เมนู

6. กากชาดก


ว่าด้วยกาวิดน้ำด้วยปาก


[146] เออหนอ ขาตะไกรของพวกเราล้าเสีย
แล้ว และปากเล่าก็ซีดเซียว พวกเราพากันวิดอยู่
ไม่ทำให้สมุทรเหือดแห้งได้ ดูเถอะ ห้วงน้ำใหญ่
ยังคงเต็มอยู่ตามเดิม.

จบ กากชาดกที่ 6

อรรถกถากากชาดกที่ 6


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุแก่ ๆ หลายรูปด้วยกัน ตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า อปิ นุ หนุกา สนฺตา ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้น ครั้งเป็นคฤหัสถ์ เป็นกุฏุมพี
ในเมืองสาวัตถี มั่งมีทรัพย์ เป็นสหายกัน ทำบุญร่วมกัน ฟัง
พระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว พากันดำริว่า พวกเรา
เป็นคนแก่ จะมีประโยชน์อะไรแก่พวกเราด้วยการอยู่
ครองเรือน พวกเราจักบวชในพระพุทธศาสนา อันเป็นที่
น่ายินดีในสำนักของพระศาสดา จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ ดังนี้
แล้วต่างยกสมบัติทั้งปวงให้แก่ลูกหลานเป็นต้น ละหมู่ญาติผู้มี
น้ำตานองหน้าเสีย ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา และครั้นบวช

แล้ว มิได้ชักชวนกันบำเพ็ญสมณธรรม อันสมควรแก่บรรพชา
แม้พระธรรมก็ไม่ศึกษา เพราะความเป็นคนแก่ ถึงจะบวชแล้ว
ก็เหมือนในครั้งที่ยังเป็นคฤหัสถ์ ให้คนสร้างบรรณศาลาไว้
ท้ายวิหาร คงรวมกันอยู่นั่นแล แม้เมื่อเที่ยวบิณฑบาต ก็ไม่ไป
ที่อื่น โดยมากชวนกันไปฉันที่บ้านบุตรภรรยาของตนนั่นแหละ
ในบรรดาคนเหล่านั้น ภรรยาเก่าของพระเถระแก่รูปหนึ่ง ได้มี
อุปการะแก่พระเถระแก่ ๆ แม้ทั้งปวง เหตุนั้น แม้พระเถระที่เหลือ
ต่างก็ถืออาหารที่ตนได้ มานั่งฉันในเรือนของของนางเพียงผู้เดียว
ฝ่ายนางเล่า ก็ถวายต้มแกงตามที่ตนจัดไว้ แก่พระเถระเหล่านั้น
นางป่วยด้วยอาพาธอย่างหนึ่ง ทำกาละแล้ว ครั้งนั้นพระเถระ
แก่ ๆ เหล่านั้น พากันไปสู่วิหาร กอดคอกัน เที่ยวร้องไห้อยู่
ท้ายวิหารว่า อุบาสิกาผู้มีรสมืออร่อย ตายเสียแล้ว ฝ่ายภิกษุ
ทั้งหลาย ฟังเสียงของพระเถระเหล่านั้นแล้ว ก็มาประชุมกัน
จากที่ต่าง ๆ ถามว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เหตุไรพวกท่านจึง
ร้องไห้ พระเถระเหล่านั้นตอบว่า ภรรยาเก่าแห่งสหายของพวก
กระผม ผู้มีรสมืออร่อยตายเสียแล้ว นางมีอุปการะแก่พวกผม
ยิ่งนัก ที่นี้จักหาที่ไหนได้เหมือนนางเล่า เหตุนี้พวกผมจึงพากัน
ร้องไห้ ภิกษุทั้งหลายเห็นข้อวิปริตนั้นของพระเถระเหล่านั้นแล้ว
พากันยกเรื่องขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย
ด้วยเหตุชื่อนี้ พระเถระแก่ ๆ ทั้งหลาย กอดคอกันเที่ยวร้องไห้
อยู่แถวท้ายวิหาร พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?
เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุเหล่านั้นพากันเที่ยว
ร้องไห้ เพราะหญิงนั้นตายลง แม้ในครั้งก่อน ภิกษุเหล่านี้ อาศัย
หญิงนี้ ผู้เกิดในกำเนิดกา แล้วตายเสียในสมุทร ร่วมคิดกันว่า
พวกเราจักวิดน้ำในสมุทร นำนางขึ้นมาให้จงได้ ดังนี้ พากัน
เพียรพยายาม เพราะได้อาศัยบัณฑิต จึงได้มีชีวิตอยู่ได้ดังนี้แล้ว
ทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นการรักษา
สมุทร ครั้งนั้น กาตัวหนึ่ง พานางกาผู้ภรรยาของตน เที่ยวแสวง
หาเหยื่อ ได้ไปถึงฝั่งสมุทร กาลนั้นฝูงชนพากันกระทำพลีกรรม
แก่พญานาค ด้วยน้ำนม ข้าวปายาส ปลา เนื้อ และสุราเป็นต้น
แล้วพากันหลีกไป ครั้งนั้น กาตัวหนึ่ง ไปถึงที่พลีกรรม เห็น
น้ำนมเป็นต้น ก็พร้อมด้วยนางกากินน้ำนม ข้าวปายาส ปลา
และเนื้อเป็นต้น แล้วดื่มสุราเข้าไปมาก กาผัวเมียทั้งคู่ ต่าง
เมามายสุรา คิดจะเล่นสมุทรกรีฑา เกาะที่ชายหาดทราย หมายใจ
จะอาบน้ำ ทีนั้นคลื่นลูกหนึ่งซัดมา พาเอานางกาเข้าไปเสียใน
สมุทร ปลาตัวหนึ่งจึงฮุบนางกานั้น กลืนกินเสีย การ้องไห้
รำพรรณว่า เมียของเราตายเสียแล้ว ครั้นกามากด้วยกัน ได้ยิน
เสียงร่ำไห้ของมัน ก็มาประชุมกันถามว่า เจ้าร้องไห้เพราะ

