีค่ามาก เราจะให้มูลค่า
แก่หญิงชราแล้ว ถือเอาลูกม้าสินธพจึงจะควร. ฝ่ายลูกม้าสินธพก็
เข้าเรือนยินอยู่ในที่อยู่ของตนเท่านั้น. ขณะนั้น ม้าเหล่านั้นไม่อาจ
เข้าไปยังเรือน. พระโพธิสัตว์พักอยู่ 2-3 วัน ทำม้าทั้งหลายให้อิ่ม
หน้าแล้ว เมื่อจะไปจึงกล่าวว่า แม่ท่านจงเอามูลค่าแล้วให้ลูกม้าตัวนี้
แก่ฉัน. หญิงชราว่า ท่านพูดว่าอะไรพ่อ ขึ้นชื่อว่าบุตร คนที่จะขาย
ย่อมไม่มี. พ่อค้าว่า แม่ ท่านให้ลูกม้าตัวนี้กินอะไรปรนนิบัติอยู่.
หญิงชราว่า ดูก่อนพ่อ เราให้กินรำข้าว ข้าวตังและหญ้าที่เป็นเดน
และให้ดื่มข้าวยาคูต้มด้วยรำข้าวปรนนิบัติอยู่. พ่อค้าว่า ดูก่อนแม่
ฉันได้ลูกม้าตัวนี้แล้วจักให้บริโภคโภชนะมีรสอร่อยทั้งก้อน แล้วขึง
เพดานผ้าตรงที่ที่เขายืน แล้วให้ยืนตั่งที่ลาดไว้. หญิงชราว่า ดูก่อนพ่อ
เมื่อเป็นอย่างนั้น บุตรของเราจงเสวยสุขอันเกิดจากโภคะ ท่านจงพา
เอาไปเถิด. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงวางถึงทรัพย์หกพัน โดยเป็น
มูลค่าของเท้าทั้ง 4 เท้า หางและศีรษะของลูกม้านั้น แห่งละพัน

แล้วให้หญิงชรานุ่งห่มผ้าใหม่ ตกแต่งแล้วให้ยืนอยู่ข้างหน้าลูกม้า-
สินธพ. ลูกม้าสินธพนั้นลืมตาดูมารดาหลั่งน้ำตา. ฝ่ายหญิงชราลูบ
หลังลูกม้าอาชาไนยนั้นแล้วกล่าวว่า เราได้ทำการเลี้ยงดูเหมือนดังลูก
เจ้าจงไปเถิดพ่อ. ขณะนั้น ลูกม้าสินธพนั้นได้ไปแล้ว วันรุ่งขึ้น
พระโพธิสัตว์จัดแจงโภชนะมีรส สำหรับลูกม้านั้น คิดว่า เราจัก
ทดลองลูกม้านั้นดูก่อน ลูกม้านั้นจะรู้กำลังของตนหรือไม่ จึงให้
เทข้าวยาคูที่ต้มด้วยรำลงในรางแล้วให้กิน. ลูกม้าสินธพนั้นคิดว่า
เราจักไม่กินโภชนะนี้ จึงไม่ปรารถนาจะดื่มข้าวยาคูนั้น. พระโพธิสัตว์
เมื่อจะทดลองลูกม้าสินธพนั้น จึงกล่าวคาถาที่ 1 ว่า :-
ท่านกินหญ้าที่เป็นเดน กินข้าวตัง
และรำ นี้เป็นอาหารของท่าน บัดนี้ เพราะ
เหตุไรท่านจึงไม่มีโภค.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภุตฺวา ติณปริฆาสํ ความว่า
เมื่อก่อน ท่านกินหญ้าที่เป็นเดน คือเดนหญ้าที่เหลือจากม้าทั้งหลาย
นั้น ๆ กิน ที่หญิงชราให้จนเติบโต. ในบทว่า ภุตฺวา อาจามกุณฺฑกํ
นี้ ข้าวสุกสุดท้ายที่ติดก้นหม้อ เรียกว่าข้าวตัง รำนั่นแหละ
เรียกว่ากุณฑกะ. ท่านแสดงว่า ท่านกินข้าวตังและรำนั่นจนเติบโต.
บทว่า เอตํ เต ความว่า ข้าวตังและรำนั่นเป็นโภชนะของท่านใน
กาลก่อน. บทว่า กสฺมาทานิ น ภุญฺชสิ ความว่า เพราะเหตุไร

