เมนู

4. นังคุฏฐชาดก


ว่าด้วยบูชาไฟด้วยหางวัว


[144] ไฟไม่ใช่ผู้ดี ที่เราบูชาเจ้าด้วยหางแม้
เท่านี้ ก็มากไปแล้ว วันนี้ เนื้อไม่มีสำหรับเจ้า
ผู้ชอบเนื้อ ท่านอัคคีผู้เจริญ จงรับเอาแต่เพียงหาง
ไปเถิด.

จบ นังคุฏฐชาดกที่ 4

อรรถกถานังคุฏฐชาดกที่ 4


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภตบะที่ผิดของพวกอาชีวก ตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า พหุมฺเปตํ อสพฺภิ ชาตเวท ดังนี้.
ได้ยินว่า ในครั้งนั้น พวกอาชีวกพากันประพฤติตบะผิด
มีประการต่าง ๆ ที่หลั่งพระเชตวันมหาวิหาร ภิกษุทั้งหลาย
จำนวนมาก เห็นตบะที่ผิด อาทิเช่น อุกกุฏิกัปปธานะ (ตั้งหน้า
ในการนั่งกระโหย่ง) วัคคุลิวัตร (ทำอย่างค้างคาว) กัณฏกา-
ปัสสยะ (นอนบนหนาม) ปัญจตมนะ (ย่างด้วยไฟ 5 กอง) ของ
พวกนั้น พากันกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ กุศลหรือความเจริญ อาศัยตบะที่ผิดทั้งนี้ จะมีได้หรือ
พระเจ้าข้า ? พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุศลหรือ

ความเจริญ อาศัยตบะที่ผิดอย่างนี้มีไม่ได้ ในครั้งก่อนบัณฑิต
สำคัญเสียว่า อาศัยตบะอย่างนี้ กุศลหรือความเจริญคงมีได้
ถือเอาไฟประจำกำเนิดเข้าป่า ไม่พบความเจริญอะไรเลย ด้วย
อำนาจการบูชาไฟเป็นต้น จึงเอาน้ำดับไฟเสีย บำเพ็ญกสิณ-
บริกรรม ให้อภิญญาสมาบัติบังเกิดแล้ว ได้ไปพรหมโลกต่อไป
แล้วทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์
ในวันที่ท่านเกิด บิดามารดาก็จุดไฟประจำกำเนิดตั้งไว้ให้ ครั้น
ท่านมีอายุได้ 16 ปี บิดามารดาบอกท่านว่า ลูกเอ๋ยในวันที่เจ้าเกิด
เราจุดไฟไว้ให้ ถ้าเจ้าประสงค์จะครองเรือน จงเรียนพระเวท
ทั้งสาม หรือมิฉะนั้น จะประสงค์ไปพรหมโลก ก็จงถือไฟเข้าป่า
บำเรอไฟ ทำให้ท้าวมหาพรหมโปรดปรานแล้ว ก็จะเป็นผู้มี
พรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้าได้ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ข้าพเจ้า
ไม่ต้องการอยู่ครองเรือน ถือไฟเข้าป่า สร้างอาศรมบท บำเรอ
ไฟอยู่ในป่า วันหนึ่งได้รับของถวาย คือโคในหมู่บ้านชายแดน
จึงจูงโคไปสู่อาศรมบท คิดว่า เราจักให้พระอัคคีผู้มีโชคฉันเนื้อโค
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้มีปริวิตกดังนี้ว่า ที่นี่ไม่มีเกลือ พระอัคคี
ผู้มีโชค จักไม่สามารถฉันเนื้อที่ไม่เค็มได้ เราจักไปหาเกลือ
มาจากบ้าน ให้พระอัคคีผู้มีโชค ฉันเนื้อที่มีรสเค็ม พระโพธิสัตว์
จึงผูกโคไว้ในที่ตรงนั้นเอง ได้ไปหมู่บ้านเพื่อหาเกลือ ขณะที่

