เมนู

3. จุลลปโลภนชาดก


ว่าด้วยหญิงทำบุรุษให้งงงวย


[388] เมื่อน้ำไม่หวั่นไหว ดาบสนี้มาได้ด้วย
ฤทธิ์เอง ครั้นถึงความระคนกับด้วยหญิง
จมลงในห้วงมหรรณพ.
[389] ธรรมดาว่าหญิงเหล่านี้ เป็นผู้ยังบุรุษ
ให้งงงวยมีมายามาก และยังพรหมจรรย์ให้
กำเริบ ย่อมจะจมลงในอบาย บัณฑิตรู้ชัด
อย่างนี้แล้ว พึงหลีกเว้นเสียให้ห่างไกล.
[390] หญิงเหล่านั้นย่อมเข้าไปคบทาบุรุษใด
เพราะความรักใคร่พอใจ หรือเพราะทรัพย์
เขาย่อมเผาบุรุษนั้นเสียฉับพลัน เปรียบ-
เหมือนไฟไหม้ที่ของตนเอง ฉะนั้น.
จบ จุลลปโลภนชาดกที่ 3

อรรถกถาจุลลปโลภชนาดกที่ 3

1

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้กระสันจะสึกเหมือนกันรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อภิชฺชมาเน วาริสฺมึ ดังนี้.

1. ในอรรถกถาเป็น จุลลปโลภ ฯ

ได้ยินว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้น ผู้ถูกนำมาที่โรงธรรม-
สภาว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอเป็นผู้กระสันจะสึกจริงหรือ เมื่อ
ภิกษุนั้นทูลรับเป็นสัตย์แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ชื่อว่าหญิงเหล่านี้
ย่อมทำสัตว์ผู้บริสุทธ์ให้เศร้าหมอง ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้สัตว์
ผู้บริสุทธิ์อันมีในกาลก่อนก็ทำให้เศร้าหมองเหมือนกัน อันภิกษุ
เหล่านั้นทูลอ้อนวอนแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อ
ไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนคร
พาราณสี เป็นผู้ไม่มีพระโอรส จึงตรัสกับนางสนมของพระองค์ว่า
เธอทั้งหลายจะกระทำความปรารถนาเพื่อให้ได้บุตร. นางสนม
เหล่านั้นจึงพากันปรารถนาบุตร. เมื่อกาลล่วงไปด้วยอาการอย่างนี้
พระโพธิสัตว์จึงจุติจากพรหมโลก บังเกิดในพระครรภ์ของพระ-
อัครมเหสี. พระโพธิสัตว์นั้นพอประสูติ พระชนกชนนีให้สรงสนาน
แล้วได้ประทานแก่พระนม เพื่อให้ดื่มถันธารา. พระโพธิสัตว์นั้น
อันแม่นมทั้งหลายให้ดื่มน้ำนมอยู่ก็ทรงกรรแสง. ลำดับนั้น จึงได้
ทรงประทานพระโพธิสัตว์นั้นให้แก่พระนมอื่น. ในมือของมาตุคาม
พระโพธิสัตว์ไม่เป็นผู้นิ่งเฉย. ลำดับนั้น จึงได้ประทานพระโพธิสัตว์
นั้นเเก่บุรุษคนหนึ่งผู้เป็นข้าบาทมูลิกา. พอข้าบาทมูลิกาคนนั้นรับเอา
เท่านั้นพระโพธิสัตว์ก็หยุดนิ่ง. ครั้นในวันตั้งชื่อพระโพธิสัตว์นั้น
พระชนกชนนีได้ทรงขนานพระนามว่า อนิตถิคันธกุมาร. ตั้งแต่นั้นมา

