เมนู

9 . อรกชาดก



ว่าด้วยการแผ่เมตตา


[187] ผู้ใดแล ย่อมอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งปวง
ด้วยจิตเมตตาหาประมาณมิได้ ทั้งเบื้องบน เบื้อง
ต่ำและเบื้องขวาง โดยประการทั้งปวง.
[188] จิตเกื้อกูลหาประมาณมิได้ เป็นจิตบริบูรณ์
อันผู้นั้นอบรมดีแล้ว กรรมใดที่เขาทำแล้วพอ
ประมาณ กรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ในจิตนั้น

.
จบ อรรถกถาชาดกที่ 9

อรรถกถาชาดกที่ 9



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภ
เมตตสูตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า โย เว เมตฺเตน
จิตฺเตน
ดังนี้.
สมัยหนึ่งพระศาสดาตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อได้ส้องเสพเจริญเมตตาเจโตวิมุตติทำให้
มาก ทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ไม่ให้ฟุ้งซ่าน สั่งสม
เริ่มไว้ด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ 11 ประการ คือ หลับเป็นสุข 1
ตื่นเป็นสุข 1 ไม่ฝันร้าย 1 เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย 1 เป็น

ที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย 1 เทวดาย่อมรักษา 1 ไฟ ยาพิษ
ศัสตรา ไม่ล่วงเกิน 1 จิตได้สมาธิเร็ว 1 สีหน้าผ่องใส 1 ไม่หลง
ทำกาลกิริยา 1 เมื่อยังไม่บรรลุ ย่อมเข้าถึงพรหมโลกชั้นสูง 1
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อได้ส้องเสพอบรมเมตตาเจโตวิมุตติ ฯเปฯ
สั่งสมไว้ด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ 11 ประการเหล่านี้ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุพึงอบรมเมตตาภาวนาซึ่งยึดอานิสงส์
11 ประการเหล่านี้ เจริญเมตตาไปในสัตว์ทุกชนิด โดยเจาะจง
และไม่เจาะจง พึงมีจิตเกื้อกูลแผ่ไปยังสัตว์ทั้งที่มีจิตเกื้อกูล
พึงมีจิตเกื้อกูลแผ่ไปยังสัตว์ทั้งที่ไม่มีจิตเกื้อกูล พึงมีจิตเกื้อกูล
แผ่ไปยังสัตว์ทั้งที่มีอารมณ์เป็นกลาง พึงเจริญเมตตาในสรรพสัตว์
โดยเจาะจงและไม่เจาะจงอย่างนี้ พึงเจริญ กรุณา มุทิตา อุเบกขา
พึงปฏิบัติในพรหมวิหาร 4 เพราะเมื่อทำอย่างนี้ แม้ไม่ได้มรรค
หรือผล ก็ยังมีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า. แม้โบราณก-
บัณฑิตทั้งหลาย เจริญเมตตาตลอด 7 ปี แล้วสถิตอยู่ในพรหม-
โลกนั่นเอง ตลอด 7 สังวัฏฏกัปและวิวัฏฏกัป แล้วทรงนำเรื่อง
ในอดีตมาเล่า.
ในอดีตกาล ในกัปหนึ่งพระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูล
พราหมณ์ ครั้นเจริญวัยจึงละกามสุขบวชเป็นฤาษี เป็นครูชื่อ
อรกะ ได้พรหมวิหาร 9 พำนักอยู่ในหิมวันตประเทศ. ครูอรกะ
มีบริวารมาก เมื่อจะสอนหมู่ฤๅษีจึงประกาศอานิสงส์เมตตาว่า
ธรรมดาบรรพชิตควรเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

เพราะเหตุชื่อว่าจิตเมตตานี้เมื่อถึงความเป็นจิตแน่วแน่แล้ว
ย่อมให้สำเร็จทางไปพรหมโลก ดังนี้ จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
ผู้ใดแลย่อมอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งปวง
ด้วยจิตเมตตาหาประมาณมิได้ ทั้งเบื้องบน เบื้อง
ต่ำและเบื้องขวาง โดยประการทั้งปวง จิตเกื้อกูล
หาประมาณมิได้ เป็นจิตบริบูรณ์อันผู้นั้นอบรม
ดีแล้ว กรรมใดที่เขาทำแล้วพอประมาณ กรรม
นั้นจักไม่เหลืออยู่ในจิตนั้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า โย เว เมตฺเตน จิตฺเตน สพฺพโลกา-
นุกมฺปติ
. ความว่า บรรดากษัตริย์เป็นต้น หรือสมณพราหมณ์
ผู้ใดผู้หนึ่ง มีจิตเมตตาอย่างแนบแน่น ย่อมอนุเคราะห์สัตวโลก
ทั่วไป. บทว่า อุทฺธํ คือตั้งแต่เบื้องล่างของพื้นปฐพี จนถึง
พรหมโลกชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ. บทว่า อโธ คือเบื้องล่าง
ของปฐพี จนถึงอุสสทมหานรก. บทว่า ติริยํ คือในมนุษยโลก
ได้แก่ ในจักรวาลทั้งหมด อธิบายว่า เจริญเมตตาจิตอย่างนี้ว่า
ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดในที่ประมาณเท่านี้ จงอย่ามีเวร
อย่าเบียดเบียนกัน อย่ามีความคับแค้น จงมีความสุขรักษา
ตนเถิด. บทว่า อปฺปมาเณน คือชื่อว่าไม่มีประมาณเพราะยึด
สัตว์หาประมาณมิได้เป็นอารมณ์. บทว่า สพฺพโส คือโดยอาการ
ทั้งปวง. อธิบายว่า โดยอำนาจแห่งสุคติและทุคติทั้งปวงอย่างนี้
คือ เบื้องบน เบื้องล่าง และเบื้องขวาง. บทว่า อปฺปมาณํ หิตํ

