เมนู

2. สิคาลชาดก


ว่าด้วยแสร้งทำเป็นตาย


[142] " เหตุที่ท่านทำเป็นเหมือนคนตายนี้ รู้ได้
ยากอยู่ เพราะเราคาบปลายไม้พลองฉุดไป ไม้-
พลองก็ยังไม่หลุดจากมือของท่าน"

จบ สิคาลชาดกที่ 2

อรรถกาถสิคาลชาดกที่ 2


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารชื่อว่าเวฬุวัน
ทรงปรารภความตะเกียกตะกายเพื่อจะปลงพระชนม์พระองค์เอง
ของพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เอตํ หิ
เต ทุราชานํ
ดังนี้.
ความย่อว่า พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของภิกษุทั้งหลาย
ในธรรมสภา แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายมิใช่แต่ในบัดนี้
เท่านั้น ที่เทวทัตตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าเรา แม้ในครั้งก่อน
ก็เคยตะเกียกตะกายมาแล้วเหมือนกัน แต่ไม่อาจจะฆ่าเราได้
แต่ตนเอง ต้องลำบากโดยถ่ายเดียวเท่านั้น แล้วทรงนำเอาเรื่อง
ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดหมาจิ้งจอก
ได้เป็นพญาสิงคาล แวดล้อมด้วยหมาจิ้งจอกอยู่ในป่าช้า โดย
สมัยนั้น พระนครพาราณสี มีมหรสพ ฝูงคนพากันดื่มสุราโดยมาก
ได้ยินว่า มหรสพนั้น ก็คือมหรสพที่จัดขึ้นเพื่อการดื่มสุรานั่นเอง
ครั้งนั้นพวกนักเลงสุรา จำนวนมากชวนกันหาสุราและเนื้อมา
เป็นอันมาก แล้วประดับตกแต่งร่างกาย พากันขับร้อง แล้วดื่มสุรา
ไปพลาง กินเนื้อแกล้มไปพลาง พอสิ้นยามแรก ชิ้นเนื้อของ
พวกนั้นก็หมด แต่สุรายังเหลือมากทีเดียว ครั้งนั้นนักเลงสุรา
คนหนึ่งกล่าวว่า ส่งชิ้นเนื้อให้ชิ้นหนึ่งเถิด เมื่อได้รับคำตอบว่า
เนื้อหมดแล้ว ก็พูดว่า เมื่อข้ายังอยู่ต้องไม่มีคำว่าเนื้อหมด แล้ว
กล่าวต่อไปว่า ข้าจักฆ่าหมาจิ้งจอกที่มากินเนื้อคนตายในป่าช้า
ผีดิบ เอาเนื้อมันมา คว้าไม้พลองออกจากพระนครทางช่อง
ระบายน้ำ ไปสู่ป่าช้า นอนหงายถือพลองทำเป็นคนตาย ขณะนั้น
พระโพธิสัตว์ แวดล้อมไปด้วยสุนัขจิ้งจอกไปในที่นั้น เห็นเขาแล้ว
แม้จะรู้ว่า นี่ไม่ใช่คนตาย คิดว่าต้องใคร่ครวญดูให้ละเอียดละออ
จึงไปยืนใต้ลมของเขา สูดกลิ่นตัว ก็ทราบความที่เขายังไม่ตาย
โดยแน่นอนทีเดียว คิดว่า ต้องให้เขาได้อาย แล้วจึงจะปล่อยเขาไป
จึงเดินไปคาบที่ปลายพลองฉุดมา นักเลงไม่ยอมปล่อยพลอง แม้
จะไม่มองดูพญาจิ้งจอกผู้เข้ามาใกล้ ก็คงยึดพลองนั้นไว้แน่นขึ้น
พระโพธิสัตว์ถอยกลับไปแล้ว กล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ ถ้าท่าน

พึงเป็นคนตายแล้วจริง เมื่อเราลากพลองมา ก็ไม่น่าจะยึดไว้มั่นคง
ด้วยเหตุนี้ ท่านจะตาย หรือยังไม่ตาย จึงรู้ชัดได้โดยยากดังนี้
แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า :-
" เหตุที่ท่านทำเป็นเหมือนคนตายนี้ รู้ได้
ยากอยู่ เพราะเราคาบปลายไม้พลองฉุดไป ไม้-
พลองก็ยังไม่หลุดจากมือของท่าน"
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า เอตํ หิ เต ทุราชานํ ความว่า
เหตุข้อนี้ของท่านรู้ได้ยากแท้.
บทว่า ยํ เสสิ มตาสยํ ความว่า เหตุที่ท่านนอนเหมือน
คนตายนอนอยู่นั่น (รู้แน่ได้ยากแท้).
บทว่า ยสฺส เต กฑฺฒมานสฺส ความว่า ท่านผู้ใด เมื่อเรา
คาบปลายไม้พลองฉุดมา ไม้พลองไม่หลุดจากมือ ก็ท่านผู้นั้น
จะเรียกว่าคนตายแล้วไม่ได้แน่นอน ดังนี้.
เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว นักเลงนั้นคิดว่า สุนัข-
จิ้งจอกตัวนี้ รู้ความที่เรายังไม่ตาย ก็ลุกขึ้น ขว้างไม้พลองไป
ไม้พลองผิดเป้า นักเลงกล่าวว่า ไปเถิดมึง คราวนี้ข้าพลาดไป
พระโพธิสัตว์หันกลับมาพูดว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ถึงแม้ท่าน
จะพลาดเราไป ท่านก็คงไม่พลาดมหานรก 8 ขุม อุสสทนรก
16 ขุมเป็นแน่นอน แล้วหลบไป นักเลงไม่ได้อะไร ออกจากป่าช้า
อาบน้ำในคู เข้าสู่พระนครตามเดิม.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า นักเลงในครั้งนั้น ได้มาเป็นเทวทัต ส่วนพระยาสิงคาล
ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสิคาลชาดกที่ 2

3. วิโรจนชาดก


ว่าด้วยผู้ถูกเยาะเย้ย


[143] "มันสมองของเจ้า ไหลออกแล้ว กระ-
หม่อมของเจ้า ก็ถูกทำลายแล้ว ซี่โครงของเจ้า
หักพังไปหมดแล้ว วันนี้ เจ้าช่างรุ่งเรืองแท้"

จบ วิโรจนชาดกที่ 3

อรรถกถาวิโรจนชาดกที่ 3


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารชื่อว่าเวฬุวัน
ทรงปรารภความที่พระเทวทัตแสดงท่าทางอย่างพระสุคต อยู่ใน
คยาสีสประเทศ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ลสี จ
เต นิปฺผลิตา
ดังนี้.
ความพิสดารว่า พระเทวทัตมีฌาณเสื่อมแล้ว ก็พลอยเสื่อม
จากลาภสักการะไปด้วย คิดว่า ยังมีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง ดังนี้แล้ว
กราบทูลขอวัตถุ 5 ประการกะพระศาสดา เมื่อไม่ได้ก็ชวนภิกษุ
500 รูป ผู้เป็นสัทธิวิหาริกของพระอัครสาวกทั้งสอง ซึ่ง
บวชได้ไม่นาน ยังไม่ฉลาดในพระธรรมวินัย ไปสู่คยาสีสประเทศ
แยกหมู่กระทำสังฆกรรม แผนกหนึ่งในสีมาเดียวกัน พระศาสดา
ทรงทราบเวลาที่ความรู้ของภิกษุเหล่านั้นแก่กล้า ทรงส่งพระ-
อัครสาวกทั้งสองไป พระเทวทัตเห็นพระอัครสาวกทั้งสองแล้ว