เมนู

6. อลีนจิตตชาดก



ว่าด้วยกัลยาณมิตร


[161] เสนาหมู่ใหญ่อาศัยเจ้าอลีนจิต มีใจรื่นเริง
ได้จับเป็นพระเจ้าโกศล ผู้ไม่อิ่มพระทัยด้วย
ราชสมบัติของพระองค์ฉันใด
[162] ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยกัลยาณมิตรเป็นที่
พึ่งอาศัย ปรารภความเพียร เจริญกุศลธรรม เพื่อ
บรรลุนิพพานอันเกษมจากโยคะ พึงบรรลุธรรม
เป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวงโดยลำดับ ก็
ฉันนั้น.

จบ อลีนจิตตชาดกที่ 6

อรรถกถาอลีนจิตตชาดกที่ 6



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุคลายความเพียรรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า อลีนจิตฺตํ นิสฺสาย ดังนี้.
เรื่องราวจักมีแจ้งในสังวรชาดกในเอกาทสกนิบาต. ภิกษุ
นั้นเมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุได้ยินว่า เธอคลาย
ความเพียรจริงหรือ กราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า.

ลำดับนั้นพระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ เมื่อ
ก่อนเธอได้ทำความเพียรยึดเอาราชสมบัติในกรุงพาราณสี
ประมาณ 12 โยชน์ ถวายราชกุมารหนุ่มเช่นกับชิ้นเนื้อมิใช่หรือ.
เหตุไรในบัดนี้ เธอบวชในพระศาสนาเห็นปานนี้ จึงคลายความ
เพียรเสียเล่า แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า
ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ
ในกรุงพาราณสี ได้มีบ้านช่างไม้อยู่ไม่ห่างจากกรุงพาราณสี.
พวกช่างไม้ 500 คน อาศัยอยู่ ณ ที่นั้น พวกเขาเดินเรือขึ้น
เหนือน้ำแล้วพากันเข้าไปในป่า. ตัดฟันไม้เครื่องเรือนปรุง
ปราสาทต่างชนิด มีพื้นชั้นเดียวและสองชั้นเป็นต้น ณ ที่นั้นเอง
แล้วทำเครื่องหมายไว้ในไม้ทุกชิ้น ตั้งแต่เสา ขนไปยังฝั่งแม่น้ำ
บรรทุกเรือล่องมาถึงพระนครตามกระแสน้ำ ผู้ใดต้องการเรือน
ชนิดใดก็ปรุงเรือนชนิดนั้นแก่ผู้นั้น แล้วรับเอากหาปณะกลับไป
ขนเครื่องเรือนในที่นั้นมาอีก. เมื่อเขาเลี้ยงชีวิตอยู่อย่างนี้ คราว
หนึ่งเมื่อเขาตั้งค่ายตัดฟันไม้อยู่ในป่า ในที่ไม่ไกลนักมีช้างตัวหนึ่ง
เหยียบตอตะเคียนเข้า. ตอได้แทงเท้าช้างเข้า มันเจ็บปวดเป็น
กำลัง. เท้าบวมกลัดหนอง. ช้างได้รับทุกขเวทนาสาหัส ได้ยิน
เสียงตัดฟันไม้ของพวกช่างไม้ จึงหมายใจว่าเราจักมีความสวัสดี
เพราะอาศัยพวกช่างไม้เหล่านี้ แล้วเดินสามเท้าเข้าไปหาเขา
หมอบลงใกล้ ๆ. ช่างไม้เห็นช้างมีเท้าบวม จึงตรงเข้าไปใกล้
พบตออยู่ที่เท้าแล้วใช้มีดที่คมกรีดรอบตอ ใช้เชือกดึงตอออก