จิตฺตํ ได้แก่ จิตเกื้อกูลในสรรพสัตว์ที่อบรมทำให้ไม่มีประมาณ.
บทว่า ปริปุณฺณํ คือไม่บกพร่อง. บทว่า สุภาวิตํ คือเจริญดีแล้ว.
บทนี้เป็นชื่อของจิตที่ไม่มีประมาณ. บทว่า ยํ ปมาณํ กตํ กมฺมํ
ความว่า กรรมเล็กน้อย คือกรรมเป็นกามาวจรที่อบรมแล้ว
ด้วยอำนาจเมตตาภาวนามีอารมณ์เป็นที่สุด และด้วยอำนาจ
การถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างนี้ว่า กรรมใดไม่มีประมาณ
มีอารมณ์ไม่มีประมาณ. บทว่า น ตํ ตตฺราวสิสฺสติ. ความว่า
กรรมเล็กน้อยนั้น คือกรรมเป็นรูปาวจรซึ่งนับว่า จิตอันเกื้อกูล
ไม่มีประมาณนั้นไม่เหลืออยู่ในจิตนั้น. อธิบายว่า เหมือนน้ำน้อย
ที่ถูกห้วงน้ำใหญ่ไหลบ่าเข้ามา จะถูกห้วงน้ำนั้นพัดพาไปมิได้
ย่อมไม่เหลืออยู่ คือตั้งอยู่มิได้ภายในห้วงน้ำ ที่แท้ห้วงน้ำใหญ่
หุ้มห่อน้ำนั้นไว้ฉันใด กรรมอันเล็กน้อยก็ฉันนั้น ไม่มีโอกาสแห่ง
ผลที่กรรมเป็นของใหญ่จะกำหนดยึดไว้ได้ ย่อมไม่เหลืออยู่ คือ
ไม่ดำรงอยู่ ไม่สามารถให้ผลของตน ภายในกรรมอันเป็นของ
ใหญ่นั้นได้ ที่แท้กรรมอันเป็นของใหญ่เท่านั้น ย่อมหุ้มห่อกรรม
นั้น คือให้ผล.
พระโพธิสัตว์ครั้นกล่าวถึงอานิสงส์เมตตาภาวนาแก่
อันเตวาสิกทั้งหลายอย่างนี้แล้ว เป็นผู้ไม่เสื่อมจากฌาน จึง
บังเกิดในพรหมโลก มิได้กลับมายังโลกนี้อีกตลอด 7 สังวัฏฏกัป
และวิวัฏฏกัป.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประมวลชาดก. หมู่ฤๅษีในครั้งนั้นได้เป็นพุทธบริษัทในครั้งนี้.
ส่วนครูอรกะ คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาชาดกที่ 9

10. กกัณฏกชาดก



ว่าด้วยกิ้งก่าได้ทรัพย์


[189] กิ้งก่าบนปลายเสาระเนียดนี้ ย่อมไม่
อ่อนน้อมเหมือนเมื่อวันก่อน ดูก่อนมโหสก ท่าน
จงรู้ว่ากิ้งก่ากระด้างเพราะเหตุไร.
[190] กิ้งก่ามันได้ทรัพย์กึ่งมาสกซึ่งมันไม่เคย
ได้ จึงได้ดูหมิ่นพระเจ้าวิเทหราช ผู้ครองเมือง
มิถิลา.

จบ กกัณฏกชาดกที่ 10

อรรถกถากกัณโชดกที่ 10



กกัณฏกชาดกนี้มีคำเริ่มต้นว่า นายํ ปุเร โอกฺกมติ จักมี
แจ้งในมหาอุมมังคชาดก
จบ อรรถกถากกัณฏกชาดกที่ 10