บุรุษเท่านั้นจึงจะพาพระกุมารนั้นเที่ยวไป เมื่อจะให้ดื่มน้ำนม จะปิด
และคลุมให้ดื่ม หรือวางถันในพระโอษฐ์ตามช่องพระวิสูตร. เมื่อ
พระกุมารแม้ประพฤติพระองค์ไป ๆ มา ๆ อยู่ ใคร ๆ ไม่อาจแสดง
มาตุคามให้เห็น. ด้วยเหตุนั้น พระราชาจึงให้สร้างสถานที่ประทับนั่ง
เป็นต้นไว้ในที่ว่าง และให้สร้างฌานาคารหอคอย ไว้ภายนอกเธอ
พระกุมารนั้น. ในเวลาพระกุมารนั้นมีพระชันษา 16 พรรษา
พระราชาทรงพระดำริว่า เราไม่มีโอรสองค์อื่นอีก ส่วนกุมารนี้ไม่
บริโภคกาม แม้ราชสมบัติก็ไม่ปรารถนา เราได้พระโอรสยากจริงหนอ
ครั้งนั้น มีหญิงฟ้อนรุ่นสาวผู้หนึ่ง ฉลาดในการฟ้อนการขับร้อง
และการประโคม สามารถที่เล้าโลมบุรุษให้ตกอยู่ในอำนาจของตนได้
เข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์ทรงพระดำริเรื่องอะไร
พระพุทธเจ้าข้า. ฝ่ายพระราชาก็ตรัสบอกเหตุนั้น. หญิงฟ้อนกราบทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ เรื่องนั้นโปรดยกไว้ กระหม่อมฉัน
จักประเล้าประโลมพระราชกุมารนั้นให้รู้จักกามรส. พระราชาตรัสว่า
ถ้าเจ้าจักสามารถประเล้าประโลมอนิตถิคันธกุมารผู้โอรสของเราได้
ไซร้ พระกุมารนั้นจักเป็นพระราชา ตัวเจ้าจักเป็นอัครมเหสี. หญิง
ฟ้อนกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์เป็นเจ้า การประเล้าประโลมเป็น
ภาระของกระหม่อมฉัน พระองค์อย่าทรงปริวิตก ดังนี้แล้วเข้าไป
หาคนผู้ทำหน้าที่อารักขาแล้วกล่าวว่า ในเวลาใกล้รุ่งเราจักมายืนที่
หอคอยภายนอกพระวิสูตร ใกล้ที่บรรทมของพระลูกเจ้า แล้วจัก

ขับร้อง ข้าพระราชกุมารจักทรงกริ้ว พวกท่านพึงบอกเรา เราจะ
หลบไปเสีย ถ้าทรงสดับ พวกท่านช่วยบอกแก่เราเช่นเดียวกัน.
คนผู้ทำหน้าที่อารักขาทั้งหลายต่างพากันรับคำนาง. ฝ่ายหญิงฟ้อนนั้น
ในเวลาใกล้รุ่ง ได้ไปยืนอยู่ ณ ประเทศที่นั้น แล้วขับเสียงเพลง
ประสานกับเสียงพิณ บรรเลงเสียงพิณประสานกับเสียงเพลงขับ ด้วย
เสียงอันไพเราะ. พระกุมารทรงบรรทมฟังอยู่ ทรงยอมรับว่า ดี
มีประโยชน์. วันรุ่งขึ้น ทรงสั่งให้นางยืนขับร้องในที่ใกล้ รุ่งขึ้น
วันที่สอง รับสั่งให้ยืนขับร้องในหอคอย รุ่งขึ้นวันที่สาม รับสั่งให้
ยืนขับร้องในที่ใกล้กับพระองค์ ด้วยวิธีการอย่างนี้ พระองค์ทรงทำ
ตัณหาให้เกิดขึ้นโดยลำดับ ๆ จนถึงส้องเสพโลกธรรม ได้รู้รสกามเข้า
แล้ว ออกพระโอษฐ์ว่า ขึ้นชื่อว่ามาตุคาม เราจักไม่ยอมให้แก่ชายอื่น
ถือพระแสงดาบเสด็จลงสู่ท้องถนน เที่ยวไล่ติดตามบุรุษทั้งหลาย.
ลำดับนั้น พระราชารับสั่งให้จับพระกุมารนั้นแล้วให้นำออก
ไปเสียจากพระนคร พร้อมกับกุมาริกานั้น. ฝ่ายพระกุมารและชายา
ทั้งสอง เสด็จเข้าป่าไปยังแม่น้ำคงคาด้านใต้ สร้างอาศรมอยู่ใน
ระหว่างแม่น้ำคงคาและมหาสมุทร โดยมีแม่น้ำคงคาอยู่ด้านหนึ่ง
และมีมหาสมุทรอยู่ด้านหนึ่ง สำเร็จการอยู่ ณ ที่นั้น. ฝ่ายนาง
กุมาริกานั่งอยู่ในบรรณศาลา กำลังต้มหัวเผือกเหง้าไม้และผลไม้อยู่
พระโพธิสัตว์นำผลาผลทั้งหลายมาจากป่า. ครั้นวันหนึ่ง เมื่อพระ-
โพธิสัตว์แม้นั้นไปเพื่อต้องการผลหมากรากไม้ มีพระดาบสรูปหนึ่ง