บีบหนอง เอาน้ำอุ่นชะ ไม่นานนักที่พวกเขารักษาแผลให้หาย
ด้วยใช้ยาที่ถูกต้อง. ช้างหายเจ็บปวดจึงคิดว่า เราได้ชีวิต เพราะ
อาศัยช่างไม้เหล่านี้ เราควรช่วยเหลือตอบแทนเขา. ตั้งแต่นั้นมา
เมื่อช่างไม้นำไม้มาถาก ช้างก็ช่วยพลิกให้ส่งเครื่องมือมีมีดเป็นต้น
ให้กับพวกช่างไม้. มันใช้งวงพันจับปลายเชือกสายบรรทัด.
ในเวลาบริโภคอาหาร พวกช่างไม้ต่างก็ให้ก้อนข้าวแก่มัน
คนละปั้น ให้ถึง 500 ปั้น. อนึ่งช้างนั้นมีลูกขาวปลอด เป็น
ลูกช้างอาชาไนย. เพราะเหตุนั้นมันจึงคิดว่า เวลานี้เราก็แก่เฒ่า
เราควรให้ลูกแก่ช่างไม้เหล่านี้. เพื่อทำงานแทนเราแล้วเข้าป่าไป.
ช้างนั้นมิได้บอกแก่พวกช่างไม้เข้าป่านำลูกมากกล่าวว่า ช้างน้อย
เชือกนี้เป็นลูกของข้าพเจ้า พวกท่านได้ช่วยชีวิตของข้าพเจ้าไว้
ข้าพเจ้าขอให้ลูกนี้เป็นบำเหน็จค่าหมอของพวกท่าน ตั้งแต่นี้ไป
ลูกนี้จักทำการงานให้พวกท่าน แล้วจึงสอนลูกว่า ดูก่อนเจ้า
ลูกน้อย ตั้งแต่นี้ไปเจ้าจงทำการงานแทนเรา ครั้นมอบลูกน้อย
ให้พวกช่างไม้แล้ว ตัวเองก็เข้าป่าไป. ตั้งแต่นั้นมา ลูกช้างก็
ทำตามคำของพวกช่างไม้ เป็นสัตว์ว่านอนสอนง่าย กระทำกิจการ
ทั่วไป. แม้พวกช่างไม้ก็เลี้ยงดูลูกช้างน้อยด้วยอาหาร 500 ปั้น
ลูกช้างน้อยทำงานเสร็จแล้วก็ลงแม่น้ำอาบเล่นแล้วก็กลับ. พวก
เด็กช่างไม้ก็จับลูกช้างน้อยที่งวงเป็นต้น เล่นกับลูกช้างทั้งในน้ำ
และบนบก. ธรรมดาชาติอาชาไนยทั้งหลาย จะเป็นช้างก็ตาม
ม้าก็ตาม คนก็ตาม ย่อมไม่ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะลงในน้ำ

