เมนู

6. วลาหกกัสสชาดก



ว่าด้วยความสวัสดี


[241] นรชนเหล่าใดไม่ทำตามโอวาทอันพระ-
พุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว นรชนเหล่านั้นจักต้อง
ถึงความพินาศ เหมือนพ่อค้าทั้งหลายถูกนาง
ผีเสื้อหลอกลวงให้อยู่ในอำนาจ ฉะนั้น.
[242] นรชนเหล่าใด ทำตามโอวาทอันพระ-
พุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว นรชนเหล่านั้นจักถึงฝั่ง
สวัสดีดุจพ่อค้าทั้งหลายทำตามถ้อยคำอันม้า-
วลาหกกล่าวแล้ว ฉะนั้น.

จบ วลาหกัสสชาดกที่ 6

อรรถกถาวลาหกัสสชาดกที่ 6



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า เย น กาหนฺติ โอวาทํ ดังนี้.
ความย่อมีอยู่ว่า ภิกษุนั้นเมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุเธอกระสันจริงหรือ กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า
ตรัสถามว่า เพราะเหตุไร กราบทูลว่า เพราะเห็นมาตุคามแต่งตัว

งดงามคนหนึ่ง จึงกระสันด้วยอำนาจกิเลส. ลำดับนั้นพระศาสดา
ตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ธรรมดาหญิงเหล่านี้ เล้าโลม
ชายด้วย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และด้วยมารยาหญิง
กระทำให้อยู่ในอำนาจของตน เขาเรียกว่านางยักษิณี เพราะ
เล้าโลมชายด้วยกรีดกราย ครั้นรู้ว่าชายนั้นตกอยู่ในอำนาจแล้ว
ก็จะให้ถึงความพินาศแห่งศีล และความพินาศแห่งขนบประเพณี
จริงอยู่ แม้แต่ก่อนพวกนางยักษิณีเข้าไปหาพวกผู้ชายหมู่หนึ่ง
ด้วยมารยาหญิง แล้วเล้าโลมพวกพ่อค้าทำให้อยู่ในอำนาจของ
ตน ครั้นเห็นชายอื่นอีก ก็ฆ่าพวกพ่อค้าเหล่านั้นทั้งหมดให้ถึง
แก่ความตาย เคี้ยวกินหมุบ ๆ ทั้งมีเลือดไหลออกจากด้านคาง
ทั้งสองข้าง แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาลที่เกาะตามพปัณณิ มีเมืองยักษ์ชื่อ สิริสวัตถุ.
พวกนางยักษิณีอาศัยอยู่ในเมืองนั้น. ในเวลาที่พวกพ่อค้าเรือ
อับปาง นางยักษิณีเหล่านั้น ก็พากันประดับตกแต่งร่างกาย
ให้ถือของเคี้ยวของบริโภค มีหมู่ทาสีแวดล้อม อุ้มทารกเข้าไป
หาพวกพ่อค้าเพื่อให้คนเหล่านั้นทราบว่า พวกเราก็มาที่อยู่ของ
มนุษย์ จึงแสดงกิจเป็นต้นว่า พวกมนุษย์ ฝูงโค สุนัข กำลัง
ทำกสิกรรม โครักขกรรม เป็นต้นในที่นั้น ๆ แล้วเข้าไปหา
พวกพ่อค้ากล่าวว่า เชิญดื่มข้าวยาคูนี้ เชิญบริโภคอาหารนี้
เชิญเคี้ยวของเคี้ยวนี้. พวกพ่อค้าที่ไหวพริบ บริโภคอาหาร
ที่นางยักษิณีเหล่านั้นให้แล้ว ๆ. ครั้นถึงเวลาที่พวกเขาเคี้ยว