เหตุไร ? มันบอกว่า หญิงสหายของพวกท่านกำลังอาบน้ำอยู่
ที่ชายหาด โดนคลื่นซัดไปเสียแล้ว กาเหล่านั้นแม้ทุกตัวก็
ร้องเอ็ดอึงเป็นเสียงเดียวกัน ครั้งนั้นฝูงกาเหล่านั้น ได้มีความคิด
ดังนี้ว่า ขึ้นชื่อว่า น้ำในสมุทรนี้ จะสำคัญกว่าพวกเราหรือ
พวกเราช่วยกันวิดน้ำให้แห้ง ค้นเอาหญิงสหายออกมาให้ได้
กาเหล่านั้น ช่วยกันอมน้ำเค็มปากทีเดียว เอาไปบ้วนทิ้งเสีย
ข้างนอก และเมื่อคอแห้งเพราะน้ำเค็มก็พากันขึ้นไปบนบก พวกมัน
ครั้นขาตะไกรล้า ปากซีด ตาแดง ก็อิดโรยไปตามกัน จึงเรียก
กันมาปรับทุกข์ว่า ชาวเราเอ๋ย พวกเราพากันอมน้ำจากสมุทร
ไปทิ้งข้างนอก ที่ที่เราอมน้ำไปแล้ว กลับเต็มไปด้วยน้ำเสียอีก
พวกเราคงไม่สามารถทำให้สมุทรแห้งเป็นแน่ ดังนี้แล้ว กล่าว
คาถานี้ ความว่า :-
"เออหนอ ขาตะไกรของพวกเราล้าเสีย
แล้ว และปากเล่าก็ซีดเซียว พวกเราพากันวิด
อยู่ ไม่ทำให้สมุทรเหือดแห้งได้ ดูเถอะ ห้วงน้ำ
ใหญ่คงเต็มอย่างเดิม"
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปิ นุ หนุกา สนฺตา ความว่า
เออ ก็คางของเราเมื่อยล้าแล้ว.
บทว่า โอรมาม น ปาเรม ความว่า พวกเราพากันอมน้ำ
จากมหาสมุทรไปทิ้งตามกำลังของตน ก็ไม่อาจทำให้เหือดแห้ง
ได้ เพราะห้วงน้ำใหญ่คงเต็มเหมือนเดิมนั่นเอง.

ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว กาเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ก็ต่าง
พูดพร่ำเพ้อมากมายว่า จะงอยปากของนางกานั้น งดงามเห็น
ปานนี้ ตากลมอย่างนี้ ผิวพรรณทรวดทรง งามระหงอย่างนี้
เสียงเพราะปานนี้ เพราะอาศัยสมุทรผู้เป็นโจรนี้ นางกาของ
พวกเรา หายไปแล้ว เทวดาประจำสมุทร สำแดงรูปน่าสะพึงกลัว
ได้ฝูงกาที่กำลังร้องรำพรรณพร่ำเพ้ออยู่อย่างนี้ ให้หนีไป ความ
สวัสดี ได้มีแก่ฝูงกานั้น ด้วยประการฉะนี้.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า นางกาในครั้งนั้น ได้มาเป็นภรรยาเก่านี้ กาได้มาเป็น
พระเถระแก่ ฝูงกาที่เหลือได้มาเป็นพระเถระแก่ ๆ ที่เหลือ
ส่วนเทวดารักษาสมุทร ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากากชาดกที่ 6

7. ปุปผรัตตชาดก


เป็นทุกข์เพราะภรรยา ไม่ได้ผ้าย้อมดอกคำ


[147] " ที่เราถูกหลาวเสียบนี้ ก็ไม่เป็นทุกข์
ที่ถูกกาจิกเล่า ก็ไม่ทุกข์ เราทุกข์อยู่แต่ว่า นาง-
ผิวทองจักไม่ได้ นุ่งห่มผ้าย้อมดอกคำ เที่ยวงาน
ประจำราตรี แห่งเดือน กัตติกา"

จบ ปุปผรัตตชาดกที่ 7

อรรถกถาปุปผรัตตชาดกที่ 7


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี
คำเริ่มต้นว่า นยํทํ ทุกฺขํ อทุํ ทุกฺขํ ดังนี้.
ความโดยย่อว่า ภิกษุนั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัส
ถามว่า ดูก่อนภิกษุ เขาว่า เธอกระสันจริงหรือ ? กราบทูลว่า
จริงพระเจ้าข้า ตรัสถามว่า กระสันเพราะเหตุไร ? กราบทูลว่า
เพราะภรรยาเก่าพระเจ้าข้า แล้วกราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ หญิงนั้นมีรสมืออร่อย ข้าพระองค์ไม่อาจจะพรากจากกัน
ได้ พระเจ้าข้า ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอว่า ดูก่อนภิกษุ
หญิงนี้เป็นผู้ทำความพินาศให้แก่เธอ แม้ในปางก่อน เพราะหญิง