เพราะฉะนั้นลูกช้างนั้นจึงไม่ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะลงในน้ำ
ถ่ายแต่ริมฝั่งแม่น้ำภายนอกเท่านั้น. อยู่มาวันหนึ่ง ฝนตกลงมา
เหนือแม่น้ำ. ถูกช้างที่แห้งก็ไปสู่แม่น้ำ ได้ติดอยู่ที่พุ่มไม้
แห่งหนึ่งที่ท่ากรุงพาราณสี. ครั้งนั้นพวกควาญช้างของพระราชา
นำช้าง 500 เชือกไปด้วยประสงค์จะให้อาบน้ำ. ช้างเหล่านั้น
ได้กลิ่นคูถของช้างอาชาไนยเข้า จึงไม่กล้าลงแม่น้ำสักตัวเดียว
ชูหางพากันหนีไปทั้งหมด. พวกควาญช้างจึงแจ้งเรื่องแก่นาย
หัตถาจารย์. พวกเขาคิดกันว่าในน้ำต้องมีอันตราย จึงทำความ
สะอาดน้ำเห็นคูถช้างอาชาไนยติดอยู่ที่พุ่มไม้ ก็รู้ว่านี่เองเป็นเหตุ
ในเรื่องนี้ จึงให้นำถาดมาใส่น้ำขยำคูถลงในถาดนั้นแล้วให้รด
จนทั่วตัวช้างทั้งหลาย. ตัวช้างก็มีกลิ่นหอม. ช้างเหล่านั้นจึง
ลงอาบน้ำกันได้. นายหัตถาจารย์ทูลเล่าเรื่องราวนั้นแด่พระราชา
แล้วกราบทูลว่า ขอเดชะพระองค์ควรสืบหาช้างอาชาไนยนั้น
นำมาเถิดพระเจ้าข้า.
พระราชาเสด็จสู่แม่น้ำด้วยเรือขนาน เมื่อเรือขนานแล่น
ไปถึงตอนบน ก็บรรลุถึงที่อยู่ของพวกช่างไม้. ลูกช้างกำลัง
เล่นน้ำอยู่ได้ยินเสียงกลอง จึงกลับไปยืนอยู่กับพวกช่างไม้.
พวกช่างไม้ถวายการต้อนรับพระราชาแล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ
หากพระองค์มีพระประสงค์ด้วยไม้ เหตุไรต้องเสด็จมา จะทรง
ส่งคนให้ขนไปไม่ควรหรือพระเจ้าข้า. พระราชารับสั่ง นี่แน่
พนาย เรามิได้มาเพื่อประสงค์ไม้ดอก แต่เรามาเพื่อต้องการช้าง

เชือกนี้. พวกช่างไม้กราบทูลว่า ขอเดชะโปรดให้จับไปเถิด
พระเจ้าข้า. ลูกช้างไม่ปรารถนาจะไป. พระราชารับสั่งถามว่า
ช้างจะให้ทำอย่างไรเล่า พนาย. พวกเขากราบทูลว่า ขอเดชะ
ช้างจะให้พระราชทานค่าเลี้ยงดูแก่ช่างไม้พระเจ้าข้า. พระราชา
รับสั่งว่า ตกลงพนาย แล้วโปรดให้วางกหาปณะลงที่เท้าช้าง
ทั้ง 4 ข้าง ที่งวงและที่หางแห่งละแสนกหาปณะ แม้เพียงนี้
ช้างก็ไม่ไป ครั้นพระราชทานผ้าคู่แก่ช่างไม้ทั้งหมด พระราชทาน
ผ้าสาฎกสำหรับทั้งนุ่งแก่ภรรยาช่างไม้ แม้เพียงนี้ก็ไม่ไป ต่อเมื่อ
พระราชทานเครื่องบริหารสำหรับเด็ก แก่เด็กชายหญิงที่เล่น
อยู่ด้วยกัน ลูกช้างจึงเหลียวไปดูพวกช่าง เหล่าสตรีและพวกเด็ก
แล้วเดินไปกับพระราชา. พระราชาทรงพาไปถึงพระนคร รับสั่ง
ให้ประดับพระนครและโรงช้าง ทรงให้ช้างกระทำปทักษิณ
พระนคร แล้วให้เข้าไปโรงช้าง ทรงประดับด้วยเครื่องประดับ
ทั้งปวง ทรงทำการอภิเษกยกขึ้นเป็นราชพาหนะ ทรงตั้งไว้ใน
ฐานะเป็นสหายของพระองค์ พระราชทานราชสมบัติกึ่งหนึ่ง
แก่ช้าง ได้ทรงกระทำการเลี้ยงดูเสมอด้วยพระองค์. ตั้งแต่ช้าง
มา ราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้น ได้ตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์
ของพระราชาทั้งสิ้นเชิง.
ครั้นกาลเวลาผ่านไปอย่างนี้ พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิ
ในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชาพระองค์นั้น. ใน
เวลาที่พระนางทรงครรภ์แก่ พระราชาได้สวรรคตเสียแล้ว.

