เมนู

6. วาตัคคสินธพชาดก


ว่าด้วยมิตรสันถวะเกิดแต่แรกพบ


[397] คุณแม่มีโรคผอมเหลือง ไม่ชอบใจ
อาหารเพราะม้าตัวใดเป็นเหตุให้มีจิตปฏิพัทธ์
รักใคร่ม้านั้นก็มาคบหาสมาคมแล้ว เหตุไร
คุณแม่จึงให้ม้าตัวนั้นหนีไปเสียในบัดนี้เล่า.
[398] ลูกเอ๋ย ขึ้นชื่อว่ามิตรสันถวะจะเกิดขึ้น
แต่แรกพบปะทีเดียว ยศของสตรีทั้งหลาย
ย่อมเสื่อมไป เพราะฉะนั้น แม่จึงแสร้งทำ
ให้พระยาม้านั้นหนีไปเสีย.
[ 399] สตรีคนใด ไม่ปรารถนาบุรุษผู้เกิดใน
ตระกูลมียศศักดิ์ ที่มีคนชักพามาแล้ว สตรี
คนนั้นจะต้องเศร้าโศกอยู่สิ้นกาลนานเหมือน
นางม้าเศร้าโศกถึงพระยาม้าวาตัคคสินธพ
ฉะนั้น.
จบ วาตัคคสินธพชาดกที่ 6

อรรถกถาวาตัคคสินธพชาดกที่ 6


พระศาสดาเมื่อประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
กฎุมพีคนหนึ่งในพระนครสาวัตถี จึงตรัสเรื่องนี้ มีค่าเริ่มต้นว่า

เยนาสิ กีสิยา ปณฺฑุ ดังนี้.
ได้ยินว่า หญิงคนหนึ่งในเมืองสาวัตถี เห็นกฎุมพีรูปงาม
คนหนึ่ง ได้มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่. ไฟคือกิเลสเกิดขึ้นภายในของนาง
ประดุจเผาร่างกายทั้งสิ้น. นางไม่ได้รับความยินดีเพลิดเพลินทางกาย
และทางใจเลย แม้อาหารนางก็ไม่ชอบใจ นอนเกาะแม่แคร่เตียง
อย่างเดียว. ลำดับนั้น หญิงผู้รับใช้และหญิงสหาย ได้ถามนางว่า
เพราะเหตุไรหนอ เธอจึงมีจิตซัดส่ายนอนเกาะแม่แคร่เตียง เธอไม่มี
ความผาสุกอะไรหรือ ? นางอันพวกเพื่อนหญิงไม่ได้กล่าวครั้ง
เดียว สองครั้ง กล่าวบ่อย ๆ จึงได้บอกเนื้อความนั้น แก่เพื่อนหญิง
เหล่านั้น. ลำดับนั้น เพื่อนหญิงเหล่านั้นจึงปลอบโยนนางให้เบาใจ
แล้วกล่าวว่า นางผู้เจริญ เธออย่าเสียใจเลย พวกเราจักนำกฎุมพี
มาให้ แล้วไปปรึกษากับกฎุมพี. กฎุมพีนั้นปฏิเสธ เมื่อพวกหญิง
เหล่านั้นพูดจาบ่อยเข้าจึงรับคำ. หญิงเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านจงมาใน
วันโน้นเวลาโน้น ดังนี้ ให้กฎุมพีรับคำปฏิญญาแล้ว จึงไปบอกให้
หญิงนั้นทราบ. หญิงนั้นเมื่อได้ฟังข่าวจึงจัดแจงห้องนอนของตน
แต่งตัวแล้วนั่งบนที่นอน เมื่อกฎุมพีนั้นมานั่ง ณ ส่วนหนึ่งของ
ที่นอน จึงคิดว่า ถ้าเราไม่ทำให้นักแน่นต่อเขาไว้ ให้โอกาสเสีย
แต่เดี๋ยวนี้ ความเป็นใหญ่ของเราก็จักเสื่อมไป ชื่อว่าการให้โอกาส
ในวันที่เขามาถึงทีเดียว มิใช่เหตุอันควร วันนี้เราทำให้เขาเก้อ ใน
วันอื่น จึงจักให้โอกาส. ลำดับนั้น นางจูงมือเขาผู้ปรารภ จะหยอกล้อ

