เมนู

3. วิกัณณกชาดก



คนเห็นแก่อามิสย่อมเดือดร้อน


[315] เจ้าปรารถนาในที่ใด ก็จงไปในที่นั้นเถิด
เจ้าเป็นผู้ถูกชะนักของเราแทงแล้ว เจ้าเป็นผู้โลภ
ด้วยอาหารแท้ เมื่อติดตามปลาทั้งหลายมาก็ถูก
อาหารมีเสียงกลองกำจัดเสียแล้ว.
[316] บุคคลเห็นแก่โลกามิสแม้อย่างนี้ ชอบ
ประพฤติตามอำนาจของจิต ย่อมเดือดร้อน เขา
ย่อมเดือดร้อนอยู่ในท่ามกลางหมู่ญาติและสหาย
ดุจจระเข้ผู้ติดตามปลาไปถูกแทง ฉะนั้น.

จบ วิกัณณกชาดกที่ 3

อรรถกถาวิกัณณกชาดกที่ 3



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภภิกษุกระสันรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า กามํ
ยหึ อิจฺฉสิ เตน คจฺฉ
ดังนี้.
ความย่อมีว่า ภิกษุรูปนั้นถูกนำไปยังธรรมสภา พระ-
ศาสดาตรัสถาม ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอกระสันจริงหรือ กราบ
ทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัสถามว่า เธอกระสันเพราะเหตุใด.
กราบทูลว่า เพราะเหตุกามคุณ. ลำดับนั้นพระศาสดาจึงตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่า กามคุณเหล่านี้เช่นกับลูกชะนัก เมื่อได้ที่
ตั้งในหัวใจครั้งเดียว ย่อมให้ถึงความตายได้ทีเดียว เหมือนชะนัก
อันปักเข้าไปแล้ว ยังจระเข้ให้ถึงความตาย ฉะนั้นแล้วทรงนำเรื่อง
อดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี
โดยธรรม วันหนึ่งประพาสอุทยานเสด็จไปถึงฝั่งสระโบกขรณี.
พนักงานชำนาญในการฟ้อนรำขับร้องเป็นต้น ก็ประกอบการ
ฟ้อนรำขับร้องถวาย. ปลาและเต่าทั้งหลายที่สระโบกขรณี ต่าง
ก็มารวมกันเพราะมีใจจดจ่ออยู่ในเสียงขับร้อง ว่ายน้ำตามพระ-
ราชาไป. พระราชาทอดพระเนตรเห็นฝูงปลาประมาณเท่าลำตาล
ตรัสถามอำมาตย์ทั้งหลายว่า เหตุไรหนอ พวกปลาเหล่านี้จึง
เที่ยวตามเราไป. พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ปลาเหล่านี้คอยรับใช้
พระองค์. พระราชาโปรดปรานว่า แม้ปลาเหล่านี้ก็ยังคอยรับใช้
เรา จึงทรงตั้งอาหารไว้ประจำวันของปลาเหล่านั้น. เจ้าหน้าที่
ต้องหุงข้าวสารหนึ่งอัมมณะทุก ๆ วัน. ต่อมาปลาทั้งหลายถึง
เวลาให้อาหารบางพวกก็มา บางพวกก็ไม่มา อาหารก็เสีย.
เขาจึงกราบทูลความนั้นแด่พระราชา. พระราชารับสั่งว่า ตั้งแต่
ไปจงตีกลองเวลาให้อาหาร. เมื่อพวกปลามารวมกันตามเสียง
กลองแล้วก็จงให้อาหารเถิด. ตั้งแต่นั้นพนักงานผู้จัดอาหาร
ให้ตีกลองแล้วจึงให้อาหารแก่พวกปลาที่มารวมกัน. แม้พวกปลา
เหล่านั้นก็มารวมกันกินอาหารตามสัญญาเสียงกลอง. เมื่อพวก

ปลารวมกันกินอาหารอยู่อย่างนี้ มีจระเข้ตัวหนึ่งมากินปลา
เจ้าหน้าที่จัดอาหารจึงกราบทูลแด่พระราชา. พระราชาทรง
สดับดังนั้น จึงรับสั่งว่า ท่านจงเอาชะนักแทงจระเข้ที่เข้ามาใน
เวลากินปลา แล้วจับตัวให้ได้. เขารับพระราชโองการแล้ว
กลับไปลงเรือคอยอยู่ ได้ใช้ชะนักแทงจระเข้ซึ่งเข้ามากินปลา
ชะนักเสียบติดหลังจระเข้นั้น จระเข้ได้รับทุกขเวทนา จึงหนี
พาเอาชะนักนั้นติดไปด้วย. เจ้าหน้าที่จัดอาหารทราบว่าแทงถูก
จระเข้แล้ว เมื่อจะว่ากะจระเข้นั้น จึงกล่าวคาถาแรกว่า :-
เจ้าปรารถนาในที่ใด ก็จงไปในที่นั้นเถิด
เจ้าเป็นผู้ถูกชะนักของเราแทงแล้ว เจ้าเป็นผู้โลภ
ด้วยอาหารแท้ เมื่อติดตามปลาทั้งหลายมาก็ถูก
อาหารมีเสียงกลองกำจัดเสียแล้ว.