อาศัยอยู่ที่เกาะในมหาสมุทร เหาะมาทางอากาศในเวลาภิกขาจารเห็น
ควันไฟนั้นจึงลงยังอาศรม. ลำดับนั้น กุมาริกานั้น เชิญพระดาบส
นั้นให้นั่ง โดยกล่าวว่า ท่านจงนั่งรอจนกว่าดิฉันจะต้มเสร็จ แล้ว
เล้าโลมด้วยความเด่นของหญิง ให้เสื่อมจากฌาน ทำพรหมจรรย์
ของดาบสนั้นให้อันตรธานหายไป. พระดาบสนั้นเป็นเหมือนกาปีกหัก
ไม่อาจละนางกุมาริกานั้นไปได้คงอยู่ในที่นั้นเองตลอดทั้งวัน ในเวลา
เย็นเห็นพระโพธิสัตว์มา จึงรีบหนีบ่ายหน้าไปทางมหาสมุทร. ลำดับ
นั้น พระโพธิสัตว์จึงชักดาบออกไล่ติดตามดาบสนั้นไปด้วยเข้าใจว่า
ผู้นี้จักเป็นศัตรูของเรา. พระดาบสแสดงอาการจะเหาะขึ้นในอากาศ
จึงตกลงไปในมหาสมุทร. พระโพธิสัตว์คิดว่า ดาบสผู้นี้จักมาทาง
อากาศ เพราะฌานเสื่อมจึงตกลงในมหาสมุทร บัดนี้ เราควรจะเป็น
ที่พึ่งอาศัยของดาบสนี้ แล้วยืนที่ชายฝั่ง ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
เมื่อน้ำไม่กระเพื่อม ดาบสนี้มาได้
ด้วยฤทธิ์เอง ครั้นถึงความระคนด้วยหญิง
ก็จมลงในห้วงมหรรณพ. ธรรมดาว่า หญิง
เหล่านี้ เป็นผู้ทำบุรุษให้งงงวย มีมายามาก
และยังพรหมจรรย์ให้กำเริบ ย่อมจมลงใน
อบาย บัณฑิตรู้ชัดอย่างนี้แล้ว พึงหลีกเว้น
เสียให้ห่างไกล. หญิงเหล่านั้นย่อมเข้าไป
คบหาบุรุษใดเพราะความรักใคร่พอใจ หรือ