บริโภคดื่มเสร็จแล้วพักผ่อน ยักษิณีจึงถามว่า พวกท่านอยู่ที่ไหน
มาจากไหน จะไปไหน มาทำอะไรที่นี่ เมื่อพวกพ่อค้าตอบว่า
พวกเราเรืออับปาง จึงพากันมาที่นี่ นางยักษิณีกล่าวว่า ดีละ
พ่อคุณ แม้สามีของพวกเราก็ขึ้นเรือไป ล่วงไปสามเดือนแล้ว
ชะรอยเขาจักตายกันหมด แม้พวกท่านก็เป็นพ่อค้าเหมือนกัน
พวกเราจะเป็นหญิงรับใช้พวกท่าน แล้วเล้าโลมพวกพ่อค้า
เหล่านั้นด้วยมารยาหัวเราะและจริตของสตรี พาไปเมืองยักษ์
หากมีพวกมนุษย์ที่ถูกจับไปไว้ก่อน ก็จองจำมนุษย์เหล่านั้น
ด้วยโซ่กายสิทธิ์ขังไว้ในห้องคุมขัง กระทำมนุษย์ที่จับได้ภายหลัง
ให้เป็นสามีของตน แต่เมื่อไม่ได้มนุษย์เรืออับปางในที่พักของ
ตน ก็เที่ยววนเวียนอยู่ฝั่งสมุทร คือเกาะไม้ขานางฝั่งโน้น เกาะ
ไม้กากะทิงฝั่งนี้. นี่เป็นธรรมดาของพวกยักษิณี.
อยู่มาวันหนึ่ง พ่อค้าเรืออับปาง 500 พากันขึ้นไปใกล้
เมืองของยักษิณี. ยักษิณีเหล่านั้นจึงไปหาพวกพ่อค้าเล้าโลม
แล้วนำมาเมืองยักษ์ ล่ามพวกมนุษย์ที่จับไว้ครั้งแรกด้วยโซ่
กายสิทธิ์ขังไว้ในที่คุมขัง หัวหน้านางยักษิณีก็ให้หัวหน้าพ่อค้า
เป็นสามี ยักษิณีที่เหลือก็ให้พ่อค้านอกนั้นเป็นสามี เป็นอัน
ยักษิณี 500 ได้ทำให้พ่อค้า 500 เป็นสามีของตนด้วยประการ
ฉะนี้.
ต่อมานางยักษิณีหัวหน้านั้น ครั้นเวลากลางคืน เมื่อ
พ่อค้าหลับ จึงลุกขึ้นไปฆ่ามนุษย์ทั้งหลายในเรือนคุมขัง กินเนื้อ

เสร็จแล้วก็กลับมา. แม้ยักษิณีที่เหลือก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน.
ในเวลาที่หัวหน้ายักษิณีกินเนื้อมนุษย์แล้วกลับมาร่างกายมักเย็น.
หัวหน้าพ่อค้าคอยสังเกตอยู่ ครั้นรู้ว่ามันเป็นยักษิณี จึงรำพึง
ต่อไปว่า หญิง 500 เหล่านี้ น่าจะเป็นยักษิณี พวกเราควรจะ
หนีไปเสีย รุ่งเช้าเดินไปเพื่อล้างหน้า จึงบอกแก่พวกพ่อค้าว่า
หญิงเหล่านี้เป็นยักษิณี มิใช่หญิงมนุษย์ ในเวลาที่พวกอื่นเรือ
อับปางมา พวกมันจะให้คนเหล่านั้นเป็นสามีมันแล้วก็กินพวกเรา
เสีย. มาเถิดพวกเราพากันหนีไปเถิด. ในพวกพ่อค้าเหล่านั้น
พ่อค้าสองร้อยห้าสิบคนกล่าวว่า เราไม่อาจละทิ้งหญิงเหล่านี้
ไปได้ดอก พวกท่านไปกันเถิด พวกเราจักไม่หนีไปละ. หัวหน้า
พ่อค้าก็พาพวกพ่อค้าสองร้อยห้าสิบคน ซึ่งเชื่อฟังคำของตน
กลัวยักษิณีเหล่านั้นหนีไป. ก็ในเวลานั้นพระโพธิสัตว์บังเกิด
ในกำเนิดม้าวลาหก. ม้านั้นมีสีขาวปลอด มีศีรษะเหมือนกา
ผมเป็นปอย มีฤทธิ์เหาะเหินได้. ม้าวลาหกนั้นเหาะมาจากเขา
หิมพานต์ไปยังเกาะตามพปัณณิ บริโภคข้าวสาลีที่เกิดเองใน
เปือกตม ใกล้สระตามพปัณณินั้น แล้วกลับไป. อนึ่ง เมื่อเหาะไป
นั้นก็พูดเป็นภาษามนุษย์ ซึ่งได้อบรมมาด้วยความกรุณาสามครั้ง
ว่า มีผู้ประสงค์จะไปชนบทไหม มีผู้ประสงค์จะไปชนบทไหม
มีผู้ประสงค์จะไปชนบทไหม. พวกพ่อค้าเหล่านั้นได้ยินคำของ
ม้านั้น จึงพากันเข้าไปหาประคองอัญชลี กล่าวว่า พวกข้าพเจ้า
จักไปชนบท. ม้าบอกว่า ถ้าเช่นนั้น จงขึ้นหลังเราเถิด. ครั้นแล้ว