ในบทเหล่านั้น บทว่า กามํ คือโดยส่วนเดียว. บทว่า
ยหึ อิจฺฉสิ เตน คจฺฉ ความว่า ท่านปรารถนาในที่ใด จงไปใน
ที่นั้นเถิด บทว่า มมฺมมฺหิ คือ ในที่ของเรา. บทว่า อนุพนฺธมาโน
ความว่า เจ้าเมื่อเขาให้อาหารด้วยสัญญาเสียงกลอง เป็นผู้โลภ
ติดตามปลาหวังจะกิน ก็ถูกอาหารมีเสียงกลองกำจัดเสียแล้ว.
แม้ในที่ที่ท่านไป ท่านก็จะไม่มีชีวิต.
จระเข้นั้นไปถึงที่อยู่ของตนแล้วก็ตาย.
พระศาสดาครั้นทรงแสดงชาดกนี้แล้ว ตรัสรู้แล้วได้
ตรัสคาถาที่ 2 ว่า

บุคคลเห็นแก่โลกามิสแม้อย่างนี้ ชอบ
ประพฤติตามอำนาจของจิตย่อมเดือดร้อน เขา
ย่อมเดือดร้อนอยู่ในท่ามกลางหมู่ญาติและสหาย
ดุจจระเข้ผู้ติดตามปลาไปถูกแทง ฉะนั้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า โลกามิสํ ได้แก่ กามคุณ 5 เพราะ
กามคุณ 5 เหล่านั้น ชาวโลกถือว่าเป็นของน่าปรารถนา น่าใคร่
น่าพึงพอใจ ฉะนั้น จึงเรียกว่า โลกามิส. บทว่า โอปตนฺโต
ความว่า บุคคลผู้เป็นไปตามโลกามิสนั้น เป็นผู้คล้อยตามอำนาจ
จิตด้วยอำนาจกิเลส ย่อมเดือดร้อนลำบากถึงความพินาศ บทว่า
โส หญฺญติ ความว่า บุคคลนั้นยึดถือกามคุณ 5 ว่าเป็นที่น่าพึง
พอใจ แล้วย่อมเดือดร้อนลำบากถึงความมหาพินาศ ในท่ามกลาง
ญาติและสหายทั้งหลาย ดุจจระเข้ที่ไล่ตามปลาถูกแทงด้วยชะนัก
ฉะนั้น ดังนี้.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจจธรรม แล้วทรงประชุมชาดก. ครั้นจบสัจจธรรม ภิกษุ
กระสันตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ส่วนพระเจ้าพาราณสีในครั้งนั้น
คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาวิกัณณกชาดกที่ 3

4. อสิตาภุชาดก



โลภมากลาภหาย


[317] พระองค์นั่นแหละ ได้กระทำเหตุอันนี้
ในบัดนี้ หม่อมฉันปราศจากความรักในพระองค์
แล้ว ความรักนั้นประสานกันอีกไม่ได้ ดุจงาช้าง
อันตัดขาดแล้วด้วยเลื่อย ฉะนั้น.
[318] บุคคลผู้ปรารถนาเกินส่วน ย่อมเสื่อมจาก
ประโยชน์ เพราะความโลภเกินประมาณ และ
เพราะความเมาอันเกิดจากความโลภเกินประมาณ
เหมือนเราเสื่อมจากนางอสิตาภุ ฉะนั้น

.
จบ อสิตาภุชาดกที่ 4

อรรถกถาอสิตาภุชาดกที่ 4



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภกุมาริกาคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
ตฺวเมวทานิมการี ดังนี้.
ได้ยินว่า ในตระกูลอุปฐากของพระอัครสาวกทั้งสอง
ตระกูลหนึ่งในกรุงสาวัตถี มีกุมาริกาผู้หนึ่งมีรูปสวย ถึงพร้อม
ด้วยคามงามเป็นเลิศ. นางเจริญวัย ก็ได้ไปสู่ตระกูลซึ่งมีชาติ
เสมอกัน. สามีของนางไม่พอใจนางเป็นบางอย่าง จึงเที่ยวไป