เพราะทรัพย์เขาย่อมเผาบุรุษนั้นเสียฉับพลัน
เปรียบเหมือนไฟไหม้ที่ของตนเองฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิชฺชมเน วาริสฺมึ ความว่า
เมื่อน้ำนี้ไม่ไหวคือไม่กระเพื่อม พระดาบสไม่ถูกต้องน้ำ มาด้วยฤทธิ์
ทางอากาศด้วยตนเอง. บทว่า มิสฺสีภาวิตฺถิย ได้แก่ ภาวะที่ระคน
กับหญิงด้วยอำนาจการเสพโลกธรรม. บทว่า อาวฎฺฏนี มหามายา
ความว่า ธรรมดาหญิงเหล่านี้ ชื่อว่าทำบุรุษให้เวียนมา เพราะให้
เวียนมาด้วยกามคุณ ชื่อว่ามีมายามาก เพราะประกอบด้วยมายาหญิง
หาที่สุดมิได้. สมจริงดังที่ท่านโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า :-
หญิงทั้งหลายนี้เป็นผู้มีมายาดุจพยับ
แดด ความโศก โรค และอันตรายย่อมเกิด
แก่ผู้สมาคมกับหญิง ร่ำไป อนึ่ง หญิง
ทั้งหลาย กล้าแข็ง เป็นดุจเครื่องผูก เป็นบ่วง
แห่งมัจจุราช และมีมหาภูตรูปดุจคูหาเป็นที่
อาศัย บุรุษใดคุ้นเคยในหญิงเหล่านั้น บุรุษ
นั้นเท่ากับคนอาธรรม์ในนรชนทั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺรหฺมจริยวิโกปนา ความว่า
ยังความประพฤติอันประเสริฐ คือเมถุนริรัตพรหมจรรย์ให้กำเริบ.
บทว่า สีทนฺติ ความว่า ธรรมดาหญิงเหล่านี้ ชื่อว่าย่อมจมลง

ในอบายทั้งหลาย เพราะทำพรหมจรรย์ของพวกฤๅษีให้กำเริบ. คำที่
เหลือพึงประกอบความโดยนัยก่อนนั่นแล.
ฝ่ายพระดาบส ครั้นได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์อย่างนี้แล้ว
ยืนอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรนั้นเอง ทำฌานที่เสื่อมให้กลับเกิดขึ้นอีก
แล้วไปยังที่อยู่ของตนทางอากาศ. พระโพธิสัตว์คิดว่า พระดาบสนี้
เป็นผู้อบรมมาแล้วอย่างนี้ ไปทางอากาศเหมือนปุยนุ่น แม้เราก็
ควรทำฌานให้เกิดแล้วไปทางอากาศเหมือนพระดาบสนี้. ครั้นคิด
แล้วก็ไปยังอาศรม นำหญิงนั้นไปส่งยังถิ่นมนุษย์แล้วส่งไปด้วยคำว่า
เจ้าจงกลับไปเถิด เสร็จแล้วก็เข้าป่าสร้างอาศรมในภูมิภาคอันรื่นรมย์
แล้วบวชเป็นฤๅษีกระทำกสิณบริกรรมยังอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิด
ได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประกาศอริยสัจจธรรมทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบอริยสัจ ภิกษุ
ผู้กระสันจะสึก ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ก็อนิตถิคันธกุมาร
ในกาลนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาจุลลปโลภนชาดกที่ 3

4. มหาปนาทชาดก


ว่าด้วยปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท


[391] พระเจ้ามหาปนาทนั้นมีปราสาทล้วน
แล้วไปด้วยทอง กว้าง 16 ชั่วธนูตก สูง
1 พันชั่วธนู.
[392] และปราสาทนั้นมีพื้น 7 ชั้น ประกอบ
ไปด้วยธง แล้วไปด้วยแก้วมณีสีเขียว มีนาง
ฟ้อน 6 พัน แบ่งออกเป็น 7 พวกฟ้อนรำ
อยู่ในปราสาทนั้น.
[393] ดูก่อนภัททชิ ท่านกล่าวถึงปราสาทนั้น
มีแล้วในกาลนั้น ในครั้งนั้น เราเป็นท้าว
สักกะผู้รับใช้การงานของท่าน.
จบ มหาปนาทชาดกที่ 4

อรรถกถามหาปนาทชาดกที่ 4


พระศาสดาประทับนั่งอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา ทรงปรารภอานุภาพ
ของพระภัททชิเถระจึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ปนาโท นาม โส
ราชา
ดังนี้
สมัยหนึ่ง พระศาสดาทรงจำพรรษาอยู่ในเมืองสาวัตถี ทรง
พระดำริว่า จักสงเคราะห์ภัททชิกุมาร แวดล้อมแล้วด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์