เล่นด้วยการจับมือเป็นต้น แล้วฉุดออกมาพร้อมกับพูดว่า หลีกไป
หลีกไป เราไม่ต้องการท่าน. กฎุมพีนั้นจึงหยุดชะงัก ละอายใจลุกขึ้น
ไปบ้านของตนเลยทีเดียว. หญิงนอกนี้รู้ว่า หญิงนั้นกระทำอย่างนั้น
เมื่อกฎุมพีออกไปแล้ว จึงเข้าไปหาหญิงนั้นพากันพูดอย่างนี้ว่า เธอมี
จิตปฏิพัทธ์กฎุมพีนั้น ถึงกับห้ามอาหารนอนอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้น
พวกเราอ้อนวอนเธอบ่อย ๆ แล้วนำเขามาให้ เพราะเหตุไร จึงไม่ให้
โอกาสแก่เขา. นางจึงบอกความมุ่งหมายอันนั้นให้ทราบ. หญิงเหล่า
นั้นกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าจักปรากฏผลในวันหน้า แล้วพากันหลีก
ไปเสีย. กฎุมพีก็ไม่หันกลับมามองดูอีก. หญิงนั้นเมื่อไม่ได้กฎุมพีนั้น
ก็ซูบซีดอดอาหาร ถึงความสิ้นชีวิตไปในที่นั้นเอง. กฎุมพีได้ฟังว่า
หญิงนั้นตายแล้ว จึงถือดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้เป็นอันมาก
ไปยังพระวิหารเขตวัน บูชาพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วน
สุดข้างหนึ่ง และถูกพระศาสดาตรัสถามว่า อุบาสก เพราะเหตุไรหนอ
ท่านจึงหายหน้าไปไม่ปรากฏ จึงกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบแล้ว
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ละอายใจ ตลอดกาล
ประมาณเท่านี้ จึงไม่ได้มาสู่ที่พุทธอุปัฏฐาก. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อน
อุบาสก หญิงนั้นให้เรียกท่านมาด้วยอำนาจของกิเลส ครั้นในเวลา
ท่านมาแล้ว ไม่ให้โอกาส ทำให้ท่านได้อาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น ก็แม้
ในกาลก่อน นางมีจิตปฏิพัทธ์แม้ในบัณฑิตทั้งหลาย ให้เรียกมาแล้ว
ครั้นในเวลามาถึงไม่ให้โอกาส ทำให้ลำบากถ่ายเดียวแล้วส่งไป อัน

กฏุมพีนั้นทูลอ้อนวอนแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดัง
ต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระ-
นครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลม้าสินธพ ได้ชื่อว่าวาตัคค-
สินธพ ได้เป็นม้ามงคลของพระเจ้าพรหมทัตนั้น. คนผู้ดูแลม้า พา
ม้าสินธพนั้นไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคา. ครั้งนั้น นางม้าชื่อว่าภัททลี
ได้เห็นม้าสินธพนั้นมีจิตปฏิพัทธ์ สั่นด้วยอำนาจกิเลส ไม่กินหญ้า
ไม่ดื่มน้ำ ซูบซีด ผอมได้มีสักแต่ว่าหนังหุ้มกระดูก. ลำดับนั้น ลูกม้า
เห็นแม่นั้นซูบผอมจึงถามว่า แม่ เพราะเหตุไรหนอ แม่จึงไม่กิน
หญ้า ไม่ดื่มน้ำ ซูบซีด นอนสั่นอยู่ในที่นั้น ๆ แม่ไม่มีผาสุกอะไรหรือ
นางม้านั้นไม่บอก เมื่อถูกถามบ่อย ๆ เข้า จึงได้บอกเนื้อความนั้น
ลำดับนั้นลูกม้าจึงปลอบโยนแม่ม้าให้เบาใจแล้วกล่าวว่า แม่อย่าเสียใจ
ฉันจักนำม้าสินธพนั้นมาแสดง ครั้นในเวลาที่ม้าวาตัคคสินธพมา
อาบน้ำ จึงเข้าไปหาแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พ่อ มารดาของข้าพเจ้ามีจิต
ปฏิพัทธ์ในตัวท่าน อดอาหารซูบซีดจักตาย ขอท่านจงให้ทานชีวิต
แก่มารดาของข้าพเจ้าด้วยเถิด. วาตัคคสินธพกล่าวว่า ดีละพ่อ เรา
จักให้พวกคนเลี้ยงม้าให้เราอาบน้ำแล้ว จะปล่อยเพื่อให้เที่ยวหาอาหาร
กินที่ฝั่งแม่น้ำคงคาสักพักหนึ่ง เจ้าจงพามารดามายังประเทศนั้นเถิด.
ลูกม้านั้นไปพามารดามาแล้วปล่อยไว้ในประเทศที่นั้น แล้วได้ยืนอยู่

