เมนู

2. สุนขชาดก



ผู้ฉลาดย่อมช่วยตัวเองได้


[334] สุนัขตัวใดไม่กัดเชือกหนังให้ขาด สุนัข
ตัวนั้นโง่เขลามาก สุนัขควรจะเปลื้องตนเสียจาก
เครื่องผูก กินเชือกหนังเสียให้อิ่ม แล้วจึงค่อย
กลับไปยังที่อยู่ของตน.
[335] คำที่ท่านกล่าวนี้ฝังอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้า
อนึ่ง ข้าพเจ้ายังได้จำไว้ในใจแล้ว ข้าพเจ้าจะรอ
เวลา จนกว่าคนจะหลับ.

จบ สุนขชาดกที่ 2

อรรถกถาสุนขชาดกที่ 2



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภสุนัขกินอาหารที่ศาลานั่งพัก ใกล้ซุ้มรางน้ำ ตรัสพระ-
ธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า พาโล วตายํ สุนโข ดังนี้.
ได้ยินว่า พวกตักน้ำนำสุนัขนั้นมาเลี้ยงไว้ในที่นั้นตั้งแต่
เกิด. ครั้นต่อมาสุนัขนั้นได้กินอาหารในที่นั้นจนมีร่างกายอ้วนพี.
วันหนึ่งมีบุรุษชาวบ้านผู้หนึ่งมาถึงที่นั่น เห็นสุนัขจึงให้ผ้าสาฎก

เนื้อดีและเงินแก่คนตักน้ำ แล้วเอาโซ่ผูกพาสุนัขไป. สุนัขนั้น
ถูกเขานำไปก็ไม่ดิ้นรน กินอาหารที่เขาให้เดินตามไปข้างหลัง.
บุรุษนั้นคิดว่าเดี๋ยวนี้สุนัขนี้รักเรา จึงแก้โซ่ออก. สุนัขพอเขา
แก้แล้วเท่านั้น วิ่งรวดเดียวถึงศาลานั่งพักตามเดิม. ภิกษุทั้งหลาย
เห็นสุนัขนั้น ทราบเหตุที่มันทำ จึงสนทนากันในโรงธรรมใน
ตอนเย็นว่า อาวุโสทั้งหลาย สุนัขที่ศาลานั่งพัก ฉลาดในการทำ
ให้พ้นจากเครื่องผูก พอเขาปล่อยเท่านั้นกลับหนีมาได้. พระ-
ศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอ
นั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรง
ทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุนัขนั้นมิใช่ฉลาด
ในการทำให้พ้นจากเครื่องผูกในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็ฉลาด
ในการทำให้พ้นจากเครื่องผูกเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีต
มาตรัสเล่า.
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลที่มีสมบัติมากตระกูล
หนึ่งในแคว้นกาสี ครั้นเจริญวัยได้ครองฆราวาส. ครั้งนั้นมนุษย์
คนหนึ่งในกรุงพาราณสี ได้มีสุนัขอยู่ตัวหนึ่ง. สุนัขนั้นได้ก้อนข้าว
กินจนอ้วนท้วน. ชาวบ้านคนหนึ่งมากรุงพาราณสี เห็นสุนัขนั้น
จึงให้ผ้าสาฎกเนื้อดีและเงินแก่มนุษย์นั้น แล้วเอาสุนัขไป เอา
เชือกหนังล่าม ถือปลายเชือกเดินจูงไป จึงเข้าไปยังศาลาไม้อ้อ
แห่งหนึ่งใกล้ปากดง จึงผูกสุนัขไว้ นอนหลับบนแผ่นกระดาน.

ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เดินผ่านดงไปทำธุระอย่างหนึ่ง เห็นสุนัข
นั้นถูกล่ามไว้จึงกล่าวคาถาแรกว่า :-
สุนัขตัวใด ไม่กัดเชือกหนังให้ขาด สุนัข
ตัวนั้นโง่เขลามาก สุนัขควรจะเปลื้องตนเสียจาก
เครื่องผูก กินเชือกหนังเสียให้อิ่ม แล้วจึงค่อย
กลับไปยังที่อยู่ของตน.

สุนัขได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า :-
คำที่ท่านกล่าวนี้ ฝังอยู่ในหัวใจของ
ข้าพเจ้า อนึ่งข้าพเจ้ายังได้จำไว้ในใจแล้ว ข้าพเจ้า
จะรอเวลาจนกว่าคนจะหลับ.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อฏฺฐิตํ เม มนสฺมึ เม ความว่า ท่าน
กล่าวคำใด คำนั้นเราตั้งใจไว้แล้ว คือเก็บไว้แล้วแต่ในใจของเรา.
บทว่า อโถ เม หทเย กตํ คือ แม้คำของท่านเราก็เก็บไว้ในใจ
ทีเดียว. บทว่า กาลญฺจ ปฏิกงฺขามิ คือ ข้าพเจ้ากำลังรอเวลา
อยู่. บทว่า ยาว ปสุปตุชฺชโน ความว่า ข้าพเจ้ารอเวลาจนกว่า
มหาชนจะหลับ. นอกเหนือไปจากนี้ สุนัขนี้คิดว่า ความปรารถนา
ของตนพึงเกิดขึ้นว่าจะหนี เพราะฉะนั้น ในตอนกลางคืนเมื่อ
คนหลับกันหมด เราจะกัดเชือกหนีไป.
สุนัขนั้นครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เมื่อมหาชนพากันหลับ
จึงกัดเชือกกินแล้วหนีไปยังเรือนของเจ้าของตนตามเดิม.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก. สุนัขในครั้งนั้นได้เป็นสุนัขในครั้งนี้ ส่วนบุรุษบัณฑิต
คือ เราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาสุนขชาดกที่ 2

3. คุตติลชาดก



ศิษย์คิดล้างครู


[336] ข้าพระองค์ได้สอนให้ศิษย์ชื่อมุสิละ เรียน
วิชาดีดพิณ 7 สาย มีเสียงไพเราะจับใจคนฟัง
เขากลับมาขันดีดพิณสู้ข้าพระองค์ ณ ท่ามกลาง
สนาม ข้าแต่ท้าวโกสีย์ ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่ง
ของข้าพระองค์เถิด.
[337] ดูก่อนสหาย ฉันจะเป็นที่พึ่งของท่าน ฉัน
เป็นผู้บูชาอาจารย์ ศิษย์จักไม่ชนะท่าน ท่านจัก
ชนะศิษย์.

จบ คุตติลชาดกที่ 3

อรรถกถาคุตติลชาดกที่ 3



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภ
พระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สตฺตตนฺตึ
สุมธุรํ
ดังนี้.
ความย่อมีอยู่ว่า ในครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายกล่าวกะพระ-
เทวทัตว่า ดูก่อนพระเทวทัต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอาจารย์