เมนู

9. ปลายิชาดก



ว่าด้วยขับไล่ศัตรูแบบสายฟ้าแลบ


[307] เมืองตักกสิลาถูกเขาล้อมไว้ทุกด้านแล้ว
ด้วยกองพลช้างตัวประเสริฐ ซึ่งร้องคำรนอยู่
ด้านหนึ่ง ด้วยกองทัพม้าตัวประเสริฐซึ่งคลุม
มาลาเครื่องครบอยู่ด้านหนึ่ง ด้วยกองพลรถ ดุจ
คลื่นในมหาสมุทรอันยังฝนคือลูกศรให้ตกลง
ด้านหนึ่ง ด้วยกองพลเดินเท้าถือธนูมั่นมีฝีมือยิง
แม่นอยู่ด้านหนึ่ง.
[308] ท่านทั้งหลายจงรีบรุกเข้าไป และจงรีบ
บุกเข้าไป จงไสช้างให้หนุนเนื่องกันเข้าไปเลย
จงโห่ร้องให้สนั่นหวั่นไหวในวันนี้ ดุจสายฟ้า
อันซ่านออกจากกลีบเมฆคำรนอยู่ ฉะนั้น.

จบ ปลายิชาดกที่ 9

อรรถกถาปลายิชาดกที่ 9



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภปลายิปริพาชก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
คชคฺคเมเฆภิ ดังนี้.

ได้ยินว่า ปริพาชกนั้นท่องเที่ยวไปทั่วชมพูทวีป เพื่อการ
โต้วาทะ ไม่ได้รับการโต้ตอบวาทะอะไร แล้วจนลุถึงเมืองสาวัตถี
โดยลำดับ ถามมนุษย์ทั้งหลายว่า ใคร ๆ สามารถจะโต้ตอบ
วาทะกับเรามีบ้างไหม. พวกมนุษย์ต่างพากันสรรเสริญพระ-
พุทธองค์ว่า พระมหาโคดมผู้สัพพัญญูเลิศกว่าสัตว์สองเท้า
ทั้งหลาย ผู้เป็นใหญ่โดยธรรม ย่ำยีวาทะของผู้อื่น เป็นผู้สามารถ
จะโต้ตอบวาทะกับคนเช่นท่านแม้ตั้งพัน ปราชญ์ผู้มีวาทะขัดแย้ง
ที่เกิดขึ้นในชมพูทวีป แม้ทั้งสิ้นที่จะสามารถล่วงเลยพระผู้มี-
พระภาคเจ้าพระองค์นั้นมิได้มี. บรรดาวาทะทั้งปวงมาถึงบาท
มูลของพระองค์เป็นผุยผงไปดุจคลื่นสมุทรกระทบฝั่งฉะนั้น.
ปริพาชกถามว่า ก็เดี๋ยวนี้พระองค์ประทับอยู่ที่ไหน ได้ฟังว่า
ที่พระเชตวันมหาวิหาร กล่าวว่า เราจักไปประวาทะกับพระองค์
ในบัดนี้ แวดล้อมด้วยมหาชนไปสู่เชตวันมหาวิหาร พอเห็นซุ้ม
ประตูเชตวันมหาวิหาร ซึ่งพระราชกุมารพระนามว่า เชตะ ทรง
สละทรัพย์เก้าโกฏิสร้าง ถามว่า นี้คือปราสาทที่ประทับของ
พระสมณโคดมหรือ ได้ฟังว่า นี้คือซุ้มประตู กล่าวว่า ซุ้มประตู
ยังเป็นถึงเพียงนี้ คฤหาสน์ที่ประทับจะเป็นเช่นไร เมื่อมหาชน
กล่าวว่า ชื่อว่าพระคันธกุฏีประมาณไม่ถูก กล่าวว่า ใครจะ
โต้ตอบวาทะกับพระสมณโคดมเป็นถึงปานนี้ได้. จึงหนีไปจาก
ที่นั้นเอง. มนุษย์ทั้งหลายต่างอึงคะนึงกันจะเข้าไปยังพระเชต-
วันมหาวิหาร พระศาสดาตรัสถามว่า ทำไมจึงมากันผิดเวลา