หากพญาช้างพึงรู้ว่าพระราชาได้สวรรคตเสียแล้ว หัวใจของ
พญาช้างก็จะต้องแตกทำลายไป ณ ที่นั้นเอง. ดังนั้นพวกคนเลี้ยง
ช้างจึงบํารุงมิให้พญาช้างรู้ว่า พระราชาได้สวรรคตเสียแล้ว.
ฝ่ายพระเจ้ากรุงโกศล ซึ่งมีพระราชอาณาจักรใกล้เคียงกัน
ทรงสดับข่าวว่า พระราชาสวรรคตแล้ว ทรงดำริว่า นัยว่า
ราชสมบัติกรุงพาราณสีว่างผู้ครอง จึงยกกองทัพใหญ่ล้อม
พระนคร. ชาวพระนครพากันปิดประตูเมือง ส่งสาส์นถวาย
พระเจ้ากรุงโกศลว่า พระอัครมเหสีของพระราชาของพวก
ข้าพเจ้าทรงครรภ์แก่. พวกโหรทํานายว่า จากนี้ไปเจ็ดวัน
พระอัครมเหสีจักคลอดพระโอรส พวกข้าพเจ้าจักขอรบในวันที่
เจ็ด จักไม่มอบราชสมบัติให้ ขอได้โปรดทรงรอไว้ชั่วเวลา
เพียงเท่านี้. พระเจ้ากรุงโกศลทรงรับว่า ตกลง ครั้นถึงวันที่เจ็ด
พระเทวีประสูติพระโอรส. ก็ในวันขนานพระนาม มหาชนได้
ขนานพระนามพระโอรสว่า อลีนจิตตราชกุมาร เพราะพระโอรส
ทรงบันดาลให้จิตท้อแท้ของมหาชนมีขวัญดีขึ้น. ตั้งแต่วันที่เจ็ด
พระโอรสประสูติ ชาวพระนครของพระองค์ก็สู้รบกับพระเจ้า
กรุงโกศล. เพราะขาดผู้นำ แม้จะมีกำลังต่อสู้มากมายเพียงไร
เมื่อต่อสู้ไปก็ถอยกำลังลงทีละน้อย ๆ. พวกอำมาตย์พากัน
กราบทูลความนั้นแด่พระเทวี แล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า
เมื่อกําลังลดถอยลงอย่างนี้ พวกข้าพเจ้าเกรงว่าจะแพ้สงคราม.
มงคลหัตถีสหายของพระราชา มิได้รู้ว่าพระราชาสวรรคต

พระโอรสประสูติพระเจ้ากรุงโกศลเสด็จมาทำสงคราม.
พวกข้าพเจ้าจะบอกให้พญาช้างนั้นรู้ดีไหมพระเจ้าข้า. พระเทวี
รับสั่งว่าดีแล้ว จึงตกแต่งพระโอรสให้บรรทมเหนือพระอู่บุด้วย
ภูษาเนื้อดี เสด็จลงจากปราสาท มีหมู่อำมาตย์แวดล้อม เสด็จ
ถึงโรงพญาช้างให้พระโพธิสัตว์บรรทมใกล้ ๆ พญาช้าง แล้ว
ตรัสว่า ดูก่อนพญามงคลหัตถี พระสหายของท่านสวรรคตเสีย
แล้ว พวกข้าพเจ้ามิได้บอกเพราะเกรงว่าท่านจะหัวใจแตก
ทำลาย นี่คือพระราชโอรสแห่งพระสหายของท่าน พระเจ้าโกศล
เสด็จมาล้อมพระนคร ต่อสู้กับพระโอรสของท่าน ไพร่พลหย่อน
กำลัง ท่านอย่าปล่อยให้พระโอรสของท่านตายเสียเลย จงยึด
ราชสมบัติถวายแก่เธอเถิด. ขณะนั้นพญามงคลหัตถีก็เอางวง
ลูบคลำพระโพธิสัตว์ แล้วยกขึ้นประดิษฐานไว้เหนือกระพอง
ร้องไห้คร่ำครวญ แล้วางวางพระโพธิสัตว์ให้บรรทมบนพระหัตถ์
ของพระเทวี แล้วออกจากโรงช้างไป หมายใจว่าจักจับพระเจ้า
กรุงโกศล. ลำดับนั้นพวกอำมาตย์จึงสวมเกราะ ตกแต่งพญาช้าง
เปิดประตูพระนคร พากันห้อมล้อมพญาช้างนั้นออกไป. พญา-
มงคลหัตถีครั้นออกจากพระนครแล้ว ก็แผดเสียงโกญจนาถ
ยังมหาชนให้หวาดสะดุ้งพากันหนีทำลายค่ายข้าศึก คว้าพระเมาลี
พระเจ้ากรุงโกศลไว้ได้แล้วพามาให้หมอบลง ณ บาทมูลของ
พระโพธิสัตว์ ครั้นหมู่ทหารเข้ารุมล้อมเพื่อฆ่าพระเจ้ากรุงโกศล
พญาช้างก็ห้ามเสียแล้วถวายโอวาทว่า ตั้งแต่นี้ไปพระองค์อย่า