บัดนี้ ท่านจึงไม่กินข้าวตังและรำนั้น.
ลูกม้าสินธนได้ฟังดังนั้น จึงได้กล่าวคาถา 2 คาถา นอกนี้ว่า :-
ข้าแต่ท่านมหาพราหมณ์ ในที่ใดชน
ทั้งหลายไม่รู้จักสัตว์เลี้ยง โดยชาติ หรือ
โดยวินัย ในที่นั้น รำและข้าวตังมีอยู่เป็น
อันมาก. ท่านก็รู้จักข้าพเจ้าดีแล้วว่า ม้าตัว
นี้เป็นม้าสูงส่งเพียงไร ข้าพเจ้ารู้สึกตัว เพราะ
อาศัยท่านผู้รู้ จึงไม่บริโภครำของท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยตฺถ แปลว่า ในที่ใด. บทว่า
โปสํ แปลว่า สัตว์. บทว่า ชาติยา วินเยน วา ความว่า
ชนทั้งหลายย่อมรู้อย่างนี้ว่า ม้าตัวนี้สมบูรณ์ด้วยชาติหรือไม่ หรือ
ว่าประกอบด้วยมารยาทหรือไม่. ม้าสินธพเมื่อจะเรียกจึงกล่าวการ
เรียกอย่างเคารพว่า ข้าแต่ท่านมหาพราหมณ์. บทว่า ยาทิโสยํ ตัด
เป็น ยาทิโส อยํ แปลว่า ม้านี้เป็นม้าเช่นใด. ม้าสินธพกล่าว
หมายถึงตน. บทว่า ชานนฺโต ชานมาคมฺม ความว่า ข้าพเจ้า
รู้กำลังของตน เพราะอาศัยท่านผู้รู้อยู่นั่นแหละ จึงไม่กินรำใน
สำนักของท่าน ก็ท่านให้ทรัพย์ 6 พันแล้วพาเอาข้าพเจ้ามา เพราะ
ประสงค์จะให้กินรำ ก็หามิได้.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงปลอบโยนลูกม้าสินธพนั้นว่า
เราทำดังนั้นเพื่อจะทดลองเจ้าอย่าโกรธเลย แล้วให้บริโภคโภชนะดี

พาไปพระลานหลวง กันม้า 500 ตัวไว้ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่ง แวดวง
ด้วยม่านอันวิจิตร ลาดเครื่องลาดข้างล่าง เบื้องบนดาดเพดานผ้า
ให้ลูกม้าสินธนยืนอยู่ในนั้น. พระราชาเสด็จมาทอดพระเนตรดู
ฝูงม้า ตรัสถามว่า เหตุไฉน ม้าตัวนี้จึงแยกไว้ต่างหาก ได้ทรง
สดับว่า ม้าตัวนี้เป็นม้าสินธพ ถ้าไม่แยกไว้ในฝูงม้าเหล้านี้ก็จักหลุด
หนีไป จึงตรัสถามว่า พ่อมหาจำเริญ ม้าสินธพงดงามว่องไวหรือ ?
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า งดงามว่องไวดี พระเจ้าข้า. เมื่อพระองค์
ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นเราจะดูความว่องไวของม้าสินธพตัวนี้ จึงผูกม้า
นั้นแล้วขึ้นขี่ พลางกราบทูลว่า ขอเดชะ ขอพระองค์โปรดทอด
พระเนตร แล้วให้พวกมนุษย์หลีกออกไปแล้วควบขับไปในพระลาน
หลวง พระลานหลวงทั้งหมดได้เป็นเหมือนแถวม้าติดกันไปหมด.
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ขอเดชะ ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตร
กำลังเร็วของลูกม้าสินธพพระเจ้าข้า แล้วปล่อยออกไปอีก แม้คน
สักคนหนึ่งก็แลไม่เห็นมาลูกม้าสินธพนั้น. จึงเอาแผ่นผ้าแดงผูกที่ท้อง
แล้วปล่อยออกไปอีก. พวกมหาชนเห็นแต่แผ่นผ้าแดงที่เขาผูกไว้ที่
แล้วของลูกม้าสินธพนั้นเท่านั้น. ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์จึงปล่อยม้า
สินธพนั้นบนหลังน้ำสระโบกขรณีแห่งหนึ่ง ภายในพระนคร. เมื่อ
ม้าสินธพนั้นบนหลังน้ำในสระโบกขรณีแห่งหนึ่ง ภายในพระนคร. เมื่อ
ม้าสินธพนั้นวิ่งไปบนหลังพื้นน้ำในสระโบกขรณีนั้น แม้แต่ปลายกีบ
ก็ไม่เปียก เมื่อวิ่งควบไปบนใบบัวอีกครั้งหนึ่ง แม้ใบบัวสักใบหนึ่ง
ก็มิได้จมลงในน้ำ. พระโพธิสัตว์ครั้นแสดงสมบัติแห่งความรวดเร็ว