ในที่มิดชิด ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ฝ่ายคนเลี้ยงม้าทั้งหลายได้ปล่อยวาตัคค-
สินธพไว้ในที่นั้น. วาตัคคสินธพนั้นแลเห็นนางม้าจึงเข้าไปหา. ลำดับ
นั้น นางม้านั้น เมื่อม้าวาตัคคสินธพเข้าไปเสียดสีกายตนอยู่ จึงคิดว่า
ถ้าเราไม่หนักแน่นให้โอกาสแก่เขาในขณะที่มาถึงทีเดียว เมื่อเป็น
เช่นนั้น ยศและความเป็นใหญ่ของเราจักเสื่อมเสียไป เราควรจะทำ
เป็นเหมือนไม่ปรารถนาเถิด แล้วจึงเอาเท้าดีดลูกคางม้าสินธพแล้ว
หนีไป. ทันใดนั้น ได้เป็นเหมือนเวลาที่รากฟันทำลายล่วงไป. วาตัคค-
สินธพคิดว่า เราจะประโยชน์อะไรกับอีม้าตัวนี้ เป็นผู้มีความละอายใจ
หนีไปจากที่นั้นทันที. นางม้านั้นมีความวิปฏิสาร ล้มลงในที่นั้นเอง
นอนเศร้าโศกอยู่. ลำดับนั้น ลูกม้าได้เข้าไปหานางม้าผู้มารดา เมื่อ
จะถามจึงกล่าวคาถาที่ 1 ว่า :-
คุณแม่เป็นโรคผอมเหลือง ไม่ชอบ
ใจอาหาร เพราะม้าตัวใดเป็นเหตุให้มีจิต
ปฏิพัทธ์ ม้าตัวนั้นก็มาคบหาสมาคมแล้ว
เพราะเหตุไร คุณแม่จึงให้ม้าตัวนั้นหนีไป
เสียในบัดนี้เล่า

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยนาสิ ความว่า เพราะม้าตัวใด
เป็นเหตุให้มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่.
นางม้าได้ฟังคำลูก จึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า :-

ลูกเอ๋ย ขึ้นชื่อว่ามิตรสันถวะ จะ
เกิดแต่แรกทีเดียว ยศของสตรีทั้งหลายก็
จะเสื่อมเสีย เพราะฉะนั้น แม่จึงแสร้งทำ
ให้พระยาม้าหนีไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาทิเกเนว แปลว่า แต่ต้นทีเดียว.
คือแต่แรกทีเดียว. บทว่า สนฺถโว ได้แก่ มิตรสันถวะด้วยอำนาจการ
ประกอบ เมถุนธรรม. บทว่า ยโส หายติ อิตฺถีนํ ความว่า ดูก่อน
พ่อ เพราะว่า เมื่อสตรีทั้งหลายผู้ไม่เล่นตัว ย่อมทำความเชยชิดเสีย
แต่เริ่มแรก ยศย่อมเสื่อมเสียไป คือ ความเป็นใหญ่ที่จะพึงได้ย่อม
เสื่อมไป. นางม้านั้นบอกสภาพของสตรีทั้งหลายแก่ลูก ด้วยประการ
ฉะนี้.
พระศาสดาเป็นผู้ตรัสรู้ยิ่ง แล้วตรัสคาถาที่ 3 ว่า :-
สตรีใด ไม่ปรารถนาบุรุษผู้เกิดใน
ตระกูลมียศศักดิ์ ที่มีคนชักพามา สตรีนั้น
จะต้องเศร้าโศกอยู่สิ้นกาลนาน เหมือนนาง
ม้าเศร้าโศกถึงพระยาม้าวาตัคคะ ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสสฺสินํ แปลว่า ผู้สมบูรณ์
ด้วยยศ. บทว่า ยา น อิจฺฉติ ความว่า สตรีใดไม่ปรารถนาบุรุษ
เห็นปานนั้น. บทว่า จิรรตฺตาย แปลว่า ตลอดกาลนาน อธิบายว่า
ตลอดกาลยาวนาน.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงประกาศ
สัจจะทั้งหลาย แล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ กฎุมพีดำรง
อยู่ในโสดาปัตติผล. นางม้าในกาลนั้น ได้เป็นหญิงคนนั้น ในบัดนี้.
ส่วนวาตัคคสินธพได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาวาตัคคสินธพชาดกที่ 6

7. สุวรรณกักกฏกชาดก


ว่าด้วยปูทอง


[400] ปูทองมีนัยตาอันยาว มีหนังเป็นกระดูก
เป็นสัตว์อยู่ในน้ำ ไม่มีขน ฉันถูกปูทองนั้น
หนีบไว้แล้ว จึงร้องขอความช่วยเหลือ เจ้า
อย่าทิ้งฉันผู้คู่ชีวิตเสียเลย.
[401] ข้าแต่ท่านผู้เป็นลูกเจ้า ดิฉันจักไม่ละ
ทิ้งท่านผู้เป็นช้างทรงกำลังถึง 60 ปีเลย
ท่านย่อมเป็นที่รักใคร่อย่างยิ่งของดิฉันยิ่งกว่า
เป็นต้นซึ่งมีสมุทรสาครทั้งสี่เป็นขอบเขต.
[402] ปูเหล่าใดอยู่ในมหาสมุทรก็ดี ในแม่น้ำ
คงคาก็ดี ในแม่น้ำยมุนาก็ดี ท่านเกิดอยู่
ในน้ำ ย่อมประเสริฐกว่าปูเหล่านั้น ขอท่าน
จงปล่อยสามีของดิฉันผู้ร้องไห้อยู่เถิด.

จบ สุวรรณกักกฏกชาดกที่ 7

อรรถกถาสุวรรณกักกฏกชาดกที่ 7


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
หญิงคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า สิงฺคี มิโค ดังนี้.