เมนู

4. โลลชาดก


โทษของความโลเล


[421] นกยางตัวนี้อย่างไรจึงมีหงอน เป็นโจร
เข้ามาอยู่ที่รังกา ผู้มีเมฆเป็นบิดา ดูก่อน
นกยาง ท่านจงมาเสียข้างนี้เถิด กาผู้เป็น
สหายของเราเป็นผู้ดุร้าย.
[422] เราไม่ใช่นกยางมีหงอน เราเป็นกา
โลเล ไม่ได้ทำตามคำของท่าน ท่านกลับมา
แล้ว จงมองเราผู้ลุ่นนี้เถิด.
[423] ดูก่อนสหาย ท่านจะได้รับทุกข์อีก
เพราะว่าปกติของท่านเป็นเช่นนั้น เครื่องบริ-
โภคของมนุษย์ไม่ควรที่นกจะพึงบริโภค.

จบ โลลชาดกที่ 4

อรรถกถาโลลชาดกที่ 4


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภ
ภิกษุโลเลรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า ภายํ พลากา สิขินี
ดังนี้.
ได้ยินว่า พระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นผู้ถูกนำมายังโรงธรรม-
สภาว่า ดูก่อนภิกษุ เธอเป็นผู้โลเลในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ใน

กาลก่อน เธอก็ได้เป็นผู้โลเลมาแล้ว และได้ถึงความสิ้นชีวิตไป
เพราะความเป็นผู้โลเล แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ก็ได้เป็นผู้เสื่อม
จากที่สถานที่อยู่ของตน ก็เพราะอาศัยเธอ แล้วทรงนำเอาเรื่องใน
อดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระ -
นครพาราณสี พ่อครัวในโรงครัวของเศรษฐีในพระนครพาราณสี ตั้ง
กระเช้าสำหรับเป็นรังนกไว้ เพื่อต้องการบุญ ในกาลนั้น พระโพธิ-
สัตว์บังเกิดในกำเนิดนกพิราบ สำเร็จการอยู่ในกระเช้าที่เป็นรังนั้น.
ลำดับนั้น กาโลเลตัวหนึ่ง บินมาทางชายโรงครัว ได้เห็นปลาและ
เนื้อชนิดแปลก ๆ มีประการต่าง ๆ ถูกความหยากครอบงำ คิดอยู่ว่า
เราอาศัยใครหนอ จึงจะได้โอกาสกินปลาและเนื้อ เมื่อกำลังคิด
ก็ได้เห็นพระโพธิสัตว์ จึงตกลงใจว่า เราอาศัยนกพิราบผู้นี้ จะอาจ
ได้โอกาส จึงในเวลาพระโพธิสัตว์นั้นไปป่าหากิน ก็ติดตามไปข้าง
หลัง ๆ. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์กล่าวกะกานั้นว่า ดูก่อนกา เรามีสิ่ง
อื่นเป็นเหยื่อ ท่านก็มีอีกสิ่งหนึ่งเป็นเหยื่อ เพราะเหตุไร ? ท่านจึง
เที่ยวติดตามเรา. กากล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าชอบใจกิริยาของ
ท่าน แม้ข้าพเจ้าจะเป็นผู้มีเหยื่อไม่เหมือนกับท่าน ก็ปรารถนาจะ
อุปัฏฐากท่าน. พระโพธิสัตว์ก็ยอมรับ. กานั้นทำทีเที่ยวหากินเหยื่อ
อย่างเดียวกันในที่เที่ยวหากินร่วมกับพระโพธิสัตว์ ทำล้าหลังแล้วเจาะ
กองโคมัยแล้วเคี้ยวกินสัตว์ตัวเล็ก ๆ จนเต็มท้องแล้วเข้าไปหาพระ-