กราบทูลความเป็นไปให้ทรงทราบ. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อน
อุบาสกทั้งหลาย ปริพาชกผู้นี้เห็นซุ้มประตูของเราก็หนีในบัดนี้
เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็หนีไปแล้วเหมือนกัน พวกมนุษย์
เหล่านั้นจึงทูลอาราธนา ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยราชสมบัติในเมืองตักกสิลา
ในแคว้นคันธาระ. พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุง
พาราณสี. พระเจ้าพรหมทัตนั้นทรงดำริว่า จักตีเมืองตักกสิลา
จึงยกพลนิกายใหญ่ไปตั้งมั่นอยู่ไม่ไกลจากเมืองตักกสิลา ทรง
ซักซ้อมเสนาว่า จงส่งกองช้างเข้าไปด้านนี้ ส่งกองม้าเข้าไป
ด้านนี้ ส่งกองรถเข้าไปด้านนี้ ส่งพลราบเข้าไปด้านนี้ เมื่อบุก
เข้าไปอย่างนี้แล้ว จงใช้อาวุธทั้งหลาย จงให้ห่าฝนลูกศรให้ตก
ดังหมู่วลาหกโปรยฝนลูกเห็บฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้ ได้ตรัส
สองคาถานี้ว่า :-
เมืองตักกสิลาถูกเขาล้อมไว้ทุกด้านแล้ว
ด้วยกองพลช้างตัวประเสริฐ ซึ่งร้องคำรนอยู่
ด้านหนึ่ง ด้วยกองพลม้าตัวประเสริฐ ซึ่งคลุม
มาลาเครื่องครบอยู่ด้านเหนือ ด้วยกองพลรถ
ดุจคลื่นในมหาสมุทรอันยังฝน คือลูกศรให้ตก
ลงด้านหนึ่ง ด้วยกองพลเดินเท้าถือธนูมั่น มีฝีมือ
ยิงแม่นอยู่ด้านหนึ่ง ท่านทั้งหลายจงรีบบุกเข้า
ไป และจงรีบบุกเข้าไป จงไสช้างให้หนุนเนื่อง

กันเข้าไปเลย จงโห่ร้องให้สนั่นหวั่นไหว ในวันนี้
ดุจสายฟ้าอันซ่านออกจากกลีบเมฆ คำรน อยู่
ฉะนั้น.

พระเจ้าพรหมทัตนั้นทรงตรวจพลปลุกใจเสนาให้คึกคัก
ฉะนี้แล้วเคลื่อนทัพไปถึงที่ใกล้ประตูนคร เห็นซุ้มประตูแล้ว
ตรัสถามว่า นี้คือพระราชมณเฑียรหรือ เมื่อเหล่าเสนากราบทูล
ว่า นี้คือซุ้มประตูนคร ยังเป็นถึงปานนี้ พระราชมณเฑียรจะเป็น
เช่นไร ได้สดับว่าเช่นกับเวชยันตปราสาท ตรัสว่า เราไม่อาจ
สู้รบกับพระราชาผู้ถึงพร้อมด้วยยศอย่างนี้ ได้ทอดพระเนตร
ซุ้มประตูแล้ว เสด็จหนีกลับสู่เมืองพาราณสี.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา แล้วทรงประชุม
ชาดก. พระเจ้าพาราณสีในครั้งนั้น ได้เป็นปลายิปริพาชกใน
ครั้งนี้ ส่วนพระราชาเมืองตักกสิลา คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาปลายิชาดกที่ 9

10. ทุติยปลายิชาดก



คนถูกความเร่าร้อนเผาจนไม่อาจสู้ข้าศึกได้


[309] ธงสำหรับรถของเรามีมากมาย พลพาหนะ
ของเราก็นับไม่ถ้วน แสนยากที่ศัตรูจะหาญหัก
เข้าสู้รบได้ ดุจสาครยากที่ฝูงกาจะบินข้ามให้ถึง
ฝั่งได้ ฉะนั้น อนึ่ง กองพลของเรานี้ยากที่กองพล
อื่นจะหาญเข้าตีหักได้ ดุจภูเขาอันลมไม่อาจให้
ไหวได้ฉะนั้น วันนี้เราประกอบด้วยกองพลเท่านี้
อันกองพลเช่นนั้นยากที่ศัตรูจะหาญหักเข้ารุกราน
ได้.
[310] ท่านอย่าพูดเพ้อถึงความที่ตนเป็นคนโง่
เขลาไปเลย คนเช่นท่านจะเรียกว่าผู้สามารถ
ไม่ได้ ท่านถูกความเร่าร้อน คือ ราคะ โทสะ
โมหะ และมานะเผารนอยู่เสมอ ไม่อาจจะกำจัด
เราได้เลย จะต้องหนีเราไป กองพลของเราจัก
ย่ำยีท่านหมดทั้งกองพล ดุจช้างเมามันขยี้ไม้อ้อ
ด้วยเท้า ฉะนั้น.

จบ ทุติยปลาชาดกที่ 10