ประมาท อย่าสำคัญว่าพระกุมารนี้ยังเป็นเด็ก แล้วจึงกลับไป-
ตั้งแต่นั้นมาราชสมบัติทั่วชมพูทวีป ก็ตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์
ของพระโพธิสัตว์. ขึ้นชื่อว่าข้าศึกปัจจามิตรอื่น ๆ ไม่สามารถ
จะเผชิญได้เลย.
พระโพธิสัตว์ได้รับการอภิเษกในเมื่อพระชนม์ได้ 7
พระพรรษา ทรงพระนามว่า อลีนจิตตราช ทรงปกครองราช-
สมบัติโดยธรรม ทรงบำเพ็ญทางไปสวรรค์จนวาระสุดท้าย
พระชนม์ชีพ.
พระศาสดาทรงนำอดีตนี้มา เมื่อทรงบรรลุพระสัมมา-
สัมโพธิญาณ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
เสนาหมู่ใหญ่อาศัยเจ้าอลีนจิต มีใจรื่นเริง
ได้จับเป็นพระเจ้าโกศล ผู้ไม่ทรงอิ่มด้วยราช-
สมบัติฉันใด.

ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยกัลยาณมิตรเป็นที่
พึ่งอาศัย ปรารภความเพียรเจริญกุศลธรรม เพื่อ
บรรลุนิพพานอันเกษมจากโยคะ พึงบรรลุธรรม
เป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวงโดยลำดับ ก็
ฉันนั้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อลีนจิตฺตํ นิสฺสาย ได้แก่อาศัย
พระอลีนจิตราชกุมาร. บทว่า ปหฏฺฐา มหตี จมู ความว่า เสนา