พ่อค้าบางพวกก็ขึ้นหลัง. บางพวกก็จับหาง. บางพวกยืนประคอง
อัญชลี. พระโพธิสัตว์จึงพาพวกพ่อค้าทั้งหมด แม้ที่สุดพวกที่
ยืนประคองอัญชลีไปสู่ชนบท ด้วยอานุภาพของตน ให้ทุกคนอยู่
ในที่ของตน ๆ แล้วก็ไปที่อยู่ของตน. นางยักษิณีเหล่านั้นใน
เวลาที่พวกอื่นมาถึงก็ฆ่ามนุษย์สองร้อยห้าสิบคนที่ทิ้งไว้ในที่นั้น
กินเสีย.
พระศาสดา ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย พวกพ่อค้าที่ตกอยู่ในอำนาจของยักษิณีได้สิ้น
ชีวิตลง พวกที่เชื่อคำของพญาม้าวลาหก ก็กลับไปอยู่ในที่ของตน ๆ
ฉันใด. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งไม่ทำตามโอวาท
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมถึงความทุกข์
ใหญ่ในอบายสี่ เป็นต้นว่า เครื่องจองจำห้าประการ และเครื่อง
กรรมกรณ์ ส่วนผู้ที่เชื่อฟังโอวาทย่อมบรรลุฐานะเหล่านี้ คือ
กุลสมบัติ 3 สวรรค์ชั้นกามาพจร 6 พรหมโลก 20 แล้วทำ
ให้แจ้งอมตมหานฤพาน เสวยสุขเป็นอันมาก ครั้นพระองค์ตรัสรู้
อภิสัมโพธิญาณแล้ว จึงตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :-
นรชนเหล่าใดไม่ทำตามโอวาทที่พระ-
พุทธเจ้าตรัสไว้ นรชนเหล่านั้นจักต้องถึงความ
พินาศ เหมือนพ่อค้าทั้งหลายถูกนางผีเสื้อหลอก
ลวงให้อยู่ในอำนาจฉะนั้น.

นรชนเหล่าใด ทำตามโอวาทอันพระ-
พุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว นรชนเหล่านั้นจักถึงฝั่ง
สวัสดี ดุจพ่อค้าทั้งหลาย ทำตามถ้อยคำที่ม้า-
วลาหกกล่าวแล้ว ฉะนั้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า เย น กาหนฺติ คือ ชนเหล่าใด
ไม่เชื่อคำสอน. บทว่า พฺยสนํ เต คมิสฺสนฺติ ได้แก่ ชนเหล่านั้น
จักถึงมหาพินาศ. บทว่า รกฺขสีหิว วาณิชา ได้แก่ เหมือนพ่อค้า
ที่ถูกนางยักษิณีเล้าโลมฉะนั้น. บทว่า โสตฺถิปารํ คมิสฺสนฺติ
ได้แก่ จักถึงพระนิพพานโดยไม่มีอันตราย. บทว่า วลาเหเนว
วาณิชา ได้แก่ เหมือนพ่อค้าที่ม้าวลาหกกล่าวว่า จงมาเถิด
ก็เชื่อฟังม้านั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอายอดแห่งพระธรรมเทศนา
ด้วยอมตมหานฤพานว่า ชนทั้งหลายผู้เชื่อฟังคำสอนของพระ-
พุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมถึงนิพพานอันเป็นฝั่งแห่งสงสารเหมือน
พ่อค้าเหล่านั้น ไปถึงฝั่งแห่งมหาสมุทรแล้วก็ได้ไปในที่ของตน ๆ.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจธรรม ทรงประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสัน
ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. ภิกษุอื่นหลายรูปได้บรรลุโสดาปัตติผล
สกิทาคามิผล อนาคามิผลและอรหัตผล. พ่อค้าสองร้อยห้าสิบ

คนที่เชื่อฟังคำของม้าวลาหกในครั้งนั้นได้เป็นพุทธบริษัทในครั้ง
นี้. ส่วนพญาม้าวลาหก คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาวลาหกัสสชาดกที่ 6

7. มิตตามิตตชาดก



อาการของผู้เป็นมิตรและมิใช่มิตร


[243] ศัตรูเห็นเข้าแล้วไม่ยิ้มแย้ม ไม่แสดง
ความยินดีตอบ สบตากันแล้วเบือนหน้าหนีไม่
แลดูประพฤติตรงกันข้ามเสมอ.
[244] อาการเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในศัตรู เป็น
เครื่องให้บัณฑิตเห็นและได้ฟังแล้ว พึงรู้ได้ว่า
เป็นศัตรู.

จบ มิตตามิตตชาดกที่ 7

อรรถกถามิตตามิตตชาดกที่ 7



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี ทรงปรารภ
ภิกษุรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า น นํ
อุมฺหยเต ทิสฺวา
ดังนี้.
ภิกษุรูปหนึ่งถือเอาเศษผ้าผืนหนึ่งด้วยความวิสาสะที่
พระอุปัชฌายะวางไว้ ด้วยคิดว่า เมื่อเราถือเอาแล้ว พระอุปัชฌายะ
ของเราจะไม่โกรธ แล้วทำเป็นถุงใส่รองเท้า ภายหลังจึงบอก
พระอุปัชฌายะ. ครั้นพระอุปัชฌายะถามภิกษุนั้นว่า เพราะเหตุ
ใดท่านจึงถือเอา เมื่อภิกษุนั้นตอบว่า ถือเอาโดยวิสาสะของ