ของลูกม้าสินธพนั้นอย่างนี้แล้ว จึงลง ปรบมือยื่นฝ่ามือเข้าไป. ม้า
กระโดดขึ้นไปยืนบนฝ่ามือ กระทำเท้าทั้งสี่ให้รวมอยู่ในที่เดียวกัน.
ลำดับนั้น มหาสัตว์กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อข้า-
พระองค์แสดงกำลังเร็วของอัศวโปดกตัวนี้โดยอาการทุกอย่าง เมื่อ
จะทรงเก็บไว้ในแว่นแคว้นอันมีสมุทรเป็นขอบเขต ก็ย่อมไม่เพียงพอ
ที่จะเก็บไว้. พระราชาทรงดีพระทัย ได้ประทานตำแหน่งอุปราช
แก่พระมหาสัตว์ ได้อภิเษกลูกม้าสินธพแล้วตั้งให้เป็นม้ามิ่งมงคล.
ลูกม้าสินธพนั้นได้เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของพระราชา. แม้สัก-
การะก็ได้มีเป็นอันมากแก่ลูกม้าสินธพนั้น. แม้ที่อยู่ของลูกม้าสินธพ
นั้น ได้เป็นดุจห้องเรือนอบที่พระราชาทรงตกแต่งประดับประดาไว้
ได้ทำการฉาบทาพื้นด้วยความหอมมีชาติ 4 ให้ห้อยพวงของหอมและ
พวงดอกไม้ เบื้องบนมีเพดานผ้าวิจิตรงดงามด้วยดาวทอง. ได้แวดวง
ม่านอันวิจิตรไว้รอบด้าน. ตามประทีปน้ำมันหอมไว้เป็นนิตย์. ให้
ตั้งกระถางทองไว้ในที่ที่ลูกม้าสินธพนั้นถ่ายอุจจาระปัสสาวะ บริโภค
โภชนะของเสวยสำหรับพระราชาเป็นนิตย์ทีเดียว. จำเดิมแต่ลูกม้า
สินธพนั้นมาอยู่ ราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้น ได้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์
ของพระราชาทั้งนั้น. พระราชาทรงดำรงอยู่ในโอวาทของพระโพธิ-
สัตว์ ทรงบำเพ็ญบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น ได้มีสวรรค์เป็นที่ไป
ในเบื้องหน้า.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประ-
กาศสัจจะประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ชนเป็นอันมากได้เป็น

พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี. หญิงชราในกาล
นั้น ได้เป็นหญิงชราคนนี้แหละ. ม้าสินธพในกาลนั้น ได้เป็น
พระสารีบุตร. พระราชาในกาลนั้น ได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้
ส่วนพ่อค้าม้า คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากุณฑกกุจฉิสินธวชาดกที่ 4

5. สุกชาดก


โทษของการไม่รู้ประมาณ


[364] ลูกนกแขกเต้าตัวนั้น รู้ประมาณในการ
บริโภคอยู่เพียงใด ก็ได้สืบอายุและได้เลี้ยง
มารดาบิดาอยู่เพียงนั้น.
[365] อนึ่ง ในกาลใด ลูกนกแขกเต้านั้น
กลืนกินโภชนะมากเกินไป ในกาลนั้น ก็ได้
ชื่อว่าไม่รู้จักประมาณในการบริโภค จึงได้
จมลงในมหาสมุทรนั้นเทียว.
[366] เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้รู้จักประมาณ
ความไม่หลงติดอยู่ในโภชนะ เป็นความดี
ด้วยว่าบุคคลไม่รู้จักประมาณ ย่อมจมลงใน
อบายทั้ง 4 บุคคลผู้รู้จักประมาณแล ย่อม
ไม่จมลงในอบาย 4.

จบ สุกชาดกที่ 5

อรรถกถาสุกชาดกที่ 5


พระศาสดาเมื่อประทับ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภ
ภิกษุรูปหนึ่งผู้มรณภาพเพราะฉันมากเกินไปจนอาหารไม่ย่อย จึงตรัส
เรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยาว โส มตฺตมญฺญาสิ ดังนี้.