เมนู

9. สาลกชาดก



ว่าด้วยสาลกวานร


[348] ดูก่อนพ่อสาลกวานร พ่อเป็นลูกคนเดียว
ของเรา อนึ่ง พ่อจักได้เป็นใหญ่แห่งโภคสมบัติ
ในตระกูลของเรา ลงมาจากต้นไม้เถิด มาเถิดพ่อ
เราจะพากันกลับไปบ้านของเรา.
[349] ท่านสำคัญเราว่าเป็นสัตว์ใจดี จึงได้ตีเรา
ด้วยเรียวไม้ไผ่ เราพอใจอยู่ในป่ามะม่วงที่มีผล
สุก ท่านจงกลับไปบ้านตามสบายเถิด.

จบ สาลกชาดกที่ 9

อรรถกถาสาลกชาดกที่ 9



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภพระมหาเถระรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่ม
ต้นว่า เอกปุตฺตโก ภวิสฺสติ ดังนี้.
ได้ยินว่า พระมหาเถระนั้นให้กุมารน้อยบรรพชาแล้ว ทำ
ให้ลำบากอยู่ ณ พระเชตวันนั้น. สามเณรนั้นไม่สามารถจะทน
ความลำบากได้จึงสึก. พระเถระไปเกลี้ยกล่อมกุมารน้อยนั้นว่า

ดูก่อนกุมารน้อย จีวรของเธอคงเป็นของเธอตามเดิม แม้บาตร
ก็คงเป็นของเธอ ทั้งบาตรและจีวรก็คงเป็นของเธอ จงมาบรรพชา
เถิด. กุมารน้อยนั้น แม้กล่าวว่า ผมจักไม่บรรพชา ถูกพระเถระ
รบเร้าบ่อย ๆ เข้าก็บรรพชา ครั้งนั้นพระเถระได้ให้สามเณร
นั้นลำบากอีกตั้งแต่วันที่บวช. สามเณรทนความลำบากไม่ไหว
จึงสึกอีก แม้พระเถระเกลี้ยกล่อมอยู่หลายครั้งหลายครา ก็ไม่
ยอมบวช โดยกล่าวว่า หลวงพ่อไม่เห็นใจผม หลวงพ่อขาดผม
จะไม่สามารถเป็นไปได้เทียวหรือ ไปเถิดหลวงพ่อ ผมไม่บวชละ.
ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลาย
ทารกนั้นใจดีจริงหนอ ทราบอัธยาศัยของพระมหาเถระแล้วจึง
ไม่ยอมบวช. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนาด้วยเรื่องอะไรกัน เมื่อภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทารก
นั้นมิใช่มีใจดีแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็ใจดี เห็นโทษของ
พระเถระนั้นคราวเดียวเท่านั้น ไม่ยอมเข้าใกล้อีก ทรงนำเรื่อง
อดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลกุฎุมพี ครั้นเจริญวัย
เลี้ยงชีพด้วยการขายข้าวเปลือก. มีหมองูคนหนึ่ง หัดลิงตัวหนึ่ง
ให้ถือยาแล้วให้งูแสดงการละเล่นกับลิงนั่งเลี้ยงชีพ. เมื่อมีการ
โฆษณาแสดงมหรสพที่กรุงพาราณสี. หมองูนั้นประสงค์จะชม

มหรสพ จึงมอบลิงนั้นไว้กับพ่อค้าขายข้าวเปลือกนั้น สั่งว่า
ท่านอย่าดูดายลิงตัวนี้ ครั้นชมมหรสพแล้วในวันที่ 7 จึงไปหา
พ่อค้าถามว่า ลิงอยู่ที่ไหน. ลิงพอได้ยินเสียงเจ้าของรีบออกจาก
ร้านขายข้าวเปลือก. ลำดับนั้นหมองู จึงเอาไม้เรียวตีหลังลิง
พาไปสวนผูกไว้ข้างหนึ่ง แล้วหลับไป. ลิงรู้ว่าเจ้าของหลับ จึง
แก้เชือกที่ผูกออกหนีไปขึ้นต้นมะม่วง กินผลมะม่วงสุก แล้วทิ้ง
เมล็ดลงตรงหัวหมองู. หมองูตื่นแลดูเห็นลิงนั้นแล้ว จึงคิดว่า เรา
จักลวงเจ้าลิงนั้นด้วยถ้อยคำไพเราะ ให้มันลงจากต้นไม้แล้วจึง
จับมัน เมื่อจะเกลี้ยกล่อมลิงนั้น ได้กล่าวคาถาแรกว่า :-
ดูก่อนพ่อสาลกวานร เจ้าเป็นลูกคนเดียว
ของพ่อ อนึ่ง พ่อจักได้เป็นใหญ่ในตระกูลของ
พ่อ ลงมาจากต้นไม้เถิด มาเถิดลูกพ่อ จะพากลับ
ไปบ้านของเรา.

ลิงได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า :-
ท่านสำคัญว่า เราเป็นสัตว์ใจดีจึงได้ตีเรา
ด้วยเรียวไม้ไผ่ เราพอใจอยู่ในป่ามะม่วงที่มี
ผลสุก ท่านจงกลับไปบ้านตามสบายเถิด.

ในบทเหล่านั้น บทว่า นนุ มํ สุหทโยติ มญฺญสิ ความว่า
ท่านสำคัญเราว่าเป็นสัตว์มีใจดีมิใช่หรือ อธิบายว่า ท่านสำคัญ
ว่าลิงนี้เป็นสัตว์ใจดี. บทว่า ยญฺจ มํ หนสิ เวฬุยฏฺฐิยา ความว่า

ท่านแสดงไว้ดังนี้ว่า ท่านดูหมิ่นเราด้วยเหตุใด และท่านเฆี่ยน
เราด้วยไม้เรียวด้วยเหตุใด เหตุนั้นเราจึงไม่กลับไป. เมื่อเป็น
เช่นนั้น เราจึงพอใจในป่ามะม่วงนี้ เชิญท่านกลับไปเรือนตาม
สบายเถิด. แล้วกระโดดเข้าป่าไป. แม้หมองูก็ไม่พอใจได้กลับ
ไปเรือนของตน.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก. ลิงในครั้งนั้นได้เป็นสามเณรในครั้งนี้ หมองูได้เป็นพระ-
มหาเถระ ส่วนพ่อค้าขายข้าวเปลือกคือ เราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาสาลกชาดกที่ 9

10. กปิชาดก



เข้าใจว่าลิงเป็นฤๅษี


[350] ฤๅษีผู้นี้ยินดีแล้วในความสงบและความ
สำรวม ท่านถูกภัยคือ ความหนาวเบียดเบียน
จึงมายืนอยู่ เชิญฤๅษีผู้นี้จงเข้ามายังบรรณศาลา
นี้เถิด จะได้บรรเทาความหนาวและความกระวน
กระวายให้หมดสิ้นไป.
[351] นี้ไม่ใช่ฤๅษีผู้ยินดีในความสงบและความ
สำรวม เป็นลิงเที่ยวโคจรอยู่ตามกิ่งมะเดื่อ มัน
เป็นสัตว์ประทุษร้าย ฉุนเฉียวและมีสันดานลามก
ถ้าเข้ามาอยู่ยังบรรณศาลาหลังนี้ ก็จะพึงประทุษ
ร้ายบรรณศาลา.

จบ กปิชาดกที่ 10

อรรถกถากปิชาดกที่ 10



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภภิกษุโกหกรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า อยํ อิสี อุปสมสญฺญเม รโต ดังนี้.