โพธิสัตว์แล้วพูดว่า ท่านเที่ยวหากินตลอดกาลประมาณเท่านี้ การรู้
ประมาณในโภชนะ. ย่อมสมควรมิใช่หรือ มาเถอะท่าน เราจะได้ไป
ในเวลายังไม่เย็นเกินไป. พระโพธิสัตว์ได้พากานั้นไปยังสถานที่อยู่.
พ่อครัวคิดว่านกพิราบของเราพาสหายมา จึงตั้งกระเช้าแกลบไว้ในที่
แห่งหนึ่งสำหรับกา. ฝ่ายกาอยู่โดยทำนองนั้นนั่นแล 4-5 วัน ครั้น
วันหนึ่ง คนทั้งหลายนำปลาและเนื้อเป็นอันมากมาให้ท่านเศรษฐี.
กาเห็นดังนั้น ถูกความโลภครอบงำ นอนทอดถอนใจตั้งแต่เวลาใกล้
รุ่ง. ครั้นในวันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์กล่าวกะกาว่า มาเถอะสหาย เราพา
กันหลีกไปหากินเถิด. กากล่าวว่า ท่านไปเถอะ ข้าพเจ้ามีโรคอาหาร
ไม่ย่อย. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ดูก่อนสหาย ธรรมดาโรคอาหารไม่
ย่อย ย่อมไม่มีแก่พวกกาเลย เพราะมาตรว่าไส้ประทีปที่กินเข้าไป
จะอยู่ในท้องของพวกท่านเพียงครู่เดียวทุก ๆ อย่าง พอสักว่ากลืนกิน
ไปเท่านั้น ย่อมย่อยไปหมด ท่านจงกระทำตามคำของเรา ท่านอย่าได้
ทำอย่างนี้ เพราะได้เห็นปลานและเนื้อ. กากล่าวว่า ข้าแต่นายท่านพูด
อะไรอย่างนั้น สำหรับข้าพเจ้ามีความสงสัยว่าอาหารไม่ย่อยจริงๆ พระ-
โพธิสัตว์ให้โอวาทกานั้นว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงอย่าเป็นผู้ประมาท แล้ว
หลีกไป. ฝ่ายพ่อครัวจัดแจงปลาและเนื้อชนิดต่าง ๆ เสร็จแล้ว เมื่อ
จะชำระล้างเหงื่อออกจากร่างกาย จึงได้ไปยืนอยู่ที่ประตูครัว. กาคิดว่า
เวลานี้เป็นเวลาควรจะเคี้ยวกินเนื้อ จึงบินไปจับอยู่เหนือจานสำหรับ
ปรุงรส. พ่อครัวได้ยินเสียงกริ๊ก จึงเหลียวมาดู แลเห็นกา จึงเข้าไป

จับมันมาถอนขนหมดทั้งตัว เหลือเป็นหงอนไว้บนหัว แล้วบดขิงกับ
พริกเป็นต้นเคล้ากับเปรียง ทาทั่วตัวกานั้น พลางกล่าวว่า เจ้าจะทำ
ปลาและเนื้อของท่านเศรษฐีของพวกเราให้เป็นเดน แล้วโยนทิ้งลงใน
กระเช้าที่ทำเป็นรัง. เวทนาแสนสาหัสเกิดขึ้น. พระโพธิสัตว์กลับมา
จากที่หากิน เห็นกานั้นทอดถอนใจอยู่ เมื่อจะทำการล้อเล่นจึงกล่าว
คาถาที่ 1 ว่า:-
นกยางตัวนี้ ไฉนจึงมีหงอน เป็นโจร
ลอบเข้ามาอยู่ในรังกา ผู้มีเมฆเป็นบิดา.
ดูก่อนนกยาง ท่านจงมาเสียข้างนี้เถิดกาผู้
สหายของเราเป็นผู้ดุร้าย.

ด้วยบทว่า กายํ พลากา สิขินี ในคาถานั้น พระโพธิสัตว์
เมื่อจะถามกานั้น จึงร้องเรียกว่า นกยางนี้ อย่างไรจึงชื่อว่ามีหงอน
เพราะกานั้นมีสีร่างกายขาวอันทาด้วยเปรียงหนา ๆ และเพราะหงอน
ตั้งอยู่บนหัวของกานั้น. ด้วยบทว่า โจรี นี้ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ชื่อ
ว่าเป็นโจร เพราะเข้าไปยังเรือนของตระกูลโดยที่ตระกูลยังไม่อนุญาต
หรือเพราะเข้าไปยังรังกาโดยความไม่พอใจของกา. บทว่า ลงฺฆีปิตา-
มหา
ความว่า เมฆชื่อว่าลังฆี เพราะโลดแล่นไปในอากาศ ก็ธรรมดา
นกยางทั้งหลาย ย่อมตั้งครรภ์เพราะเสียงเมฆ เพราะเหตุนั้น เสียง
เมฆจึงเป็นบิดาของพวกนกยาง. คือเมฆเป็นบิดาของพวกนกยาง ด้วย

เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ลงฺฆีปิตามหา มีเมฆเป็นบิดา. บทว่า
โอรํ พลาเก อาคจฺฉ ความว่า ดูก่อนนกยาง ท่านจงมาข้างนี้เถิด.
ด้วยบทว่า จณฺโฑ เม วายโส สขา นี้ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า
กาผู้สหายของเรา เป็นเจ้าของกระเข้า ดุร้าย หยาบช้า กานั้นมา
เห็นท่านเข้า จะเอาจงอยปากประหนึ่งปลายหอก จิกทำให่ถึงแก่ความ
ตาย เพราะฉะนั้น ท่านจงลงจากกระเช้าฆ่าทางนี้ คือรีบหนีไปข้างนี้
ตราบเท่าที่กานั้นยังไม่มา.
กาได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า :-
ข้าพเจ้าไม่ใช่นกยางที่มีหงอน ข้าพเจ้า
เป็นกาเหลาะแหละ ไม่เชื่อฟังคำของท่าน
ท่านกลับมาแล้วจงดูเราเป็นผู้มีขนลุ่นนี้เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาคโต ความว่า บัดนี้ท่านมา
จากที่หากินแล้ว จงมองดูเราผู้มีขนลุ่นนี้เถิด.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวคาถาที่ 3 ว่า :-
ดูก่อนสหาย ท่านจะได้รับทุกข์อีก
เพราะว่าปกติของท่านเป็นเช่นนั้น แท้จริง
เครื่องบริโภคของมนุษย์ ไม่ควรที่นกจะ
บริโภค.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุนปาปชฺชสี สมฺม ความว่า
ดูก่อนกาผู้สหาย ท่านจะได้รับทุกข์เห็นปานนี้อีก ความที่จะพ้นจาก

ทุกข์เช่นนี้ ย่อมไม่มีแก่ท่าน เพราะเหตุไร ? เพราะปกติของท่าน
เป็นเช่นนั้น คือ เป็นสิ่งที่ชั่วช้าลามก คือ เพราะปกติคือความ
ประพฤติของท่านเป็นเช่นนั้น จึงสมควรแก่การได้รับแต่ความทุกข์
เท่านั้น. บทว่า น หิ มานุสิกา ความว่า ธรรมดามนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้มีบุญมาก สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายไม่มีบุญเห็นปานนั้น เพราะ
ฉะนั้น เครื่องบริโภคของมนุษย์ อันนกผู้เป็นสัตว์ดิรัจฉานจึงไม่ควร
บริโภค.
ก็แหละพระโพธิสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงกล่าวว่า ตั้งแต่
นี้ไป เราไม่อาจอยู่ในที่นี้ ครั้นกล่าวแล้วก็ได้บินไปในที่อื่น. ส่วน
กานอนถอนใจตายอยู่ในที่นั้นเอง.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประกาศอริยสัจ 4 แล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบอริยสัจ ภิกษุ
นั้นดำรงอยู่ในอนาคามิผล. กาโลเลในคราวนั้น ได้เป็นภิกษุโลเลใน
บัดนี้ ส่วนนกพิราบ คือเราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถาโลลชวดกที่ 4

5. รุจิรชาดก


[424] นกยางตัวนี้อย่างไรจึงขาวน่ารัก มาอยู่
ในรังกาได้ และนี่เป็นรังของกาผู้ดุร้ายสหาย
ของเรา.
[425] ดูก่อนนกพิราบผู้สหาย ท่านก็รู้จักเรา
ผู้มีข้าวฟ่างเป็นอาหารมิใช่หรือ เรามิได้กระ
ทำตามคำของท่าน กลับมาแล้วจงมองดูเรา
ผู้ลุ่นนี้เถิด.
[426] ดูก่อนกาผู้สหาย ท่านจะได้รับทุกข์อีก
เพราะว่าปกติของท่านเป็นเช่นนั้น เครื่อง
บริโภคของมนุษย์ไม่ควรที่นกจะพึงบริโภค.

จบ รุจิรชาดกที่ 5

อรรถกถารุจิรชาดกที่ 5


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุโลเลรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า กายํ พลากา
สุจิรา
ดังนี้. เรื่องทั้งสองเรื่อง คือเริ่มเรื่องกับเรื่องในอดีต เป็น
เหมือนกับเรื่องแรกนั่นแหละ. แต่คาถาต่างกัน. มีคาถาติดต่อเป็น
อันเดียวกันว่า :-