หมู่ใหญ่ต่างพากันรื่นเริงยินดีว่า เราได้ราชสมบัติสืบสายราช-
ประเพณีคืนมาแล้ว. บทว่า โกสลํ เสนาสนฺตฺฏฺฐํ พระเจ้ากรุง-
โกศล ผู้ไม่ทรงอิ่มด้วยราชสมบัติของพระองค์ เสด็จมาด้วย
ทรงโลภในราชสมบัติของผูอื่น. บทว่า ชีวคาหํ อคาหยิ ความว่า
เสนานั้นขอให้พญาช้างจับเป็นพระราชาอย่าฆ่า. บทว่า เอวํ
นิสฺสยสมฺปนฺโน
ความว่า เสนานั้นฉันใด กุลบุตรแม้อื่นซึ่ง
สมบูรณ์ด้วยนิสัยได้กัลยาณมิตรซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าก็ดี สาวก
ของพระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี ให้เป็นที่พึ่งอาศัย
ก็ฉันนั้น. บทว่า ภิกขุ นี้เป็นชื่อของผู้บริสุทธิ์. บทว่า อารทฺธวีริโย
ได้แก่ เป็นผู้ประคองความเพียร คือประกอบด้วยความเพียรอัน
ปราศจากโทษสี่ประการ. บทว่า ภาวยํ กุสลํ ธมฺมํ ความว่า
เมื่อเจริญธรรมอันเป็นกุศล คือ ไม่มีอาลัย ได้แก่ โพธิปักขิยธรรม
37 ประการ. บทว่า โยคกฺเขมสฺส ปตฺติยา ได้แก่ เจริญธรรม
นั้นเพื่อบรรลุนิพพานอันเกษมจากโยคะ 4. บทว่า ปาปุเณ
อนุปุพฺเพ สพฺพสํโยชนกฺขยํ
ความว่า ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วย
อุปนิสัยอันเป็นกัลยาณมิตรนั้น เมื่อเจริญกุศลธรรมนี้ ตั้งแต่การ
เห็นแจ้งอย่างนี้ ก็จะบรรลุวิปัสสนาญาณโดยลำดับ และมรรคผล
เบื้องต่ำ ในที่สุดย่อมบรรลุพระอรหัต กล่าวคือการสิ้นสังโยชน์
ทั้งหมด เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในที่สุดแห่งความสิ้นไปของ
สังโยชน์ 10. อนึ่งเพราะสังโยชน์ทั้งหมดสิ้นไป เพราะอาศัย
พระนิพพาน ฉะนั้น พระนิพพานนั้นก็เป็นอันสิ้นสังโยชน์ทั้งหมด.

อธิบายว่า ภิกษุย่อมบรรลุความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งหมด อัน
ได้แก่พระนิพพานด้วยประการฉะนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรวบยอดแห่งพระธรรมเทศนา
ด้วยอมตมหานิพพาน ด้วยประการฉะนี้แล้ว จึงทรงประกาศ
สัจธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วจึงทรงประชุมชาดก.
ในเมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้คลายความเพียร ได้บรรลุ
พระอรหัต. พระมารดาในครั้งนั้นได้เป็นพระมหามายา. พระบิดา
ได้เป็นพระเจ้าสุทโธทนมหาราช. พญาช้างซึ่งช่วยให้ได้ราช-
สมบัติ ได้เป็นภิกษุผู้คลายความเพียรรูปนี้. บิดาของพญาช้าง
ได้เป็นสาริบุตร. ส่วนอลีนจิตตราชกุมาร ได้เป็นเราตถาคต
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอลีนจิตตชาดกที่ 6

7. คุณชาดก



ว่าด้วยมิตรธรรม


[163] ผู้เป็นใหญ่ย่อมขับไล่ผู้น้อยได้ตามความ
ต้องการของตน นี่เป็นธรรมดาของผู้มีกำลัง นาง
มฤคีผู้มีฟันคมแหลมของท่านได้คุกคามบุตรและ
ภรรยาของเรา ขอท่านจงทราบเถิด ภัยเกิดแต่ที่
พึ่งแล้ว
[164] ถ้าผู้ใดเป็นมิตรแม้จะมีกำลังน้อย แต่ตั้ง
อยู่ในมิตรธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเป็นญาติ เป็นเผ่าพันธุ์
เป็นมิตรและเป็นสหายของเรา และนางมฤคี
ท่านอย่าดูหมิ่นสหายของเราอีกนะ เพราะว่า
สุนัขจิ้งจอกตัวนี้ให้ชีวิตเราไว้.

จบ คุณชาดกที่ 7

อรรถกถาคุณชาดกที่ 7



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภ
พระอานนทเถระได้ผ้าสาฎกพันผืน ตรัสพระธรรมเทศนานี้มี
คำเริ่มต้นว่า เยน กามํ ปณาเมติ ดังนี้.