ท่านไป มีพรานหลายคนมาถึงที่นั้น เห็นโคแล้วฆ่าย่างเนื้อกิน
ทิ้งหาง แข้ง และหนังไว้ตรงนั้นแหละ แล้วนำเนื้อที่เหลือไป
เสียด้วย พราหมณ์มาแล้ว เห็นโคเหลือแต่หนังเป็นต้น คิดว่า
พระอัคคีผู้มีโชคนี้ แม้แต่ของ ๆ ตน ยังไม่อาจรักษาไว้ได้ จัก
รักษาเราได้ที่ไหนเล่า การบำเรอไฟนี้น่าจะเป็นสิ่งไร้ประโยชน์
กุศลหรือความเจริญมีการบูชาไฟนี้เป็นเหตุ คงไม่มีแน่ พราหมณ์
ก็หมดความพอใจในการบำเรอไฟ กล่าวว่า ข้าแต่พระอัคคีผู้เจริญ
แม้แต่ของของตน ท่านยังไม่สามารถรักษาไว้ ที่ไหนจักรักษา
เราได้เล่า เนื้อไม่มีแล้ว จงยินดีเพียงเท่านี้เถิด เมื่อจะโยนหาง
เป็นต้น เข้ากองไฟ กล่าวคาถานี้ ความว่า
" ไฟไม่ใช่ผู้ดี ที่เราบูชาเจ้าด้วยหางแม้
เท่านี้ ก็มากไปแล้ว วันนี้เนื้อไม่มีสำหรับเจ้าผู้
ชอบเนื้อ ท่านอัคคีผู้เจริญ จงรับเอาแต่เพียงหาง
เถิด นะ "
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหุมฺเปตํ ความว่า แม้ของ
เพียงเท่านี้ ก็ชื่อว่ามากไป.
บทว่า อสพฺภิ ความว่า ไฟไม่ใช่สัตบุรุษ คือไม่ใช่ผู้ดี.
พราหมณ์ เรียกไฟว่า "ชาตเวทะ" อธิบายว่า ไฟเพียงเกิด
ก็เป็นที่รู้กัน คือปรากฏเห็นกันทั่ว เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกว่า
"ชาตเวทะ"

ด้วยบทว่า ยนฺตํ วาลธินาภิปูชยาม ความว่า แม้การที่เรา
บูชาเจ้าผู้มีโชค ซึ่งไม่สามารถจะรักษาของ ๆ ตนไว้ได้ ในวันนี้
ด้วยหาง เพียงเท่านี้ก็มากไปแล้ว สำหรับเจ้า.
บทว่า มํสารหสฺส ความว่า วันนี้ เนื้อไม่มีสำหรับเจ้า
ผู้ชอบเนื้อ.
บทว่า นงฺคุฏฺฐมฺปิ ภวํ ปฏิคฺคหาตุ ความว่า เมื่อเจ้าไม่
สามารถจะรักษาของ ๆ ตนไว้ได้ ก็เชิญเจ้าผู้เจริญ รับแต่เพียงหาง
พร้อมทั้งแข้งและหนัง นี้เถิด.
พระมหาสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็เอาน้ำดับไฟเสีย
บวชเป็นฤๅษี ทำอภิญญา และสมาบัติให้บังเกิด แล้วได้เป็นผู้
มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า ดาบสผู้ดับไฟเสียในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถานังคุฏฐชาดกที่ 4

5. ราธชาดก


ว่าด้วยการพูดเพ้อเจ้อเพราะความเขลา


[145] "ราธะเอ๋ย เจ้าไม่รู้จักคนทั้งหลายที่ยัง
ไม่มา ในเวลาปฐมยาม เจ้าพูดจาเพ้อเจ้อไปตาม
ความโง่เขลา ในเมื่อแม่โกสิยายนี หมดความ
รักใคร่ในบิดาของเจ้าเสียแล้ว"

จบ ราธชาดกที่ 5

อรรถกถาราธชาดกที่ 5


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภการเล้าโลมของภรรยาเก่า ตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า น ตฺวํ ราธ วิชานาสิ ดังนี้.
เรื่องปัจจุบัน จักมีแจ้งในอินทริยชาดก (ข้อที่แปลกคือ :-) ก็
พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุนั้นมาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่า
มาตุคาม เป็นผู้อันใครรักษาไม่ได้ แม้จะระมัดระวังแข็งแรง ก็
ไม่สามารถจะรักษาไว้ได้ ดูก่อนภิกษุ ในครั้งก่อน ถึงเธอก็ตั้งการ
ป้องกันคอยรักษามาตุคามอยู่ แต่ไม่อาจรักษาไว้ได้เลย บัดนี้
เธอจะรักษาไว้ได้อย่างไรกัน แล้วทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-